หมอหลวงหลินยกมือขึ้นอย่างร้อนใจ ออกคำสั่งกับเด็กปรุงยาอย่างเ็า “ไป! เดินหน้าต่อ!”
เด็กปรุงยานามจือฟางผู้แบกหมอหลวงหลินไว้บนหลังตอบรับด้วยใบหน้านิ่งเฉย มองตรงไปยังกลุ่มคนตรงหน้า เดินหน้าต่อไปอย่างใจเย็น
พวกเขาหยุดอยู่ไม่ไกล ไม่นานเขาก็มาหยุดต่อหน้าพวกของมู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิงยกมือกอดอก ชำเลืองมองพวกหมอหลวงหลิน ในแววตาแฝงการเหน็บแนมในความหน้าไม่อาย “ดี ดีมาก หมอหลวงหลินวางมาดเช่นนี้ ดูจะยิ่งใหญ่กว่าเปิ่นหวางเฟยเสียแล้ว สุขสบายเสียจริง!”
ในขณะที่พูด ดวงตาของมู่จื่อหลิงก็กวาดมองผู้ฝึกวรยุทธ์ที่เล่อเทียนบอกว่าไม่ธรรมดาอย่างรวดเร็ว
ยามมองดูเด็กปรุงยาทั้งสองใกล้ๆ หากเขาไม่ได้แบกก้อนเนื้อขนาดใหญ่อย่างหมอหลวงหลินไว้บนหลัง นางก็ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าสองคนนี้เป็ผู้ฝึกวรยุทธ์
ดวงตาของพวกเขาบริสุทธิ์ราวกับกระดาษขาว แม้ใบหน้าจะเฉยชา แต่กลับมีความอ่อนโยน ในความเฉยเมยของพวกเขาดูไม่เป็อันตรายแม้แต่น้อย
มู่จื่อหลิงแอบระแวดระวัง
ครั้งนี้นางมาเพื่อช่วยเหลือคน ต่อให้หลับตาคิด นางก็สามารถรู้ได้ว่าคราวนี้แม่มดเฒ่าในวังจะกัดนางไม่ปล่อยเป็แน่ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถปล่อยให้ตนเองประสบกับเื่ร้ายได้แม้เพียงนิด
ไม่ว่าจะมีอันตรายหรือไม่ กล่าวได้ว่า หากสองคนนี้สามารถมาติดตามหมอหลวงหลินได้ พวกเขาย่อมไม่ใช่นกที่ดี ยิ่งเป็คนลึกลับมากเพียงใด ก็ยิ่งเก็บซ่อนตัวตนไว้ได้ลึกขึ้นเท่านั้น
หมอหลวงหลินไม่ได้ลงจากหลังจือฟาง เพียงเพราะความใในคำพูดของมู่จื่อหลิง
กลับกัน เขาหันมาเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงน่านับถือ พร้อมก้มตัวลง “ไทเฮาทรงดำริว่ากระหม่อมนั้นทั้งชราและอ่อนแอ ดังนั้นพระนางจึงมีรับสั่งให้จือฟางกับจือเซิงติดตามมาด้วย ระหว่างทางจะได้มีคนคอยดูแล หวังว่าหวางเฟยจะทรงเห็นอกเห็นใจ”
คำว่าคอยดูแลนี้ไม่ได้มีความหมายตรงตามตัวอักษร...มู่จื่อหลิงยิ้มบางๆ ไม่พูดอะไร ไม่เช่นนั้นจะไม่สนุก
ในยามนี้ หมอหลวงหลินไม่มีความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตนของผู้อยู่ต่ำกว่าเลยแม้แต่น้อย
ยามนี้เขาดูมีความนอบน้อม แต่นั่นเป็เพียงยามอ้างถึงไทเฮาเฒ่าที่เขาเคารพ
ในทางกลับกัน น้ำเสียงที่พูดกับมู่จื่อหลิงทรงพลัง เป็เพราะเขายังคงอยู่บนหลังจือฟาง ทำตนราวกับเขาอยู่เหนือกว่านาง
มู่จื่อหลิงเยาะเย้ยในใจ
คำอธิบายนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผล เขาไม่ต่างจากสุนัขปักกิ่ง [1] ที่ทำได้เพียงกระดิกหางร้องขอความเมตตาจากเ้านายของมันเท่านั้นอย่างแท้จริง
แต่กล้าวางมาดสูงส่งต่อหน้านางหรือ? ยังต้องเกรงใจเขาอยู่ไหม? คนผู้นี้คิดว่าตนเองเก่งกล้าสามารถมากเสียจริง
มู่จื่อหลิงเดินวนรอบพวกเขาช้าๆ มุมปากยกโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม “จริงหรือ! ไทเฮาทรงเมตตาท่านมากจริงๆ ดูไปแล้วการควบขี่เช่นนี้ก็เข้ากับท่านดี ดูเหมือนว่าท่านจะขี่มันอย่างสบายอารมณ์ แต่หมอหลวงหลินมาที่นี่เพื่อความเพลิดเพลิน หรือมาเพื่อเป็สุนัขรับใช้ให้กับเปิ่นหวางเฟยเล่า?”
ยามพูดเช่นนี้ มู่จื่อหลิงชำเลืองมองเด็กปรุงยาสองคนอย่างใจเย็น
อย่างไรก็ตาม มู่จื่อหลิงต้องรู้สึกผิดหวัง ด้วยแม้นางจะนำพวกเขาไปเทียบกับสัตว์ เด็กปรุงยาทั้งสองก็ไม่มีอารมณ์แปรปรวนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าทั้งสองกำลังปิดบังบางอย่างอยู่
เนื่องจากถูกซ่อนไว้ จึงต้องระมัดระวังตลอดเวลา ไม่เช่นนั้น อาจต้องสูญเสียครั้งใหญ่
ผ่านไปครู่หนึ่ง เล่อเทียนถึงเข้าใจความหมายที่มู่จื่อหลิงพูดเช่นนี้
ในขณะที่นางกำลังพูด เขาก็ให้ความสนใจกับสองคนนั้นด้วยเช่นกัน เขาเคยัักับลิ้นพิษของมู่จื่อหลิงมาก่อน แม้กระทั่งไทเฮาผู้สูงส่งก็ยังเปลี่ยนสีหน้าไปในทันทียามถูกนางกลั่นแกล้ง
แต่...ยามนี้ทั้งสองคนนี้กลับเหมือนหุ่นเชิด ไม่แม้แต่จะกะพริบตา แข็งทื่อยิ่งกว่าท่อนไม้อย่างกุ่ยเม่ยที่ได้รับการฝึกมาเป็อย่างดี
เล่อเทียนโน้มตัวเข้าใกล้หูมู่จื่อหลิง ลดเสียงลงก่อนพูดอย่างระมัดระวังด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “ดูเหมือนสองคนนี้จะรับมือไม่ง่ายนัก ระวังตัวด้วย”
มู่จื่อหลิงยักไหล่ ยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ในใจกลับไม่ยอมแพ้
ความตั้งใจเดิมของนางคือการทดสอบสองคนนี้เท่านั้น ด้วยนางกำลังตรวจสอบว่าอะไรคือสิ่งที่อันตรายที่สุด ส่วนการเยาะเย้ยหลินเกาฮั่นเป็เพียงเื่บังเอิญ
ให้หลินเกาฮั่นคิดให้ออกว่ายามนี้ใครเป็นาย
มู่จื่อหลิงมองหมอหลวงหลินด้วยรอยยิ้ม ั์ตาของนางแน่วแน่ รอคำตอบของเขาอย่างใจเย็น
สิ่งที่นางพูดนั้นถูกต้อง ไม่ว่าหมอหลวงหลินจะอ้างถึงไทเฮามากมายเพียงใด ไม่ว่าจะพยายามโต้แย้งอย่างไร ต่อหน้าลิ้นพิษของมู่จื่อหลิง สิ่งนั้นก็เป็เพียงเสือกระดาษ [2]
สิ่งที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงตรัสไว้ก่อนหน้านี้คือให้สุนัขตัวนี้ทำตามคำสั่งนางอย่างเชื่อฟัง พูดตรงๆ ก็คือเป็สุนัขรับใช้ของนางไม่ใช่หรือ?
หมอหลวงหลินหายใจไม่ออกทันที
เพราะเขารู้ ไม่ว่าเขาจะพูดว่าอย่างไร สิ่งที่ทำก่อนหน้านี้ล้วนไม่ถูกต้อง แต่จะให้ยอมรับว่าหัวหน้าสำนักหมอหลวงผู้สง่างามต้องลดตัวไปเป็สุนัขรับใช้ ทั้งยังเป็สุนัขรับใช้ของยายหนูโง่งมผู้นี้
คำว่าสุนัขรับใช้นี้...จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ใด?
ในยามนี้หลี่ซินหย่วนถึงได้เอ่ยเตือนในเวลาที่เหมาะสม “ใช่ หมอหลวงหลิน พระประสงค์ของฮ่องเต้ไม่อาจละเลยได้ หวางเฟยยังสามารถเดินเองได้อย่างมีเกียรติ ดังนั้นเราในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาจะล้ำเส้นได้อย่างไร? หากเื่นี้แพร่ออกไปคงไม่ดีแน่!”
ไม่มีหมอหลวงคนอื่นๆ จากวังหลวงติดตามมาด้วย มีเพียงหมอหลวงหลินผู้เดียวเท่านั้น ไม่จำเป็ต้องคิดมาก หลี่ซินหย่วนซึ่งจัดการงานราชการมาหลายปีย่อมรู้ดี
มู่จื่อหลิงกลอกตา เมื่อกล่าวถึงการละเมิดกฎ ยังมีใครสามารถเทียบชายตุ้งติ้งเช่นเ้าได้อีกหรือ?
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพิ่งรู้จักกันใน่เวลาสั้นๆ แต่ดูเหมือนชายตุ้งติ้งผู้นี้จะคุ้นเคยกับนางมาก
ใบหน้าหมอหลวงหลินแข็งทื่อ ใบหน้าชรามีความอึดอัดเล็กน้อย
ยามนี้เป็่เวลาพิเศษ ฉีหวางเฟยผู้สง่างามยังต้องเดินเท้า อีกทั้งเขาไม่ได้เจ็บป่วยที่ใด นี่ไม่ใช่ภาพที่ดีสำหรับผู้พบเห็น หากคำพูดกระจายออกไปคงแย่ยิ่งกว่า
ในเวลาไม่ถึงอึดใจ หมอหลวงหลินที่ยังคิดเหตุผลต่างๆ นานา แต่ในท้ายที่สุด หากเขายังคงโต้แย้งต่อไป ผู้ที่ลำบากย่อมเป็เขา บุรุษที่แท้จริงสามารถยอมลดราวาศอกได้ชั่วคราว [3] คงต้องยอมอดทนต่อยายเด็กหน้าเหม็นไปสักพัก
“ใช่ ใช่ ใช่ ฮู่กั๋วกงพูดถูก” หมอหลวงหลินยิ้ม
ในท้ายที่สุด มู่จื่อหลิงก็อดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มกวนๆ การโจมตีจากหลี่ซินหย่วนผู้มี ‘ความเมตตา’ เขาไม่สามารถหักล้างได้เลย หมอหลวงหลินทำได้เพียงกัดฟันยอมลงจากหลังจือฟางอย่างไม่พอใจ
หมอหลวงหลินลอบถอนใจ ในแง่ของการวางแผน ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ไม่เก่งเท่าเขาเป็แน่ แต่ในด้านความสามารถในการพูดนั้น แม้แต่ไทเฮาผู้รับมือกับหญิงสาวนับไม่ถ้วนในวังหลังตลอดทั้งปีก็ยังสู้ไม่ได้
ชายชราเช่นเขาจะชนะได้อย่างไร? ยามที่ยังไม่เปิดปากพูดยังสามารถกดข่มจนแทบตายได้ เช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากเหวลึกที่ไม่อาจข้ามผ่านได้เลย
ในยามนี้หมอหลวงหลินรู้ว่าไม่ว่าตนจะใช้กลยุทธ์ใดในการโต้แย้ง ก็ไม่สามารถเอาชนะคนอย่างฉีหวางเฟยได้
มู่จื่อหลิงเม้มริมฝีปาก คำรนออกมาอย่างเ็า แล้วเดินทางต่อ
ไม่สามารถแบกเขาขึ้นหลังได้ จึงไม่สามารถตามทันได้ด้วยฝีเท้าของตนเอง หมอหลวงหลินผู้ชราและอ่อนแอทำได้เพียงให้เด็กปรุงยาสองคนประกบด้านข้าง แล้วดึงลากตนไปด้วยท่าทางงุ่มง่ามอย่างไม่มีทางเลือก
คนทั้งกลุ่มก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ
เพียงแต่ในเวลานี้
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็หยุดฝีเท้า ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองไปโดยรอบ
มู่จื่อหลิงหยุดอย่างกะทันหัน คนที่อยู่ด้านหลังย่อมต้องหยุดเช่นกัน
เล่อเทียนสังเกตเห็นหน้าของนางซีดลงเล็กน้อย จึงถามอย่างเร่งรีบ “หลิงเอ๋อร์ สีหน้าเ้าดูไม่ดีเลย เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่เป็ไร ส่งคบเพลิงให้ข้าที” มู่จื่อหลิงส่ายหัว รับคบเพลิงจากเล่อเทียน แล้วเดินไปทางซ้ายทีขวาที
ในที่สุดก็ยืนยันทิศทางที่ถูกต้องได้ นางมองเข้าไปในป่าข้างทาง แต่ป่าทึบเกินไป ทั้งยังมืดมิด นางจึงมองไม่เห็นอะไรเลย
“มีอะไร?” เล่อเทียนมองตามนาง แล้วถามด้วยความงงงวย
“ข้า...” เมื่อครู่มู่จื่อหลิงกำลังจะตอบ แต่นึกบางอย่างได้จึงเปลี่ยนคำพูดทันที “เมื่อครู่ข้าได้กลิ่นลมหายใจที่ค่อนข้างแปลก”
ความจริงแล้วระบบซิงเฉินตรวจพบคนที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งเป็ผู้ป่วยโรคระบาด หากนางพูดไปตามตรงว่านางพบใครสักคนที่อยู่ไม่ไกล นางอาจถูกเล่อเทียนและคนอื่นๆ รุมถาม
เนื่องจากเล่อเทียนและคนอื่นๆ ล้วนเป็ผู้มีวรยุทธ์ ทั้งยังค่อนข้างระมัดระวัง ไม่มีใครในพวกเขาค้นพบ ดังนั้นนางที่ไร้วรยุทธ์จะค้นพบได้อย่างไร?
สิ่งนี้ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน ดังนั้นอุบายเื่จมูกที่ใช้ไปก่อนหน้านี้จึงถูกนำมาใช้อีกครั้ง
เหตุผลที่นางขมวดคิ้วไม่ใช่เพียงเพราะนางพบผู้ป่วยโรคระบาด แต่ยังเป็เพราะนางค้นพบสิ่งที่เล่อเทียนกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ สิ่งแปลกประหลาดที่ไม่อาจมองเห็นได้
พวกของหมอหลวงหลินล้วนไม่เข้าใจสิ่งที่มู่จื่อหลิงกล่าวออกมา แต่พวกเล่อเทียนเข้าใจดี
“เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ จมูกสุนัขของเ้าดีเพียงนี้เชียวหรือ? ได้กลิ่นอีกแล้วหรือ?” หลี่ซินหย่วนเดินเข้ามาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มู่จื่อหลิงสูดลมหายใจลึก ดวงตาฉายแววหงุดหงิดเล็กน้อย แต่นางกลับแย้มยิ้มงดงามดูไม่มีพิษมีภัย
นางยื่นมือออกมา ส่ายนิ้วต่อหน้าหลี่ซินหย่วน แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ฮู่กั๋วกง ท่านว่านี่คืออะไร?”
“ฝ่ามือ!” หลี่ซินหย่วนกล่าวอย่างไร้เดียงสา ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาคิดว่าเขาฉลาดพอที่จะกุมแก้มของตนไว้ก่อน ด้วยคาดว่ามู่จื่อหลิงจะยกมือขึ้นตบหน้าเขา
แต่...ความจริงช่างน่าเศร้า
“ผิด!” จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็กำหมัดแน่นต่อหน้าหลี่ซินหย่วน นางเหวี่ยงกำปั้นหนักแน่นออกไปด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ “นี่คือกำปั้น!”
ขณะพูด นางรวบรวมกำลังทั้งหมดของนาง จดจ่อกับกำปั้น แล้วยกขึ้นชกออกไปอย่างโเี้ เหวี่ยงไปทางใบหน้าขาวของหลี่ซินหย่วนผู้สมควรถูกทุบตี
จากนั้น กำปั้นก็พุ่งเข้าใส่ดวงตาดอกท้องดงามข้างหนึ่งของเขา
“โอ๊ย!” จู่ๆ หลี่ซินหย่วนก็ร้องออกมา เขาไม่คาดคิดว่ามู่จื่อหลิงจะเปลี่ยนท่วงท่าอย่างกะทันหัน แม้ว่าเขาอยากหลบหลีกแต่ก็สายเกินไป!
“เจ็บเจ็บเจ็บ!”
“เสียโฉมแล้ว...ไม่มีใครรักแล้ว...”
พวกเล่อเทียนมองดูภาพนี้ด้วยความประหลาดใจ...ฉีหวางเฟยช่างดุร้ายยิ่งนัก รุนแรงมากจริงๆ!
เล่อเทียนเงยหน้าขึ้นหัวเราะในชั่วพริบตา ปรบมืออย่างยินดี “ต่อยได้ดี ทำได้ดีมาก...” เป็การเคลื่อนไหวที่ดีจริงๆ รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย
กุ่ยเม่ยกลั้นหัวเราะไม่ไหว จึงหลุดหัวเราะออกมาในตอนท้าย ก่อนเปลี่ยนเป็เสียงกระแอมดังแค่กอย่างต้านไม่อยู่
นายหญิงของพวกเขาภายนอกดูบริสุทธิ์และใจดี รูปโฉมแลดูไร้พิษสง แต่กลับไม่มีใครสามารถมองทะลุผ่านความเ้าเล่ห์มากเล่ห์เหลี่ยมในใจของนางได้ ยากจะคาดเดา นางเป็เหมือนะเิที่สามารถะเิออกได้ตลอดเวลา ยากจะป้องกัน!
มู่จื่อหลิงจับมือที่เจ็บน้อยๆ ของตน แล้วพูดแก้ตัวด้วยท่าทางจริงจังที่ดูทรงพลัง “ฮู่กั๋วกงละเมิดกฎ ดังนั้นจึงจำเป็ต้องให้บทเรียน คราวหน้า...เปิ่นหวางเฟยจะไม่ยอมผ่อนผันให้เช่นนี้อีก”
นางไม่เพียงแค่พูดเื่นี้กับชายตุ้งติ้งผู้นี้เท่านั้น แต่นางยังพูดกับหมอหลวงหลินผู้ซึ่งปฏิบัติตนเหมือนต้นหอม [4] อีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเป็การเตือนคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าหลังจากได้ยินเื่นี้ ทั้งยังเห็นดวงตาหมีแพนด้าข้างเดียวของหลี่ซินหย่วน ประกอบกับเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเ็ปของเขา ความมุ่งมั่นของหมอหลวงหลินที่ไม่ดีเท่าสมาธิของชายหนุ่มสองคน เทียบไม่ได้แม้แต่เล็บมือ
ดังนั้นหัวใจของเขาจึงยังคงสั่นไหวอย่างลับๆ
“กลิ่นมาจากทางนั้น…ไปดู!” มู่จื่อหลิงกล่าวออกมาอีกประโยค
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สุนัขปักกิ่ง (哈巴狗) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า บุคคลที่เชี่ยวชาญในการประจบสอพลอ และวนเวียนอยู่รอบตัวผู้นำหรือคนร่ำรวย
[2] เสือกระดาษ (纸老虎) เป็วลี มีความหมายว่า สิ่งที่ดูน่าเกรงขามแต่ไร้อำนาจ เปรียบถึงคนที่ภายนอกดูเข้มแข็งแต่ภายในไม่มีอะไรเลย
[3] บุรุษที่แท้จริงสามารถยอมลดราวาศอกได้ชั่วคราว (好汉不吃眼前亏) เป็วลี มีความหมายว่า เมื่อตกอยู่ในที่นั่งลำบากสามารถยอมถอยได้ เพื่อที่จะไม่ได้เป็เบี้ยล่างในขณะนั้น
[4] ปฏิบัติตนเหมือนต้นหอม (把自己当根葱) เป็วลี มีความหมายว่า คิดว่าตัวเองเก่ง แต่แท้จริงแล้วไม่ดีเท่าต้นหอม หรือคิดไปเองว่าตนเก่งกล้าสามารถ แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไร