เส้นขอบฟ้าค่อยๆ สว่างเป็เส้นสีขาวจางๆซูฉีฉีก็ได้ถูกเสียงดังจากภายนอกปลุกให้ตื่นขึ้น
เมื่อนางลืมตาตื่นขึ้นก็เห็นม่อเวิ่นเฉินที่นอนอยู่บนเตียงนั้นได้ตื่นมาก่อนแล้วเขาหันมาส่งสายตาให้นางมิให้นางส่งเสียงออกไปและให้นางหลับต่อจากนั้นม่อเวิ่นเฉินก็พลิกตัวและลุกขึ้นเดินมาข้างเตียงแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเช่นกัน
ทั้งสองคนนอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน ซ้ำม่อเวิ่นเฉินยังวางมือข้างหนึ่งของเขาลงบนเอวของซูฉีฉีอย่างแ่เบาอีกด้วย
“...” สีหน้าของซูฉีฉีเกร็งแข็งขึ้น ทั้งร่างของนางก็เกร็งขึ้นเช่นกันทว่านางกลับไม่กล้าลืมตาขึ้นมา
เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายของซูฉีฉีเกร็งแข็งขึ้นม่อเวิ่นเฉินกลับกระตุกยิ้มที่มุมปากขึ้นรอยโค้งบนปากนั้นแฝงด้วยความขบขันเล็กน้อย ดวงตาของเขาค่อยๆ ลืมขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ซูฉีฉีที่อยู่ใกล้ๆ
ใบหน้าที่ดูสะอาดบริสุทธิ์แต่ไม่ถือว่างามสวยยิ่งเปรียบไม่ได้กับความงามแบบล้มฟ้าล้มแผ่นดินซูฉีฉีนั้นมิอาจใช้ความงามเอาชนะผู้คนได้ก็จริง ทว่านางมีทั้งความฉลาดไหวพริบและความกล้าหาญ
สตรีเช่นนี้ สามารถเข้าไปอยู่ในสายตาของม่อเวิ่นเฉินได้มากกว่าหญิงรูปโฉมงดงามเสียอีก
แม้ว่าซูฉีฉีจะหลับตาทว่านางยังคงััได้ถึงแววตาร้อนแรงที่ส่งมาจากม่อเวิ่นเฉิน แก้มของนางค่อยๆรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจของนางรู้สึกหลอมละลายไปไม่น้อย ในขณะที่นางกำลังหวั่นไหวในใจก็ร้องะโออกมาต่ำๆ ด้วยว่า ม่อเวิ่นเฉินความอ่อนโยนของท่านนั้นจะทำให้ข้าคิดจริงได้...จริงๆ ...
นางหวังเพียงแค่ว่านี่ไม่ใช่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
ภายใต้ความสุขสั้นๆ นางก็ยังมีความขมขื่นปะปนอยู่ด้วย
นางไม่กล้าคาดหวังความรักจากม่อเวิ่นเฉิน
เสียงโวยวายจากด้านนอกค่อยๆ ไกลออกไปมิรู้ว่าเพราะม่อเวิ่นเสวียนเปลี่ยนความคิดแล้วหรือเพราะว่าเกิดเื่อย่างอื่นขึ้นเขากลับไม่ทำตามแผนเดิมแล้วออกตรวจค้นเรือนรับรอง
ผ่านไปเนิ่นนานซูฉีฉีจึงค่อยลืมตาขึ้นเมื่อสายตาของนางประสานเข้ากับดวงตาของม่อเวิ่นเฉิน นางก็นิ่งอึ้งไปก่อนจะรีบเสมองไปทางอื่นแล้วรีบลุกขึ้น “พวกเขา...ไปแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางตื่นใของซูฉีฉีม่อเวิ่นเฉินก็ยิ่งรู้สึกขบขันมากขึ้นกว่าเดิม
เขามิได้คิดจะรังแกนางต่ออีกพลางลุกออกจากเตียงเช่นกัน “ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลง”
ซูฉีฉีพยักหน้านางก็รู้ว่าจะต้องเกิดเื่อะไรขึ้นแน่นอนในใจของนางในตอนนี้กลับกำลังเป็ห่วงมารดาของตน
เห็นได้ชัดว่าเพื่ออำนาจแล้วซูชือฉางสามารถทำได้ทุกอย่าง
ซูฉีฉีจัดเสื้อผ้าพลางเอ่ยออกมาด้วยความลังเลเล็กน้อย “ข้าอยาก...ไปดูท่านแม่ข้าอีกสักครั้ง”
เมื่อวานหลังกลับจากจวนอัครมหาเสนาบดีในใจของนางก็รู้สึกไม่ค่อยสงบนัก
“ข้าจะส่งคนไป”ม่อเวิ่นเฉินเองก็เข้าใจความรู้สึกของซูฉีฉีทว่าก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เสมือนว่าสตรีนางนี้สนใจแค่มารดาของตนเท่านั้น
เมื่อได้ยินว่าเสียงของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อยซูฉีฉีก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก ในเมื่อตอนนี้นางตัดสินใจยืนข้างม่อเวิ่นเฉินแล้วนางไม่มีทางถอยได้อีก เพราะฉะนั้นนางก็จะไม่กล่าวคำตัดพ้อใดๆ
ทำได้เพียงแค่ภาวนาให้มารดาของนางไม่เป็อะไรก็พอ
ห้องหนังสือ
ม่อเวิ่นเสวียนมีสีหน้าคล้ำมืดด้านล่างมีซูชือฉางกำลังตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความกลัว เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นทำได้เพียงแค่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
“เ้าเลี้ยงลูกสาวได้ดีเสียจริง”ม่อเวิ่นเสวียนปาฎีกาในมือทิ้งอย่างหงุดหงิดก่อนจะะโออกมาอย่างโมโหกระทั่งถาดฝนหมึกที่อยู่ข้างๆ ก็ถูกเขาปัดคว่ำ น้ำหมึกกระเด็นใส่เต็มหน้าของซูชือฉาง
ซูชือฉางที่มีสภาพย่ำแย่ในตอนนี้กลับไม่กล้าขยับแม้แต่น้อยเขายังคงคุกเข่าแน่นิ่งอยู่ที่พื้น กระทั่งหายใจเสียงดังยังไม่กล้าในใจของเขาคิดอยากจะสับซูฉีฉีให้แหลกเป็ชิ้นๆ ั้แ่แรกเลย
ใช่แล้ว เขาได้เลี้ยงลูกสาวได้ดีจริงๆลูกสาวที่เขาไม่เคยเข้าใจแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงว่าเมื่อวานนางตกปากรับคำอย่างดีทว่าอยู่ๆก็กลับคำเสียได้
“เื่นี้เ้าไปจัดการเองแล้วกัน” ผ่านไปเนิ่นนานโทสะของม่อเวิ่นเสวียนก็ค่อยๆ สงบลง เขาลุกขึ้นยืนพร้อมสะบัดเสื้อคลุมยาวของตนหมุนตัวแล้วจากไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จัดการกับม่อเวิ่นเฉินเขาไม่อยากจะลงมือด้วยตนเอง ทว่าถ้ายืมมือของซูชือฉางนั้น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่เขาก็สามารถกันตัวเองออกจากเื่นี้ได้อย่างสมบูรณ์
ที่สำคัญที่สุดก็คือซูชือฉางนั้นสามารถใช้งานซูฉีฉีได้
แค่จุดนี้ก็เพียงพอแล้ว
จนกระทั่งเงาของม่อเวิ่นเสวียนหายไปจากหลังประตูของห้องหนังสือซูชือฉางถึงกล้ายกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำหมึกบนใบหน้าตนมุมปากค่อยๆกระตุกยิ้มเย็นขึ้น มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น สีหน้าเผยความเ้าเล่ห์ออกมาเมื่อรวมเข้ากับน้ำหมึกบนใบหน้าเขาแล้วยิ่งทำให้เขาดูเหมือนปีศาจก็มิปาน
ทำให้ผู้ที่พบเห็นอดรู้สึกขนลุกมิได้
ถ้าหากมิใช่เพราะว่าเมื่อคืนสั่งให้คนจับตาทุกการกระทำของซูฉีฉีแล้ววันนี้่เช้าม่อเวิ่นเสวียนคงต้องคว้าอากาศเสียแล้ว และไม่เพียงแต่จะคว้าอากาศหากตรวจค้นเรือนรับรองแล้วไม่พบอะไร คงยากที่จะอธิบายต่อม่อเวิ่นเฉินเช่นกัน
และอาจจะถูกโจมตีกลับก็เป็ได้
การกระทำครั้งนี้ ร้ายและเด็ดขาดมาก
ต้องรู้ว่าหากม่อเวิ่นเฉินไม่สนใจความสัมพันธ์ที่ผ่านมาแล้วตั้งตัวเป็ศัตรูจริงๆม่อเวิ่นเสวียนเองก็ยังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง
ต่อให้ที่นี่จะเป็วังหลวงม่อเวิ่นเสวียนเองก็ยังต้องระวังไว้ถึงสามส่วน
่เวลาที่ต้องคอยหวาดกลัวเช่นนี้ม่อเวิ่นเสวียนมีชีวิตอยู่มาพอแล้ว
เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจัดการม่อเวิ่นเฉินให้ได้ ไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไรไม่ว่าต้องใช้วิธีใด และก็ไม่สนผลลัพธ์ทั้งหมดที่จะตามมายิ่งไม่สนว่าจะล่วงเกินคนอีกเยอะเท่าไร
เพราะว่าต่อให้เขาล่วงเกินพวกขุนนางใหญ่เล็กนับร้อยพวกคนเ่าั้ก็ไม่กล้าทำอะไรเขา
เพราะว่าพวกเขาไม่ใช่ม่อเวิ่นเฉินพวกเขาไม่มีความสามารถพอจะกบฎได้
ภายในวังหลวงสงบเงียบหลายวันม่อเวิ่นเฉินส่งเหลยอวี๊เฟิงไปจวนอัครมหาเสนาบดีด้วยตนเอง เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเตี๋ยนั้นปลอดภัยไม่เป็อันตรายถึงได้วางใจ
ซูฉีฉีได้แต่อยู่ในเรือนรับรองทุกวันไม่กล้าออกไปที่ใด บางครั้งซูเมิ่งหรูก็จะมาหาที่นี่ทำท่าทีประหนึ่งว่าเป็ห่วงเป็ใยนางผู้เป็พี่สาว ถามนู่นถามนี่ไปเรื่อยเปื่อย
หลายครั้งที่นางพยายามจะหลอกถามซูฉีฉีทว่าทุกครั้งก็ถูกซูฉีฉีเปลี่ยนเื่ไปได้อย่างแเี
สำหรับน้องสาวผู้นี้ซูฉีฉีไม่ได้ตั้งตัวเป็ศัตรูกับนาง พวกนางแค่มีจุดยืนที่ต่างกันั้แ่เล็กจนโตล้วนเป็เช่นนี้ ตอนที่อยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดีซูฉีฉีต้องปกป้องมารดาของตนและซูเมิ่งหรูเองก็พยายามทำเพื่อช่วยเหลือมารดาของตนให้มีฐานะมั่นคงอยู่ในจวน
ทว่าแม้ซูฉีฉีจะเป็บุตรสาวคนโตของฮูหยินเอกนางกลับไม่อาจเทียบกับซูเมิ่งหรูได้เลย
จุดนี้ ซูฉีฉีจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคิดไม่ตกทว่านางก็ไม่อยากให้มารดาของตนต้องเสียใจเลยไม่แสดงอะไรออกมา
ตอนนี้ซูฉีฉีเป็พระชายาของม่อเวิ่นเฉินและซูเมิ่งหรูก็เป็ฮองเฮาของม่อเวิ่นเสวียน
พวกนางเสมือนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันเสมอ
วันนี้ซูฉีฉีถูกซูเมิ่งหรูพาไปที่ไทเฮาม่อเวิ่นเฉินเองก็ออกไปนอกวังคนเดียว
เขาสะบัดพวกองครักษ์ที่ติดตามตนจนพ้นจากนั้นก็เดินเข้าไปในซอยเล็กๆ นอกเมือง
ซอยนั้นลึกมากเมื่อเดินไปจนสุดทางก็มีเรือนพักขนาดไม่ใหญ่นักมีเหลยอวี๊เฟิงกำลังร่ายรำกระบี่อยู่
ดาบกระทบกับลมส่งเสียงฟิ้วๆ ออกมา
“กระบวนดาบดีจริงๆ”ม่อเวิ่นเฉินเดินมาอย่างมิให้สุ่มให้เสียง ก่อนจะเอ่ยโพล่งออกมา
ปลายดาบพุ่งตรงไปที่ลำคอของม่อเวิ่นเฉินทว่าหลังจากที่ได้ยินเสียงของเขาแล้ว เหลยอวี๊เฟิงก็หมุนดาบกลับอย่างเสียอารมณ์ เขาควงดาบครู่หนึ่งก่อนจะเก็บมันเข้าฝักไป “เ้ามาได้อย่างไร?”
ในที่นี้พวกเขาต้องระวังยิ่งกว่าระวังเสียอีกคิดไม่ถึงว่าม่อเวิ่นเฉินจะออกจากวังแล้วมาที่นี่ได้
“ภายในไม่กี่วันนี้เกรงว่าจะต้องเกิดเื่ใหญ่ขึ้นเ้าส่งคนไปคุ้มครองมารดาของซูฉีฉีให้ดี” ม่อเวิ่นเฉินพยายามควบคุมอารมณ์ขบขันของตนก่อนจะพูดออกมาอย่างจริงจัง “เหลิ่งเหยียนเตรียมตัวทุกอย่างเสร็จแล้วหรือยัง?”
การมาครั้งนี้อันตรายนักระหว่างทางกลับพวกเขาจำเป็ต้องแยกกันแล้ว
“อืมเขาเตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว คิดว่าเพียงแค่ลูกน้องไม่กี่คนนั้นของม่อเวิ่นเสวียนก็จะเหมือนกับตอนที่มาเป็ได้แค่คู่ซ้อมมือของพวกเราเท่านั้น” เหลยวอี๊เฟิงพยักหน้าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไม่หวังดีนัก
“เวิ่นเฉินเสน่ห์ของเ้าก็ไม่ได้ดีเท่าใดนี่ ขนาดสตรีตัวเล็กๆอย่างซูฉีฉียังจัดการมิได้”เหลยอวี๊เฟิงพูดพลางเดินไปนั่งบนเก้าอี้และเลิกคิ้วขึ้นอย่างล้อเลียน
ม่อเวิ่นเฉินที่นอนอยู่บนเตียงนั้นก็หันไปจ้องเหลยอวี๊เฟิงด้วยสายตาไม่เป็มิตร “หมายความว่าอย่างไร?”