“ไม่ มันทำตัวดีมาก” หลัวจิ่งก็ประหลาดใจเล็กน้อย นอกจากคืนแรกที่เขามาที่นี่ สามารถหลับได้จนถึงรุ่งสาง แต่ต่อมากลางดึกส่วนใหญ่ที่หลับไปล้วนถูกความเ็ปปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อคืนเขาเ็ปแล้วตื่นขึ้นมาอยู่สองสามหน ลูกแมวนี่กลับหลับลึกมากนัก
“อื้ม เช่นนั้นก็ดี หากมันกวนเ้า คงไม่ดีเท่าไร” ยังดี ที่เสี่ยวเฮยไม่มีปัญหาของการร้อง “หง่าว” วุ่นวายกลางดึก ไม่เช่นนั้นคงทำได้เพียงย้ายมันไปข้างแท่นเตาที่ห้องครัว
ความรู้สึกัับางเบาเข้าที่ขากางเกง เสี่ยวเฮยที่ไม่รู้ว่าย่องมาอยู่ข้างขาของนางเมื่อไร กำลังคลอเคลียนางเบาๆ ร้อง “เหมียว” เป็ครั้งคราว
“ท่านพี่ เสี่ยวเฮยค่อนข้างชอบเล่นกับท่านนะ” ผิงอันอิจฉาเล็กน้อย เห็นๆ กันอยู่ว่าเขากำลังหยอกเล่นกับมัน ไม่นาน เสี่ยวเฮยก็วิ่งไปข้างขาท่านพี่ของเขาแล้ว
“ฮิ ฮิ เป็เพราะมันหิวแล้ว เลยมาหาของกินกับข้าน่ะ” เจินจูยกเท้าขึ้นถูเสี่ยวเฮยกลับไปเบาๆ ตอนนี้นางรู้แล้ว สัตว์แต่ละตัวล้วนฉลาดยิ่งนัก รู้ว่าร่างกายนางพกของดี ต่างก็มุ่งเข้าใกล้นาง
อาหารเช้าเสี่ยวเฮยและหลัวจิ่งเหมือนกัน ล้วนเป็โจ๊กเนื้อหนึ่งถ้วย ที่แตกต่างกันอยู่ที่ ในถ้วยเล็กแตกของมัน เพิ่มน้ำแร่จิติญญาเข้าไปนิดหน่อย
เพราะเป็สัตว์ เจินจูกลับไม่ลังเลใจที่จะใส่ลงไป ทุกมื้อล้วนใส่เข้าไปเล็กน้อยตามอำเภอใจ ดังนั้นาแภายนอกของเสี่ยวเฮยในหนึ่งคืนจึงดีขึ้นมากกว่าครึ่ง เหลือเพียงขาที่หักต้องใช้เวลา าแถึงจะหายสนิท
หลัวจิ่งทานอาหารเช้าอย่างเงียบเชียบ เสี่ยวเฮยที่อยู่ด้านข้างกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่งเสียง “เหมียว” ไม่หยุด “เสี่ยวเฮยดีขึ้นเร็วจริงๆ เมื่อวานท่าทางเกือบจะสิ้นลมหายใจ วันนี้กลับกระปรี้กระเปร่าแล้ว”
ผิงอันเอ่ยชมความอัศจรรย์ไม่หยุด
เพราะที่บ้านมีคนป่วยอาศัยอยู่ หลายวันนี้หลี่ซื่อล้วนใช้โจ๊กเป็อาหารหลักมื้อเช้า ในโจ๊กเติมเนื้อกับผักลงไปเคี่ยวในหม้อ ทั้งง่ายทั้งสะดวก
ขณะนี้ในบ้านไม่ขาดแคลนเสบียงอาหารแล้ว หลี่ซื่อย่อมไม่เสียดายที่จะกำข้าวมากขึ้นหนึ่งกำเป็ธรรมดา โจ๊กที่เคี่ยวจึงเข้มข้นไม่เหลวเช่นแต่ก่อน
ในลานบ้านสะท้อนเสียงเคาะ “ตึง ตัง ตึง ตัง” หูฉางกุ้ยที่ทานข้าวเช้าแล้วก็เริ่มสกัดแผ่นหินตามที่เจินจู้า ใช้สิ่วกับค้อนเจาะรูให้สม่ำเสมอด้วยความระมัดระวังก่อน แล้วค่อยใช้หินที่มีความแข็งเท่ากันมาถูกันไปมา ผิวหินสึกลง ผิวภายนอกก็เรียบเสมอแล้ว
ขัดเงาแผ่นหินเป็งานที่สิ้นเปลืองกำลังแรงกาย สิบห้านาทีผ่านไป แผ่นหลังหูฉางกุ้ยร้อนระอุ เหงื่อผุดบนหน้าผาก
รูปร่างแผ่นหินอันเล็กก้อนแรกที่ขัดออกมา แม้ยังคงหนานิดหน่อย แต่เจินจูก็พอใจมากแล้ว
หลัวจิ่งพิจารณาแผ่นหินเล็กที่วางไว้ขอบเตียง ใช้สายตางงงวยมองที่เจินจู “นี่คืออะไร?”
เจินจูแย้มยิ้ม “นี่เป็แผ่นเขียนตัวอักษร”
“แผ่น เขียน ตัวอักษร?” พอเห็นแล้วก็ทราบได้ถึงความหมายในทันที นี่ใช้เขียนตัวอักษร? หลัวจิ่งมองเจินจูอย่างประหลาดใจ
“อื้ม... แผ่นเขียนตัวอักษร ใช้ฝึกเขียนตัวอักษร เครื่องเขียนกับหมึกแพงเกินไป พวกข้าเพิ่งเริ่มเรียน ใช้แผ่นหินฝึกขีดเขียนไปก่อน จะได้ไม่สิ้นเปลืองกระดาษ” เจินจูยิ้ม กล่าวจุดประสงค์ที่ใช้แผ่นหินออกมาตามตรง
“…” หลัวจิ่งที่ได้ฟังข้อแก้ต่างของเจินจู จึงหยุดคำพูดไว้ เด็กสาวตรงหน้าหน้าตาอมยิ้ม ไม่มีร่อยรอยของความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เพราะฐานะทางบ้านยากจนจึงใช้กระดาษไม่ได้เลยสักนิด แต่กลับรู้สึกยินดีและสนุกที่จะใช้แผ่นหินชนิดหนึ่งเขียนตัวอักษร
“ให้เ้า” เจินจูส่งหินก้อนเล็กไป “เ้าใช้อันนี้เขียนสองสามตัวอักษรดู อืม... เขียนว่าหูผิงอันสามตัวแล้วกัน”
รับหินที่เด็กสาวส่งมา หลัวจิ่งตกตะลึงไปชั่วขณะ ผ่านไปพักหนึ่ง จึงเขียนตัวอักษรออกมาทีละขีดทีละเส้นภายใต้สายตาเฝ้ารอของเจินจู ครั้งแรกที่ใช้หินเขียนตัวอักษร หลัวจิ่งมองลายเส้นตัวอักษรที่เอียงเล็กน้อย สีหน้าเงียบนิ่ง
“ว้าว ตัวอักษรเขียนได้ดีจริงๆ” เจินจูยกแผ่นหินขึ้น แล้วชื่นชมออกมา มิน่าเล่าที่นักเขียนพู่กันในยุคโบราณจะเยอะเพียงนี้ ดูสิ แม้แต่เด็กน้อยคนหนึ่งก็เขียนได้ตามมาตรฐานเช่นนี้แล้ว
“…” มุมปากหลัวจิ่งขยับเล็กน้อย อยากจะกล่าวอะไรสักนิดออกมาแต่ไม่กล้า
“หู ผิง อัน” เจินจูชี้ออกไปจากขวาไปซ้ายทีละตัว “ถูกหรือไม่?”
“อื้ม ถูก” หลัวจิ่งพยักหน้า
“ฮ่า ฮ่า ข้าฉลาดล่ะสิ” เจินจูยิ้มภูมิใจ “เอาล่ะ รอให้ท่านพ่อข้าขัดหินทั้งหมดเสร็จ ก็เข้าเรียนอย่างเป็ทางการได้แล้ว”
“เอ่อ…” หลัวจิ่งลังเลใจเล็กน้อย แม้เขาเข้าเรียนนานแล้ว แต่ให้เขามาเป็ฟูจื่อ [1] สอนให้ความรู้แก่ผู้อื่น เขายังไม่รู้เลยว่าควรเริ่มสอนจากอะไร
ความลำบากใจของหลัวจิ่งนั้นเจินจูมองออกได้ “ยู่เซิง ไม่ต้องเป็กังวลปัญหาการเข้าเรียนเกินไปนะ ทุกวันเ้าแค่เขียนตัวอักษรหรือคำง่ายๆ ไม่กี่ตัว หลังจากนั้นสอนพวกข้าอ่านนิดหน่อย แล้วค่อยอธิบายความหมายของตัวอักษรก็พอแล้ว สุดท้าย พวกเราจะเขียนตัวอักษรที่เ้าสอนบนแผ่นหิน บทเรียนหนึ่งครั้งก็จบลงเท่านี้”
“… เช่นนี้…ก็ได้?” หลัวจิ่งลังเลใจ
“เหตุใดจะไม่ได้?” เจินจูสะบัดมืออย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้จุดประสงค์ของพวกเราคือรู้ตัวอักษร อีกทั้งไม่ใช่ว่าจะต้องสอบจอหงวน [2] ไม่ต้องคิดยุ่งยากเช่นนั้น เ้าสอนตามอำเภอใจ พวกข้าเรียนตามอำเภอใจ ไม่ต้องจริงจังนัก รอตอนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ผิงอันกับผิงซุ่นต้องไปโรงเรียนส่วนตัวที่หมู่บ้านต้าวัน ฤดูหนาวนี้จึงให้พวกเขารู้ตัวอักษรก่อนก็พอ”
เห็นหลัวจิ่งยังคงทำใบหน้าไตร่ตรอง เจินจูก็เลิกคิ้ว ยิ้มบางๆ “อีกสักครู่ ข้าจะหยิบ ‘ตำราเกษตรสี่ฤดู’ เล่มนั้นมาให้เ้า ทุกวันเ้าหาคำสักห้าถึงสิบคำง่ายๆ หน่อยออกมาจากในนั้น เช่น พระอาทิตย์ ดวงดาว พระจันทร์ ลูกแมว หมูป่าทำนองนั้น ได้หมดเลย หรือสอนประโยคง่ายๆ นิดหน่อยก็ได้เหมือนกัน”
หลัวจิ่งคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้ากล่าว “ได้ ข้าทราบแล้ว”
ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนขนาดย่อมสกุลหูก็เริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ ฟูจื่อเป็หลัวจิ่ง บัณฑิตคือผิงอัน ผิงซุ่น เจินจูและชุ่ยจู
เดิมทีชุ่ยจูไม่ค่อยอยากมา เพราะรู้สึกว่าตนเองอายุมากแล้วละยังเป็เด็กผู้หญิง กลัวว่าจะเรียนได้ไม่ดี แต่ถูกเจินจูดึงฉุดลากมาพร้อมกับนาง
บทเรียนครั้งแรกของหลัวจิ่ง ง่ายมากนัก เขาเขียนชื่อทุกคนออกมาบนแผ่นหินของสี่คน หลังจากนั้นให้พวกเขาฝึกเขียนอย่างวาดแมวตามเสือ [3] เรียนครั้งที่สองก็ฝึกเขียนเรียงออกมาตามลำดับที่จำได้อีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ สกุลหูมักมีภาพของคนหลายคน ถือแผ่นหินตลอดเวลา ทำท่าเขียนๆ ขีดๆ ไปทั่วทุกที่
แน่นอน เจินจูจับปลาในน้ำขุ่น [4] แกล้งทำบ้างเป็บางครั้งบางคราว ไม่ได้ทำให้ตนเองโดดเด่นแตกต่างจากผู้อื่น
ทุกวันยามเช้าตรู่ทานอาหารเสร็จ โรงเรียนขนาดย่อมของสกุลหูก็เริ่มเรียน พร้อมกับโต๊ะไม้ตัวยาวเรียบง่ายสองตัว ทุกอย่างเป็หูฉางกุ้ยทำขึ้นทั้งหมด ข้างโต๊ะยังวางกระถางไฟหนึ่งกระถางเผาเสียจนลุกโชน เด็กน้อยห้าคนบวกแมวดำหนึ่งตัวในโรงเรียนที่ทำขึ้นอย่างลวกๆ เริ่มทดลองหลบฤดูหนาวที่ยาวนาน เป็เผชิญกับการเล่าเรียนอย่างโชกโชน
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว หน้าหนาวของหมู่บ้านวั้งหลินยิ่งรุนแรงขึ้น
ลมเหนือหนาวเย็นะเืพัดตีกรงหน้าต่าง หิมะตกหนักสองวันก่อนปกคลุมบ้านและลานบ้านของครอบครัวหูทับถมจนหนาทึบ แสงสีขาวราวหิมะทะลุผ่านหน้าต่างมุ้งลวดขับให้ภายในห้องยิ่งสว่างพร่างพราว
รุ่งสาง เจินจูผ่อนลมหายใจพร้อมกับเปิดประตูห้อง ซึมซับความรู้สึกเหน็บหนาวหนึ่งสายที่ปะทะมาบนใบหน้า นางสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวเล็กน้อย “โอ๊ะ หิมะโปรยปรายปกคลุมทั่วแผ่นดินแบบนี้ น่าจะอุณหภูมิติดลบสิบกว่าองศากระมัง”
ภาพเบื้องหน้าที่เข้ามาในดวงตา ท้องฟ้าและผืนดินล้วนย้อมเป็สีขาวหนึ่งผืน บนชายคาบ้านตนเองก็ถูกทับถมด้วยหิมะหนาปกคลุม ท่านพ่อหูฉางกุ้ยกำลังจัดการปีนบันไดขึ้นบนหลังคาบ้าน ตั้งใจจะชำระสะสางหิมะที่ทับถมนั้น
“ท่านพ่อ มิใช่ว่าซ่อมหลังคาบ้านเรียบร้อยแล้วหรือ? เหตุใดยังต้องกวาดหิมะอยู่เล่า?” เมื่อเร็วๆ นี้ ถือโอกาสตอนที่อากาศยังนับได้ว่าปลอดโปร่ง สองพี่น้องสกุลหูใช้เกวียนวัวขนกระเบื้องมุงหลังคากลับมา และซ่อมแซมหลังคาบ้านด้วยตนเองหนึ่งรอบ
“หิมะหนาเกินไป ชำระสะสางเสียหน่อย” หูฉางกุ้ยกวาดกองหิมะลงไปด้วยความระมัดระวัง แม้เปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาใหม่แล้ว แต่หิมะยังทับถมหนามาก ยังคงอันตรายอยู่นัก
“โอ้ เช่นนั้นท่านระวังหน่อยนะ” เจินจูเงยหน้ามองครู่หนึ่ง กำชับหนึ่งประโยคอย่างไม่วางใจ
หูฉางกุ้ยตอบรับหนึ่งเสียง
เสียง “แอ๊ด” ของห้องเล็กฝั่งตะวันตก ประตูห้องเปิดออก หลัวจิ่งที่สวมเสื้อกันหนาวตัวยาวใหม่เอี่ยมสีครามเดินค้ำไม้เท้าออกมาช้าๆ
การดูแลรักษาในหลายวันที่ผ่านมานี้ อาการาเ็บนร่างกายของหลัวจิ่งฟื้นคืนสู่สภาพเดิมมากกว่าครึ่ง แต่ขาส่วนที่หักยังคงต้องค่อยๆ บำรุงรักษา
กล้ามเนื้อาเ็เคลื่อนไหวกระดูกร้อยวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคนสงสัย เจินจูจึงไม่ได้ดูแลหลัวจิ่งเป็พิเศษ ทำได้เพียงให้เขาหายเป็ปกติด้วยตนเองช้าๆ เดิมทีพื้นฐานร่างกายหลัวจิ่งไม่เลวอยู่แล้ว อายุยังน้อยความสามารถในการซึมซับประสิทธิภาพของยาดี ถึงไม่ได้บำรุงด้วยน้ำแร่จิติญญา ความสามารถในการฟื้นคืนสู่สภาพเดิมก็ไม่แย่
เจินจูให้หูฉางกุ้ยทำไม้ค้ำยันหนึ่งอันตามความสูงให้หลัวจิ่ง ทำเลียนแบบไม้เท้าที่ใช้ในทางการแพทย์ของสมัยปัจจุบัน
ไม่ใช่เพราะเช่นนี้หรอกหรือ ไม่กี่วันนี้เขาจึงใช้ประโยชน์ไม้ค้ำยันได้อย่างคล่องแคล่วเดินไปทุกสารทิศ
“ยู่เซิง อรุณสวัสดิ์!” เจินจูยิ้มแล้วทักทาย
“อรุณสวัสดิ์!” หลัวจิ่งกำลังขานรับ หนึ่งเสียง “เหมียว” ดังขึ้น เสี่ยวเฮยก็วิ่งเพ่นพ่านออกมาจากห้อง วิ่งขึ้นลงไม่กี่ทีก็ไปถึงข้างเท้าเจินจู แล้วเริ่มคลอเคลียที่ขากางเกงของนาง
“… เสี่ยวเฮย ยังเช้านัก อย่าถูไปมาสิ ไปเล่นไป” เตะมันออกไปเบาๆ หลังเ้าเพื่อนตัวน้อยนี่ดื่มน้ำแร่จิติญญาไปสองสามครั้ง ไม่นานก็ฮึกเหิมดุจัและเสือที่ผาดโผนเพ่นพ่านไปทั่วทุกแห่ง ตอนแรกยังเดินโซซัดโซเซสามขาอยู่ สองวันมานี้สี่ขาล้วนลงพื้น เดินได้มั่นคงแล้ว
ขาหักเหมือนกัน แต่ความเร็วจากการหายเป็ปกติของเสี่ยวเฮยทำให้หลัวจิ่งอิจฉาไม่หยุด ตนเองยังเดินค้ำไม้เท้าหนึ่งก้าวสามเคลื่อนไหวอยู่เลย แต่เสี่ยวเฮยกลับวิ่งะโโลดเต้นแบบไม่ต้องยั้งได้แล้ว มันเป็อิสระทำตามใจ้าไปทั่วบ้านครอบครัวหู
เสี่ยวเฮย “หง่าว” หนึ่งเสียง ใช้ดวงตาดำเงาที่เต็มไปด้วยความหมายซ่อนลึกมองไปที่เจินจู
“เฮ่อ... เ้ามองไปก็ไม่มีประโยชน์” เจินจูยักคิ้ว ไม่สนใจความใสซื่อไร้เดียงสาของมัน ยอบกายนั่งยองลง จิ้มหัวของมัน แล้วกล่าวเบาๆ “จะโตเป็แมวปีศาจแล้ว ผู้ใดยังจะกล้าให้เ้าดื่มอะไรนั่น ไปเล่นด้านข้างไป”
กล่าวเช่นนี้เพราะมีหลักฐาน ตอนเ้าเพื่อนตัวน้อยนี่เพิ่งจะมาบ้านนาง ผอมๆ เล็กๆ ขนสีดำแต่ไม่ได้ดำมืดเป็มันเช่นนี้ หลังเลี้ยงมันด้วยอาหารที่เพิ่มน้ำแร่จิติญญาลงไปไม่กี่ที เสี่ยวเฮยก็เหมือนลูกโป่งที่เป่าลมเข้าไปก็ไม่ปาน ไม่เพียงแต่รูปร่างจะใหญ่ขึ้นมาก ความฉลาดคล้ายกับว่าจะมีมากขึ้นไม่น้อย คำพูดส่วนใหญ่ของเจินจูล้วนสามารถฟังได้เข้าใจมากกว่าครึ่ง
การกระทำทุกรูปแบบที่ทำง่ายๆ อย่างนั่งลง ยืนขึ้น หน้าหลังซ้ายขวา ยังฉลาดมากกว่าสุนัขนัก ต้องรู้ว่าลูกแมวเป็สัตว์ชนิดหนึ่งที่ฝึกยากมาก พวกมันเย่อหยิ่ง ไม่สามารถบังคับได้ ไม่ชอบถูกควบคุม เป็เื่ที่ลำบากยากเข็ญมากหาก้าให้มันฟังคำสั่งจากเ้าของเหมือนสุนัข
เสี่ยวเฮยยังเป็แมวป่าตัวหนึ่ง ไม่ใช่ว่านิสัยสัตว์ป่าจะฝึกยากหรือ? ไม่ใช่ว่าเ็าและถือดีหรือ? เหตุใดเชื่อฟังและทำตามเหมือนสุนัขเลี้ยงก็ไม่ปาน และยังเข้าใจความหมายในคำพูดของนางได้ด้วย นี่... เปลี่ยนเป็แมวฉลาดแล้วหรือไม่
ตอนนี้ นางไม่กล้าเติมน้ำแร่จิติญญาลงไปในอาหารของมันทุกวันแล้ว บางครั้งมันกวนนานๆ ถึงจะป้อนให้มันนิดหน่อย
“ยู่เซิง อากาศหนาว เ้าอย่ายืนอยู่ข้างนอกนาน อีกเดี๋ยวข้ายกน้ำล้างหน้าไปให้เ้า” อากาศหนาวที่พ่นลมหายใจออกมาเป็น้ำแข็งเช่นนี้ ให้คนป่วยอยู่ในห้องดีๆ จะดีกว่า
“ไม่เป็ไร นอนมาทั้งคืนแล้ว ต้องขยับเคลื่อนไหวหน่อย” หลัวจิ่งเดินค้ำไม้เท้าในลานอย่างช้าๆ
“เอาเถิด เช่นนั้นเ้าระวังหน่อย พื้นลื่นนักอย่าหกล้มเล่า” เห็นว่าเขามุ่งมั่น เจินจูก็ไม่ให้ความสนใจเขาอีก และล้างหน้าแปรงฟันของตนเองไป
เชิงอรรถ
[1] ฟูจื่อ เป็คำเรียกคนที่มีความรู้ในสมัยโบราณ
[2] จอหงวน เป็ตำแหน่งของผู้ที่สอบไล่ได้อันดับหนึ่งในสนามสอบของพระราชวังจีนในสมัยราชวงศ์ถัง
[3] วาดแมวตามเสือ รูปลักษณ์ภายนอกของแมวกับเสือคล้ายคลึงกัน จึงถูกเอามาอุปมาอุปไมยว่า เลียนแบบอย่างคล้ายคลึงกัน
[4] จับปลาในน้ำขุ่นหมายถึง ฉวยโอกาสใน่ที่ชุลมุน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้