ไม่ทันรอให้ซั่งกวนเซ่าเฉินตอบ เสียงที่ชวนให้ถูกตีของซูเช่อก็ดังมา ตามมาด้วยตัวเขาที่เดินส่ายอาดๆ เข้ามา ดวงตาของเขาในยามนี้ยิ่งเย็นะเืและแหลมคม
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน เ้าสามารถทำได้ถึงขั้นที่ไม่มีสิ่งใดปิดบังหลิงมู่เอ๋อร์แม้แต่เศษเสี้ยวหรือ?” ซูเช่อเค้นถามเสียงเย็น มุมปากกับเป็รอยยิ้มเย้ยหยัน
หลิงมู่เอ๋อร์ย่อมรู้ว่าที่ซู่เช่อกล่าวเช่นนี้ น่ากลัวว่าจะสืบได้เื่อะไรออกมา ซั่งกวนเซ่าเฉินเคยบอกนางว่า ใบหน้าที่ผ่านการปลอมแปลงนี้ไม่มีผู้ใดเคยรู้จักมาก่อน แต่ใบหน้าก่อนหน้านี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็คุ้นเคย
เหตุใดพี่ใหญ่จึงปลอมกายแปลงโฉม นางไม่เคยตามสืบมาก่อน เขาไม่พูดนางย่อมไม่ไปถาม แต่คนที่บ้านกลับไม่รู้
ซูเช่อกล่าวเช่นนี้มีแต่จะทำให้ทุกคนสงสัย และไม่เชื่อใจซั่งกวนเซ่าเฉิน เ้าพยัคฆ์หน้ายิ้มตัวนี้ ที่ไหนคึกคักที่นั่นก็มีเขาอยู่จริงๆ
“พี่ใหญ่เขาย่อมไม่มีเื่ใดปิดบังข้า แต่จวิ้นอ๋องน้อยมาโดยมิได้รับเชิญ นี่ไม่ถูกต้องตามมารยาทกระมัง เพราะอย่างไรนี่ก็เป็การประชุมเื่ในครอบครัวของพวกเรา”
หลิงมู่เอ๋อร์ปกป้องซั่งกวนเซ่าเฉินไว้เื้ั หยุดคำพูดที่คิดจะโต้ตอบของเขา
ในเมื่อพี่ใหญ่้าปิดบังใบหน้าที่แท้จริง นางย่อมไม่มีทางบังคับ อีกอย่าง ครั้งนี้หากให้คนที่บ้านรู้ว่า ที่จริงแล้วเขามีรูปโฉมที่เฉิดฉันราวกับมารร้าย นางกลัวว่าจะทำให้ทุกคนใจนแย่ได้
พวกเขาต่างก็เป็คนซื่อ ที่ทนเห็นไม่ได้ที่สุดก็คือการปิดบัง ต่อให้วันหน้าเข้าใจถึงความลำบากใจของซั่งกวนเซ่าเฉิน ในใจก็ไม่อาจข้ามผ่านด่านนั้นไปได้ ดังนั้นยามนี้ จึงยังมิใช่เวลาที่จะบอกเล่าเื่ราวออกมา
ซูเช่อเปิดปาก คิดอยากจะพูดสิ่งใดกับหลิงมู่เอ๋อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับดึงตัวคู่หมั้นไปไว้เื้ั ในที่ที่มีเขาอยู่ เมื่อใดกันที่ต้องให้สตรีเป็ฝ่ายออกหน้าเพื่อเขา
“ไม่ทราบว่าจวิ้นอ๋องน้อยมาเยือนในยามวิกาลมีธุระใดหรือ ที่นี่คือจวนสกุลหลิง ต่อให้ท่านเป็จวิ้นอ๋อง ก็ไม่อาจบุกรุกบ้านเรือนของราษฎรที่ใดเมื่อใดก็ได้กระมัง หากจวิ้นอ๋องน้อยไม่มีธุระใดก็ขอเชิญท่านจากไป ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินทำสัญญาณมือเป็การเชิญ
วันนี้เป็วันสำคัญของเขา เขาไม่้าให้ใครมาทำลาย มองซูเช่อที่ยิ้มอย่างมีเลศนัยอีกครั้ง เห็นได้ว่าเ้าตัวนี้จะต้องตรวจสอบสิ่งใดออกมาได้เป็แน่
“ใครบอกว่าข้าไม่มีธุระ?” ใบหน้าที่ทรงเสน่ห์อย่างร้ายกาจของซูเช่อเผยรอยยิ้มที่คิดไปเองว่าสามารถทำให้สตรีนับหมื่นนับพันลุ่มหลงออกมา มองทุกคนอีกครั้ง เขาหยิบม้วนเอกสารออกมาจากในอกอย่างสง่างาม
“ฝ่าามีราชโองการ หลิงมู่เอ๋อร์ช่วยเหลือองค์ชายเจ็ดมีผลงาน เจิ้นมีรางวัลใหญ่ บัญชาให้เ้าเข้าเฝ้าทันทีมิอาจชักช้า” อ่านเนื้อหาในราชโองการเสร็จ ซูเช่อก็เผยรอยยิ้มที่งดงามจนหลุดขอบจักรวาลนั่นออกมาอีกครั้ง “แม่นางหลิง เชิญเถิด?”
เื่ราวที่เกิดติดต่อกันเป็ชุดเร็วเหมือนชั่วพริบตาเดียว คนทั้งหมดในห้องต่างก็ตกตะลึงไปหมดแล้ว
ราชโองการของฝ่าา?
พวกเขาเป็ชาวนาที่ออกมาจากหุบเขา อย่าพูดถึงชาตินี้เลย ชาติหน้าก็ไม่เคยกล้าคิดว่าจะมีโอกาสได้เข้าวังหลวง บัดนี้ ผู้เป็เ้าของแผ่นดิน้าพบบุตรสาวของพวกเขา?
“ราช ราชโองการ? เป็ราชโองการจริงๆ หรือ? ฝ่าาหามู่เอ๋อร์ของพวกเราไปเพื่อการใดกัน?” หยางซื่อประหม่าอยู่บ้าง นางถึงกับไม่กล้าเชื่อว่าทุกเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็เื่จริง
ดวงตาดำเข้มของซั่งกวนเซ่าเฉินเต็มไปด้วยความมืดครึ้ม ยิ่งแย่งราชโองการมาในครั้งเดียว “นี่เป็ไปไม่ได้”
“เป็ของจริงหรือไม่ เ้าแค่ดูก็รู้แล้ว เ้าอยู่ข้างกายฝ่าามาหลายปี ราชโองการฉบับนี้ทำปลอมขึ้นมาหรือไม่ เ้าคงจะรู้ดีกระมัง”
ซูเช่อไม่เพียงไม่โกรธที่เขาแย่งราชโองการไปอย่างอุกอาจ แต่กลับพูดจาอย่างมีความนัย ทุกคนต่างรู้ว่า ซั่งกวนเซ่าเฉินพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้สองปี เช่นนั้น ‘หลายปี’ นี้ คือเื่อะไรกัน
หลิงมู่เอ๋อร์ก็มองซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างอยากรู้มากเช่นกัน อย่างที่คิด เห็นเขาขมวดคิ้วแน่น
“เหตุใดฝ่าาจึงหาตัวข้า? ข้าเพียงแต่รักษาาแให้องค์ชายเจ็ดเท่านั้น ไม่ถือว่าช่วยเขา นี่ ที่แท้เื่เป็มาอย่างใดกันแน่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินปิดราชโองการเข้าหากัน ดวงตาไม่เหลือความยินดีเมื่อครู่แล้ว กลายเป็หนักอึ้งขึ้นมา
อย่างรวดเร็ว เขาเก็บราชโองการไว้ในอก “มู่เอ๋อร์เป็เพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น มิเคยเข้าออกสถานที่แห่งนั้นมาก่อน นางไม่เหมาะที่จะไป และก็ไม่ควรไป ข้าจะเข้าวังกับเ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเช่อย่อมไม่พอใจอย่างมาก “ฝ่าาก็ไม่ได้เรียกตัวเ้า เ้าเข้าวังจะมีประโยชน์อะไร” เขามองคนอื่นอย่างชั่วร้ายและมีเสน่ห์ และไม่รู้ว่ามีเจตนาหรือไม่มีเจตนาจะกระตุ้นความโมโห เขาจงใจขู่ว่า “ฝ่าาทรงมีราชโองการเรียกตัวให้เข้าเฝ้าด้วยพระองค์เอง หากแม่นางหลิงไม่ไปก็เท่ากับขัดราชโองการ นั่นเป็โทษใหญ่ถึงขั้นตัดหัว”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ถังซื่อก็ใจนเกือบเวียนหัวล้มลง
“ท่านยาย” หลิงมู่เอ๋อร์รีบประคองร่างของนางให้มั่นคง “เพียงแค่เรียกเข้าเฝ้าเท่านั้น มิใช่บอกว่าจะประทานรางวัลหรือ ท่านยายไม่ต้องกังวล”
ถังซื่อรู้ว่านี่เป็เพียงการปลอบใจของมู่เอ๋อร์เท่านั้น บัดนี้ คนที่นางไว้ใจที่สุดก็คือซั่งกวนเซ่าเฉิน นางรีบเดินเข้าไป “เ้าหนุ่มเฉิน เ้าบอกข้ามาตามตรง เหตุใดฝ่าาจึงให้มู่เอ๋อร์เข้าวังเล่า ได้ยินว่า วังหลวงนั้นมิใช่สถานที่ที่คนทั่วไปจะไปได้นี่ หรือว่า พวกเราช่วยคนที่ไม่ควรช่วย?”
“นั่นสิพี่ซั่งกวน หากน้องสาวทำสิ่งใดที่ไม่สมควรทำ ท่านจะต้องคิดหาวิธี วังหลวงนี้จะต้องไปจริงๆหรือ?”
“ทุกคนวางใจเถิด หลายวันก่อนแม่นางหลิงช่วยองค์ชายเจ็ดที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ฝ่าาเพียงทราบว่านางมีทักษะทางการแพทย์สูงส่ง อยากพบหน้าสักคราเท่านั้น ราชโองการไม่อาจขัดขืน แน่นอนว่าย่อมต้องไป แต่ว่าพวกท่านโปรดวางใจ ต่อให้ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ช่วย เปิ่นจวิ้นอ๋องก็ไม่มีทางให้นางาเ็แม้แต่ปลายเส้นขน”
ทุกคนจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ซั่งกวนเซ่าเฉินจะตามไปปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ แต่กลับถูกซูเช่อหยุดไว้
ราชโองการบอกไว้อย่างชัดเจน พบหลิงมู่เอ๋อร์เพียงผู้เดียวเท่านั้น
พระราชวังต้องห้ามอันโอฬารการรักษาความปลอดภัยแ่า สามก้าวมีทหารยาม สองเก้ามีป้อม เยอะจนหลิงมู่เอ๋อร์ตาลาย
ตามอยู่ด้านหลังของซูเช่อ นางระมัดระวังทุกลมหายใจ บอกว่าไม่ประหม่านั่นเป็เื่หลอกลวง
“วางใจเถอะ ข้าบอกว่าจะปกป้องเ้า ย่อมพูดได้ทำได้ อีกทั้งฝ่าาเพียงแค่พระราชทานรางวัลตามผลงานเท่านั้น เื่ที่คำมากมายเท่าใดร้องขอแต่ไม่อาจได้มา เ้ากลัวสิ่งใด?” ซูเช่อพ่นลมหายใจใส่หูของนาง เห็นนางถลึงตาใส่อย่างโมโหก็ยังรู้สึกมีความสุข
“เ้าจะรู้อะไร ข้ามาที่เมืองหลวง เพียง้าให้วิชาแพทย์ได้เผยแพร่ออกไปเท่านั้น อยากช่วยคนให้มากขึ้น วังหลวงเป็สถานที่ที่คนทั่วแผ่นดิน้ามา แต่ข้าไม่้า ”
ทันทีที่เข้าประตูวังมาก็ลึกล้ำราวท้องทะเล มิได้หมายถึงเพียงเหล่าผู้คนที่อยู่ในวังหลังเท่านั้น แต่ก็หมายถึงคนที่อยู่ในฐานะที่ไร้ความสำคัญใดๆ เช่นนางด้วย
ซูเช่อยิ่งชื่นชมนางแล้ว เ้าเป็คนที่พิเศษที่สุดที่ข้าเคยพบ
และได้บอกข้อห้ามอีกหลายเื่ของวังหลวงแก่นาง รวมถึงเื่ความชอบและลักษณะนิสัยของฮ่องเต้ด้วย
ไม่รู้ว่าเดินไปไกลเท่าใด ตำหนักหนึ่งทะลุผ่านอีกตำหนักหนึ่ง ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์สูญเสียความอดทนทั้งหมดไปนั่นเอง คนทั้งสองก็ถึงวังเฉิงเฉียนในที่สุด
“ข้าจะรอเ้าอยู่ที่นี่ วางใจเถอะ” ในที่สุดซูเช่อก็ทำตัวเหมือนผู้คน มอบความมั่นใจให้แก่นางทีหนึ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปรอบๆ ยกกระโปรงขึ้นมากำลังจะเข้าไปในพระราชตำหนัก ด้านหลังมีเสียงที่คุ้นเคยดังลอยมา “ดึกขนานนี้แล้วเหตุใดจวิ้นอ๋องน้อยยังอยู่ในวังอีกเล่า? หรือว่าฝ่าามีเื่ใดเรียกเข้าเฝ้าหรือ?”
ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์หันสายตามามองอย่างอยากรู้ ก็เห็นซูเช่อค้อมกายพร้อมเอ่ยปากอย่างเคารพพอดีว่า “ซูเช่อคารวะหวางโฮ่วเหนียงเหนียง”
หวางโฮ่ว ผู้เป็ใหญ่แห่งวังหลัง พระอัครมเหสีผู้อยู่ใต้คนเพียงคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น แต่นางก็คือป้าเฉินที่รั้งอยู่ที่เรือนหมอของนางถึงครึ่งปีไม่ยอมไปผู้นั้น
หลิงมู่เอ๋อร์ในยามนี้ ประหลาดใจจนในปากสามารถยัดไข่ลงไปหนึ่งใบได้
นางยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับไปไหน แม้ในใจจะคาดเดาอยู่นานแล้วว่าฐานะของนางไม่ธรรมดา แต่เมื่อเห็นด้วยตาตนเองยิ่งทำให้นางตกตะลึง
“หลายวันก่อนองค์ชายเจ็ดถูกคนลอบสังหารพระชนม์ชีพอยู่บนเส้นด้าย เป็แพทย์ชาวบ้าน แม่นางหลิงเป็ผู้ทุ่มเทแรงกายช่วยรักษา หลังฝ่าาทรงฟังก็มีพระประสงค์จะพบแม่นางหลิง กระหม่อมจึงพาคนมาด้วยตนเอง หวางโฮ่วเหนียงเหนียงก็ทรงมาหาฝ่าาเช่นกันหรือพ่ะย่ะค่ะ?” นอกจากเบื้องหน้าหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว กับผู้อื่น บนใบหน้าของซูเช่อล้วนรักษาภาพลักษณ์ที่มิอาจคาดเดาได้
หวางโฮ่วเมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาก็เปลี่ยนทิศทางทันที ในยามที่เห็นหลิงมู่เอ๋อร์นั้น ก็ประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ
หลิงมู่เอ๋อร์ได้รับความรักจากราษฎร มิใช่เื่แปลกที่ชื่อเสียงของนางดังลอดเข้ามาสู่วังหลวง แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า แม้แต่ฝ่าาก็จะพบนาง
ใบหน้าที่สามารถเกี่ยวิญญาของผู้คนนี้ หรือว่าฝ่าาก็เกิดความคิดใดขึ้นมาอีก?
“บังอาจ พบหวางโฮ่วเหนียงเหนียงยังไม่คุกเข่าลงอีก?” ได้ยินมัวมัวชราตำหนิ หลิงมู่เอ๋อร์จึงได้เก็บสายตากลับมา รีบคุกเข่าลงกับพื้น “หม่อมฉันน้อมคารวะหวางโฮ่วเหนียงเหนียง”
“ลุกขึ้นมาเถอะ พวกเราก็ถือเป็รู้จักเก่าแก่กันแล้ว จะเกรงใจเช่นนี้ไปทำไม ทว่า ข้ากลับคิดไม่ถึงว่า จะได้พบเ้าในวัง” เสียงของหวางโฮ่วแปลกประหลาด แต่ก็มองข่มทุกสิ่งอย่างเย่อหยิ่งเช่นเคย
ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ได้เห็นเฉินต้าเหนียงอีกครั้ง ก็รู้ว่าคนผู้นี้มีฐานะไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็มารดาของแผ่นดินของรัชกาลนี้
“หม่อมฉันก็ไม่คิดว่าเมื่อพวกเราได้พบกันอีกครั้ง จะเป็สถานที่แห่งนี้ เมื่อก่อนได้ล่วงเกินหวางโฮ่วเหนียงเหนียง หวังว่าเหนียงเหนียงโปรดอภัยด้วยเพคะ” จากนั้นก็ค้อมเอวคารวะนางอีกครั้ง หลิงมู่เอ๋อร์มิได้เกรงกลัวนาง แต่กลัวว่าเพราะสตรีที่อยู่ในเรือนด้านหลังของจวนจวิ้นอ๋อง นางจะพาลกับคนในครอบครัวของนาง
ที่แท้นางเป็หวางโฮ่ว ฆ่าคนไม่กี่คนได้ แค่ขยับปากเท่านั้น
รู้ว่าความหมายอื่นในคำพูดของนางหมายความว่าอย่างไร หวางโฮ่วยิ้มแล้วส่ายหัว “จะอย่างไรท่านหมอหลิงก็เคยช่วยเปิ่นกงไว้ เปิ่นกงจะลืมบุญคุณไปทำร้ายได้อย่างไร” ด้านหนึ่งกล่าววาจา ร่างกายของนางก็เข้าใกล้หลิงมู่เอ๋อร์ ดูเหมือนมิได้ตั้งใจ แต่ใช้น้ำเสียงที่มีเพียงสองคนได้ยินกล่าวว่า “บัดนี้ เ้ารู้ถึงผลลัพธ์ที่เป็ศัตรูกับข้าแล้วหรือไม่?”
พูดจบ หวางโฮ่วก็กลับไปยังตำแหน่งของตน ท่าทางที่สูงส่งอยู่เบื้องบนนั้นราวกับนกยูงที่เย่อหยิ่งตัวหนึ่ง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดล่วงเกินดูเบา
นางหมายถึงเื่ที่หลายวันก่อนขอร้องให้นางไปทำ
ในยามนั้น หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวเป็อย่างมาก
มองสายตาของเฉินต้าเหนียงอีกครั้ง ราวกับกำลังกล่าวว่า บัดนี้เสียใจก็ยังทัน
แต่ว่า…ในพจนานุกรมของนาง หลิงมู่เอ๋อร์ ไม่มีคำว่า ‘เสียใจ’ สองคำนี้
“ต้องขออภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระดำรัสเมื่อครู่ของหวางโฮ่วเหนียงเหนียงหมายความว่าอย่างไร เมื่อก่อน หม่อมฉันก็มิเคยพบหวางโฮ่วเหนียงเหนียง”
ี้เีจะพูดกับนางมาก หลิงมู่เอ๋อร์หมุนกายไปอย่างสง่างาม ยกชายกระโปรงขึ้นบันไดไปสองสามก้าว ขันทีตัวน้อยที่ได้ทักทายกันเรียบร้อยแล้วรีบเปิดประตูให้นาง
“ไม่รู้ดีชั่ว!” หวางโฮ่วที่ยืนอยู่ที่เดิมมุมปากกระตุกไม่หยุด มองดูเงาหลังของหลิงมู่เอ๋อร์ที่จากไป นางโมโหอย่างมาก
ภายในวังเฉิงเฉียน ฮ่องเต้ยังคงก้มหน้าพลิกฎีกา มองดูโอรส์ที่สูงส่งเหนือผู้คน หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงสงบมั่นคงเช่นเดิม “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าา”
“ไม่ต้องมากพิธี” เสียงที่ดังมาดูสบายอย่างเหนือความคาดหมาย เพียงได้ยินเสียงพึ่บครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้โยนฎีกาในมือไปอีกข้าง เมื่อมองสตรีที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างอีกครั้ง เขายกมุมปากที่น่าดูขึ้นมา “เ้าก็คือหลิงมู่เอ๋อร์ เงยหน้าขึ้นมาให้เจิ้นดูให้ชัดๆ หน่อย”
นางไม่ชอบถูกคนมองอย่างประเมินั้แ่หัวจรดเท้า แต่คำพูดของฮ่องเต้ ก็คือราชโองการ การขัดราชโองการเป็โทษปะา
หลิงมู่เอ๋อร์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา แต่การมองครั้งนี้ก็ทำให้ใจนสะดุ้ง
เดิมนางคิดว่า ฮ่องเต้เป็ชายชราที่อายุเกินเจ็ดสิบแล้ว แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเปล่งประกายเปี่ยมพลัง ฮ่องเต้ที่กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์เช่นนี้ มีที่ใดแก่ชราอย่างในคำร่ำลือ? อีกทั้งเขายิ้มขึ้นมาก็ดูอ่อนโยนมีเมตตาถึงเพียงนั้น ยังมีจุดที่คล้ายกับคนผู้หนึ่ง