ซูฉีฉีปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยจับมือของตนไว้แน่นแต่ผ่านไปเนิ่นนานนางก็ยังไม่รู้จะตอบมารดาของตนอย่างไรดีหยดน้ำตาของนางไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“รับปากข้า ขอเพียงมีชีวิตอยู่ก็พอ” เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยมองเห็นความลังเลในตัวของซูฉีฉีนางเองก็เหมือนจะเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว ที่แท้วันนี้ที่ได้รับราชโองการเชิญมาในตำหนักนั้นก็คือการได้รับราชโองการคำสั่งปะานั่นเอง
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถิดข้าจะไม่ให้ท่านเป็อะไรไปแน่นอน”ผ่านไปเนิ่นนานซูฉีฉีค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ นางเงยหน้าขึ้นจับจ้องไปที่ไทเฮาผู้ยืนอยู่้า “พระองค์ทรงว่ามาเถิด จะให้หม่อมฉันทำเช่นใด”
ในที่สุดนางก็ตัดสินใจแล้ว
ไทเฮาปรบมือประตูที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
คนที่ก้าวเข้ามาก็คือซูชือฉาง
ดวงตาของซูฉีฉีมีประกายแห่งความเ็าปรากฏขึ้นแวบหนึ่งนางไม่อาจเชื่อสายตาตัวเองและนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ที่มาจะเป็ซูชือฉางไปได้ตอนนี้นางเข้าใจแล้วั้แ่เมื่อสามวันก่อนนั้นนางก็ได้ตกเข้ามาในหลุมพรางของซูเมิ่งหรูเสียแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าเื่ทั้งหมดนี้จะเป็แผนการที่บิดาของตนเป็คนวางขึ้น
ให้บุตรสาวของตนต้องโดนลงโทษเช่นนี้ให้ภรรยาของตนมาปรากฏตัวที่นี่เพื่อเป็เหยื่อล่อ เขานั้นทำได้ลงคอเสียจริง...
“ท่านพ่อ...” ซูฉีฉีขานเรียกออกมา “ท่านทำเช่นนี้กับท่านแม่ได้เช่นไร”
เสียงของนางทุ้มต่ำมีพลังดวงตาทั้งสองของนางเ็าราวกับน้ำแข็ง ทำให้คนไม่กล้าที่จะมองนางตรงๆ
แต่เดิมซูชือฉางอยากที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังๆครั้งที่แล้วเขาถูกบุตรสาวของตนเล่นละครหลอกได้ ครั้งนี้แต่เดิมคิดว่าจะสั่งสอนเ้าเด็กนี้ได้เสียหน่อยกลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อก้าวเข้ามาในประตูนั้นกลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
นี่ใช่บุตรสาวของเขาจริงๆ หรือ?
นี่คือบุตรสาวที่อ่อนน้อมเชื่อฟังคอยแต่จะเอ่ยขานรับคำเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มเบา อดทนอดกลั้นต่อทุกสิ่งอย่างนั้นหรือ?
ตอนนี้เขาสามคนมาพบเจอกันอีกครั้งกลับต้องกลายเป็เหมือนคนแปลกหน้าก็มิปาน
“แม่ของเ้า...หึ ช่างเป็คู่แม่ลูกที่ดีเสียจริง” เมื่อเห็นสีหน้าของไทเฮาซูชือฉางก็รีบปรับสีหน้าของตนให้เป็ปกติก่อนจะส่งเสียงะโต่ำออกมา “เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยอย่าคิดจะใช้สีหน้าอันอ่อนโยนมีเมตตาของเ้ามาหลอกข้าอีกเื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปีนั้น ข้ารู้ความจริงหมดแล้ว”
แววตาของเขาแฝงไปด้วยประกายแห่งความเยือกเย็นเสมือนว่าปีนั้นเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยนั้นได้ทำเื่เลวร้ายอย่างไม่น่าให้อภัยเสียอย่างนั้น
เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยในตอนนี้กลับมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียอย่างนั้นเื่นั้นนางไม่สามารถเอ่ยออกมาได้!
ซูฉีฉีหันไปมองมารดาของตนอีกครั้งสีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจ “ท่านแม่ปีนั้นเกิดอันใดขึ้นกันแน่?”
“เกิดอันใดขึ้น?”ไทเฮาพุ่งตัวออกมาข้างหน้าก่อนจะผลักซูฉีฉีออกไปแล้วยกมือขึ้นฟาดลงบนใบหน้าของเซี่ยเสี่ยวเตี๋ย “ปีนั้นแม่ของเ้าวางยาเสน่ห์ลงไปในอาหารของข้าก่อนจะส่งข้าขึ้นไปบนเตียงของฮ่องเต้องค์ก่อนจากนั้นก็วางแผนให้ชือฉางเดินเข้ามาเห็นฉากนั้น...ส่วนนางกลับปีนขึ้นไปบนเตียงของชือฉางอย่างหน้าไม่อาย...”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเคียดแค้นเื่ทั้งหมดนี้นางไม่สามารถลืมมันไปได้เพราะมันได้ฝังลึกเข้าไปในใจนางเสียแล้ว
ตอนนั้นนางเห็นเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยเป็เหมือนสหายคนสนิทของตนมักจะเชื่อนางเสียทุกอย่าง
แต่ท้ายที่สุดคนทั้งสองกลับต้องมาเป็ศัตรูกันเพราะบุรุษผู้หนึ่ง อีกทั้งตัวนางกลับถูกหักหลังกลายเป็ตัวตลกของผู้คนในตอนนั้นหลายปีมานี้ชีวิตของนางในวังหลวงนั้นไม่ได้สุขสบายนักถ้ามิใช่เพราะว่าบุตรชายของตน นางคงไม่มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการจะมาเป็ไทเฮาที่มีอำนาจเหนือผู้คน
นางแค้นเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยต่อให้นางจะรู้ว่าเสี่ยวเตี๋ยนั้นไม่ได้รับความโปรดปรานจากซูชือฉางก็ตาม
“ไม่...เป็ไปไม่ได้...” ซูฉีฉีไม่กล้าที่จะเชื่อเื่ที่ไทเฮาเล่ามานางส่ายศีรษะแรงๆแต่เพราะการกระทำเมื่อครู่ทำให้เข็มทั้งหมดที่อยู่บนแผ่นหญ้าสานนั้นทิ่มเข้าไปทะลุเนื้อหนังของนางนางไม่มีเวลามาสนใจเื่ความเ็ปอีกแล้ว นางไม่เชื่อไม่เชื่อว่ามารดาของตนจะเป็คนเช่นนั้น
ั้แ่จำความได้มารดาของตนก็เป็คนอ่อนโยน มีมารยาทและขี้ขลาดเป็อย่างมาก
คนเช่นนี้จะทำเื่เช่นนั้นได้อย่างไรกัน
อีกทั้งยังเพื่อบุรุษเช่นซูชือฉางคุ้มแล้วหรือ?
“ฉีฉี...”เมื่อเห็นว่าหัวเข่าของซูฉีฉีมีเืไหลออกมาไม่หยุดเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยก็รู้สึกกระวนกระวายใจ “เ้าอย่าขยับ...อย่าขยับ...ทั้งหมดนี้เป็ความผิดที่แม่ทำขึ้นในปีนั้นหนี้ที่ติดไว้อย่างไรเสียก็ต้องชำระ...”
เมื่อพูดถึงตรงนี้แววตาของนางก็มีความมุ่งมั่นปรากฏขึ้น นางเงยหน้าเป็ครั้งแรกที่นางจ้องไปที่ซูชือฉางและไทเฮาอย่างหาญกล้า “เื่นี้ข้าทำคนเดียวก็ต้องรับผิดชอบคนเดียวพวกท่านคิดจะลงมือเช่นไร ข้าก็จะไม่บ่นกล่าวแม้แต่น้อยแต่ขอพวกท่านกรุณาอย่าทำร้ายบุตรสาวของข้า”
ซูฉีฉีนิ่งอึ้งไปขณะจ้องมองไปที่เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยคนผู้นี้ใช่มารดาของตนแน่หรือ?
ซูชือฉางหันไปมองซูฉีฉีแวบหนึ่งเขาไม่ได้เอ่ยอะไร ยังไงเสียซูฉีฉีก็เป็บุตรสาวแท้ๆ ของตนแต่เป็เพราะว่าเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยทำให้เขาไม่ชอบบุตรสาวคนนี้
แต่ต่อหน้าอำนาจและลาภยศเงินทองนั้นเขายินยอมที่จะเสียสละบุตรสาว แต่จะไม่มีวันเสียสละตนเอง
เวลานี้ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้นรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเ้าเล่ห์และยังแฝงไปด้วยความเ็า
“ยังไงเสียพวกเราก็เคยเป็สามีภรรยากันสามีภรรยากันวันเดียวก็ถือว่าผูกสายสัมพันธ์กันชั่วชีวิต” ซูชือฉางพยายามแสดงสีหน้าเรียบนิ่งออกมา ถึงแม้ว่าคนผู้นี้จะอายุย่างเข้าวัยกลางคนแล้วทว่าโครงหน้าที่หล่อเหลาได้รูปในวัยหนุ่มนั้นยังคงปรากฏอยู่สามารถเห็นได้ชัดว่าเมื่อตอนเขายังอายุน้อยนั้นก็จัดว่าเป็คุณชายรูปโฉมหล่อเหลาคนหนึ่ง
มิแปลกใจเลยว่าจะมีสตรีถึงสองคนมาแย่งชิงกันเพื่อเขา
แต่ว่าซูชือฉางที่เป็เช่นนี้กลับดูน่ากลัวมากในสายตาของซูฉีฉี
นางมักจะดูเื่ราวได้ทะลุปรุโปร่งตอนนี้นางก็รู้ดีว่าเื่นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับม่อเวิ่นเฉินอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าในตอนนี้นางยังมีทางให้ถอยอีกหรือ?
ม่อเวิ่นเฉินไม่ปรากฏตัวนางและมารดาของตนก็จะไม่มีทางให้ถอยได้
ซูฉีฉีภาวนาอยู่ในใจให้ม่อเวิ่นเฉินปรากฏตัวมาช่วยตนให้ออกไปจากที่นี่แต่ในขณะเดียวกันก็คอยบอกตนเองให้อดทนเอาไว้นางซูฉีฉีมีเพียงแต่พึ่งพาตนเองเท่านั้น ไม่ว่าจะพึ่งใครก็สู้พึ่งตนเองไม่ได้
เพราะว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นทำให้นางผิดหวังมาหลายครั้งแล้ว
เวลานี้หากนางยังมีความหวังอยู่นางก็โง่เต็มทีแล้ว
ซูฉีฉีจ้องมองไปที่ซูชือฉางด้วยสีหน้าราบเรียบ “ท่านพ่อ ท่านพูดมาเถิด ขอเพียงท่านไม่ทำร้ายท่านแม่ให้ลูกทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อประโยคนี้เท่านั้นหรอกหรือ
“ฉีฉี...ข้า...” เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยเองก็เข้าใจทั้งหมดดีนางมองไปที่บุตรสาวตนด้วยสีหน้ารู้สึกผิดนางกลับทำตัวเป็ภาระให้กับบุตรสาวเสียได้...
ซูฉีฉียังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเพราะว่าขอเพียงนางขยับแค่เพียงนิดเดียว หัวเข่าก็จะรู้สึกเจ็บเข้าถึงกระดูกเพราะอย่างนั้นนางถึงไม่กล้าขยับมากนัก บนหน้าผากของนางเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นนางพยายามกัดฟันแน่นเพื่อข่มความเ็ปเอาไว้แล้วหันไปส่ายศีรษะเบาๆ ให้กับเซี่ยเสี่ยวเตี๋ย “ท่านแม่ ไม่เป็อะไรหรอกท่านพ่อเพียงอยากให้ข้า...ช่วยอะไรนิดหน่อยก็เท่านั้น...ไม่ทำให้ข้าลำบากหรอก”
เมื่อได้ยินซูฉีฉีพูดเช่นนั้นซูชือฉางและไทเฮาก็หันไปสบตากัน ใบหน้าของทั้งสองประดับด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาทั้งสองพอใจกับท่าทีของซูฉีฉีในตอนนี้มากการตกลงกับคนฉลาดนั้นช่างเป็เื่ที่ดีเสียจริง
ซูฉีฉีในตอนนี้มีหรือที่จะไม่รู้ ต่อให้นางทำได้จริงแล้วไทเฮาก็ใช่ว่าจะปล่อยพวกนางสองแม่ลูกไปทว่าเพียงเพื่อปกป้องตัวเองและมารดาจากสถานการณ์ตรงหน้านางทำได้เพียงแค่ตอบรับแล้ว
นางคงต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อคุ้มครองมารดาของตนเสียแล้ว
“ดีมาก”ซูชือฉางเดินออกไปข้างหน้าก่อนจะพยุงซูฉีฉีให้ยืนขึ้น “ไม่เสียแรงที่เป็บุตรสาวของข้า”
ซูฉีฉีร้องเบาๆ ออกมาอย่างเ็ปแต่นางกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนภายใต้แรงพยุงของซูชือฉางแต่นางกลับหันไปมองที่ไทเฮาแทน “ไทเฮาไม่รู้ว่าเื่ทั้งหมดในปีนั้นไทเฮาจะทรง...จัดการเช่นใด?”
ไทเฮาหัวเราะออกมาตอนนี้นางกลับมีท่าทีประหนึ่งสตรีผู้เปี่ยมด้วยเมตตานางหันไปมองซูชือฉางแวบหนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะ “ช่างเถิด ช่างเถิดเื่ผ่านมานานแล้ว เ้าก็แค่คุกเข่าขอขมาข้าก็พอแล้ว!”
สำหรับท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันของไทเฮานั้นทำให้เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยและซูฉีฉีนั้นก็ได้แต่นิ่งอึ้งสตรีผู้นี้ช่างเปลี่ยนไปมาได้อย่างง่ายดายเสียจริง
ซูชือฉางสั่งให้คนพาเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยกลับไปส่งที่จวนอัครมหาเสนาบดีในขณะที่ซูฉีฉีนั้นเดินกลับเรือนรับรองด้วยตัวคนเดียววันนี้นางรู้สึกเหนื่อยใจเป็อย่างมาก เหนื่อยเหลือเกิน สุดท้ายแล้วคนที่นางเฝ้ารอก็ยังไม่มา
นางรู้สึกหมดหวังแต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็ความเศร้าใจ