ไทเฮาไม่มองซูฉีฉีแม้แต่น้อย “กลับไปเสีย ทางที่ดีฉลาดให้มันมากหน่อย”
ความหมายในคำพูดของไทเฮานั้นซูฉีฉีเข้าใจดีไทเฮาคงไม่อยากให้เื่นี้ดังไปถึงหูของม่อเวิ่นเฉิน
นางเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ เมื่อวานม่อเวิ่นเฉินนั้นรู้ชัดเจนแล้วว่านางได้ถูกทำโทษทว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาแม้แต่ประโยคเดียวใจของนางที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวเพราะการกระทำของเขานั้นได้เจ็บจนชินชาไปเสียแล้ว
บุรุษอย่างม่อเวิ่นเฉินนั้นไม่ได้เกิดมาเพื่อความรักแบบหญิงชาย
ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบต่อเื่ใหญ่ของเขาต่อให้ซูฉีฉีต้องตายไป สำหรับเขาแล้วคงไม่เป็เื่อันใดหรอก
ซูฉีฉีเดินกลับเรือนรับรองอย่างยากลำบาก นางกำนัลและขันทีที่พบเห็นนางระหว่างทางล้วนแต่เดินอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องเผชิญหน้ากับนางพวกเขาไม่อยากหาเื่ใส่ตนเองสำหรับพระชายาติ้งเป่ยโหวแล้วทุกคนเห็นนางเป็เพียงแค่ตัวตลกก็เท่านั้น
ในเรือนรับรองนั้นเงียบสงบมากม่อเวิ่นเฉินในตอนนี้กำลังดื่มสุราสังสรรค์กับฮ่องเต้อยู่หลายวันมานี้เขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆม่อเวิ่นเสวียนนั้นคอยจับจ้องอากัปกิริยาของเขาทุกย่างก้าว
คนทั้งสองแม้ต่อหน้าจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา ทว่าลับหลังนั้นกลับจัดการวางแผนกันอย่างไม่มีหยุด
แต่ว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็พื้นที่ของม่อเวิ่นเสวียนอีกทั้งเขาต่างหากที่เป็กษัตริย์ปกครองแผ่นดินนี้ยังไงเสียม่อเวิ่นเฉินก็ไม่อาจมีอำนาจแข็งแกร่งได้เท่าตอนที่เขาอยู่ที่เมืองอ้าวด้วยเหตุนี้เขาถึงต้องคอยปฏิบัติตัวดีๆ เฉกเช่นตอนนี้
ซูฉีฉีลงมือทายาให้กับตนเองหลายครั้งที่นางเจ็บจนเกือบจะสลบลงไปแต่ว่านางก็ยังฝืนอดทนเอาไว้ได้
พรุ่งนี้นางไม่อาจไปพบมารดาด้วยสภาพเช่นตอนนี้ได้จะให้นางเห็นไม่ได้โดยเด็ดขาด
ั้แ่เล็กนางก็เรียนวิชาการแพทย์มาตอนนี้นางก็ใช้วิชานั้นฝังเข็มรักษาตนเอง นางหวังเพียงว่าพรุ่งนี้ฟ้าสางนางจะมีสีหน้าที่ดีขึ้นไม่ทรุดโทรมเช่นนี้อีกเป็พอ
ขอเพียงจิ้มโดนตำแหน่งจุดต่างๆ บนร่างกายจนเสร็จสิ้นก็สามารถกลับมามีสีหน้าดีขึ้นได้แล้วแน่นอนว่าผลลัพธ์จากการกระทำครั้งนี้นั้นแย่มากนางอาจจะทำให้ชีพจรในร่างกายของตนวิ่งวุ่นเละเทะไปจนหมดก็เป็ได้
ทว่านางไม่มีเวลามาสนเื่เ่าั้แล้ว
ม่อเวิ่นเฉินกลับมาเมื่อไหร่นั้นนางก็ไม่รู้นางเจ็บจนหลับไปบนเก้าอี้ยาวเสียแล้วเมื่อตอนที่นางลืมตาตื่นขึ้นกลับพบว่าตนเองนอนทับแขนของม่อเวิ่นเฉินอยู่ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากอีกทั้งยังนอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกันอีกด้วย
ครั้งนี้ทำให้ในใจที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวของซูฉีฉีกลับมาว้าวุ่นอีกครั้ง
ใจของบุรุษผู้นี้ นางไม่เคยเข้าใจเลยจริงๆ
และนางก็ไม่กล้าไปคาดเดาด้วย
เขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อนาง เพียงแค่ปลอบประโลมนางอย่างไร้เสียงเช่นนี้
หลังจากที่ผ่านการฝังเข็มเมื่อวานวันนี้ซูฉีฉีก็มีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นางไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมีเพียงความเ็ปเหลือไว้อยู่บ้างทว่าทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่อดทนได้ไหว
“ระวังหน่อยล่ะ”ก่อนที่ซูฉีฉีจะออกไป ม่อเวิ่นเฉินก็เอ่ยกับนางออกมาสี่คำ
คำสี่คำนี้กลับเพียงพอให้ซูฉีฉีอดทนที่จะก้าวเดินต่อไปได้
ในใจของนางรู้สึกอบอุ่นไม่น้อย
ไทเฮายังคงเป็เหมือนเช่นเมื่อวานกำลังสวดมนต์ไหว้พระ ซูฉีฉียังคงคุกเข่าบนแผ่นหญ้าสานเหมือนเช่นเคยเข็มที่อยู่บนนั้นยังคงอยู่ เพียงแต่ว่าการกระทำครั้งนี้ของนางนั้นแ่เบามากนางระวังเป็อย่างมากเพราะนางเองก็กลัวการทุกข์ทรมานบนิั กลัวเจ็บเช่นกัน...
เมื่อพระอาทิตย์สาดส่องกลางฟ้าบ่งบอกเวลากลางวันก็มีนางกำนัลคนหนึ่งนำทางสตรีผู้หนึ่งก้าวเข้ามา
ตอนนั้นซูฉีฉีกลับไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมานางกลัวว่ามารดาจะเห็นสีหน้าอันเ็ปของตน และกลัวยิ่งกว่าว่าหลังจากที่เห็นนางแล้วจะทำให้มารดาต้องร้องไห้ด้วยความเ็ปใจ
“หม่อมฉันถวายพระพรไทเฮา...”เสี่ยวเตี๋ยนั้นมีคำถามมากมายอยู่ในหัวสมอง อยู่ๆนางก็ถูกไทเฮาเรียกเชิญมา นางย่อมต้องไม่เข้าใจเป็แน่
จากนั้นนางก็คุกเข่าแสดงความเคารพ
ทว่าเมื่อหันไปมองคนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆนั้นเป็ซูฉีฉีก็ทำให้นางนิ่งอึ้งไป นางหยุดค้างอยู่ตรงนั้น “ฉีฉี...นี่เ้า...”
“บังอาจ” คิ้วของไทเฮาขมวดเข้าหากันก่อนจะะโออกมาอย่างมีโทสะ
เสียงะโต่ำนี้ทำให้เสี่ยวเตี๋ยตัวสั่นไปทั้งตัวรีบนั่งคุกเข่าต่อ ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
ตลอดชีวิตนางมักจะบอบบางอ่อนแอและระมัดระวังเช่นนี้เสมอ
ไทเฮายิ้มเย็นออกมาสายตาฉายประกายแห่งความพึงพอใจออกมาแวบหนึ่ง “เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยเ้าก็มีวันนี้ด้วยงั้นหรือ? ผ่านมาหลายปีแล้วข้ากลับคิดถึง่เวลาที่พวกเราเล่นด้วยกันเสียจริงๆ”
ประโยคนี้กลับทำให้เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยนิ่งอึ้งไป ซึ่งเป็ขณะเดียวกับที่ซูฉีฉีเงยหน้าขึ้นมองมารดาของตน
ซูฉีฉีกลับเห็นถึงความงุนงงปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง
ในใจของนางก็กระตุกเล็กน้อยต้องเป็เพราะเมื่อครู่นางตาลายเป็แน่ เพราะแววตาเมื่อครู่ของเสี่ยวเตี๋ยนั้นมีความไม่เข้าใจปรากฏออกมาจริงๆ
ดูเหมือนกับว่านางไม่รู้จักไทเฮาผู้นี้
แต่ว่าที่ไทเฮากล่าวเมื่อครู่...
ไทเฮาเองก็เห็นความงุนงงที่ปรากฏออกมาจากดวงตาที่เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยเช่นกันนางไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่กลับส่งเสียงหึออกมาเบาๆ “คิดไม่ถึงว่าผ่านมาหลายปีแล้วเ้ายังคงมีท่าทางเช่นนี้อยู่ ท่าทางของเ้านี้หลอกซูชือฉางได้แต่อย่าคิดว่าจะหลอกข้าได้...”
นางกัดฟันเอ่ยขึ้น
ในขณะที่นางเอ่ยขึ้นนั้นนางก็เดินหน้าขึ้นไปเหยียบเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยอย่างสุดแรง
ดูเหมือนว่านางจะเกลียดสตรีผู้นี้อย่างถึงที่สุด
“อ๊า...”เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยทนต่อความเจ็บไม่ไหวแต่นางกลับทำแค่ร้องออกมาเสียงเบา ด้วยนิสัยของนางแล้วนางทำได้เพียงแค่อดทนอดกลั้นไม่นานนักนางก็ยกสองมือขึ้นปิดปากตนเองให้เสียงร้องแห่งความเ็ปกล้ำกลืนลงไปในลำคอ
“เหอะๆปีนั้นตอนที่เ้าวางแผนให้ข้าแต่งงานกับคนผู้นั้นก็น่าจะคิดได้ว่าจะมีวันนี้หลายปีมานี้ข้าต้องพยายามอย่างหนักถึงจะนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เ้าว่าข้าควรจะตอบแทนเ้าอย่างไรดี?” นางกัดฟันพูดออกมาเผยด้านมืดของตัวตนนางทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกหนังศีรษะเหน็บตึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนมีแผนการร้ายอยู่ในใจของนาง
เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยเองก็พยายามอย่างมากที่จะทำให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ลงเื่บางเื่นางเองก็ไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ทำให้นางไม่รู้จะรับมืออย่างไรตอนนั้นนางแค่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องทำเช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีคนมาคิดบัญชีเก่ากับนาง
เพียงแต่ว่านี่กลับทำให้ซูฉีฉีเดือดร้อนไปด้วยเื่นี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจและเสียใจเป็อย่างมาก
“ไทเฮา...เื่ในปีนั้นล้วนเป็ความผิดของหม่อมฉันเอง” เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยทำเพียงแค่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างนอบน้อมก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน “ขอพระองค์ปล่อยฉีฉีไปเถิด นางเป็ผู้บริสุทธิ์นางไม่เกี่ยวข้องกับเื่นี้แม้แต่นิดเดียว...”
น้ำเสียงของนางสั่นเครือ
“ปล่อยนางไป?”สำหรับท่าทีของเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยนั้น ไทเฮารู้สึกพอใจเป็อย่างมากนางเองก็รู้ว่าสตรีผู้นี้อยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดีนั้นไม่ได้สุขสบายเท่าใดนักทว่าในใจนางแค่ไม่พอใจกับเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปีนั้นก็เท่านั้นเอง “ถ้าข้าปล่อยนางไปแล้วใครจะปล่อยลูกชายของข้ากัน”
เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยเข้าใจความหมายในคำพูดของไทเฮาสีหน้าของนางเปลี่ยนไปก่อนจะรีบคลานไปตรงหน้าซูฉีฉี “ฉีฉีเ้ารับปากไทเฮาสิว่าเ้าจะไม่เป็ศัตรูกับฮ่องเต้...พูดสิ...”
เพราะหยดน้ำตาทำให้สายตาของนางพร่ามัวภาพตรงหน้าไม่ชัดเจนนัก
มือของนางกำลังสั่นความจริงแล้วนางก็ไม่อยากให้ซูฉีฉีต้องเป็เช่นนี้ทว่าตอนนี้นางรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ซูฉีฉีกัดฟันแน่นก่อนจะจ้องมองไปที่มารดาของตนนางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเื่ราวจะกลายเป็เช่นนี้ได้แต่เดิมนางคิดว่าม่อเวิ่นเฉินจะสามารถคุ้มครองมารดาของตนให้ปลอดภัยได้แน่นอนทว่าตอนนี้กลับกลายเป็ว่ามารดาของนางกำลังมาเอ่ยขอร้องเพื่อนาง
ปีนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่? สีหน้าท่าทางของมารดาตนที่แสดงออกมาไม่เหมือนกันในตอนแรกและตอนหลังนั้นยังเป็เพราะอะไรอีก?
ในใจของนางมีเพียงความสับสนงุนงง นางไม่สามารถเข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุได้เลยแม้แต่น้อย
“ท่านแม่...”ซูฉีฉีขานเรียกมารดาตนเสียงเบา
ไทเฮาที่อยู่ด้านข้างทำเพียงแค่มองด้วยสายตาเ็าในเมื่อนางได้ลงมือแล้วก็จะไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่
นางเพียงแค่อยากจะเห็นละครฉากหนึ่งเท่านั้นเห็นฉากที่เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยนั้นเ็ป ในใจของนางก็รู้สึกปีติยินดีแล้ว
นี่เป็เพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยเห็นว่าดวงตาของซูฉีฉีมีความไม่ยินยอมและลังเล ในใจของนางก็จมดิ่งลึกลงไปอีกหลายปีมานี้นางกลัวเพียงอย่างเดียวว่าซูฉีฉีจะได้รับอันตรายนางคอยระมัดระวังมาโดยตลอด ตอนนี้กลับพบว่าทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมเสียแล้ว
“ฉีฉีแม่ผิดต่อเ้า เป็แม่เองที่ทำให้เ้าเดือดร้อน...” เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยกำมือของซูฉีฉีไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือออก ก่อนจะจับจ้องไปที่ซูฉีฉีด้วยแววตารู้สึกผิด “เ้าจะต้องไม่เป็อะไร ฉีฉี...มิเช่นนั้น ข้าจะนอนตายตาไม่หลับ...”
บางอย่าง นางอยากจะเอ่ยออกมาทว่าเป็เพราะว่ามีคนอยู่ที่นี่ด้วยทำให้นางไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
อยู่ๆนางก็รู้สึกเสียดายที่วันนั้นไม่ได้พูดเื่ทุกอย่างออกมาให้หมด...