หลิงมู่เอ๋อร์ค่อยๆ เงยหน้า ใบหน้างดงามไร้ความลนลาน สงบนิ่งเป็อย่างมาก
นี่เป็สตรีที่สงบมั่นคงที่สุดต่อหน้าเขาที่ฮ่องเต้เคยเห็นมา ไม่เพียงดูประณีตงดงาม ดวงตาคู่นั้นยังใสกระจ่างราวแอ่งน้ำพุ ในส่วนลึกของดวงตาก็อดฉายแววประหลาดใจอย่างชื่นชมไม่ได้
“ได้ยินว่าเ้าพึ่งมาถึงเมืองหลวงได้ไม่กี่เดือน เหล่าราษฎรกลับให้การสนับสนุนเ้าเป็อย่างมาก ในเมื่อมีความสามารถนี้ เ้าก็ให้เจิ้นได้ดูหน่อยเถิด?” ฮ่องเต้ถามอย่างลองเชิง ในยามที่มุมปากยกขึ้นนั้นแฝงด้วยเสน่ห์อันร้ายกาจ เห็นได้ว่าในยามที่ยังเป็หนุ่มนั้นก็เป็คนร้ายกาจผู้หนึ่ง
“เป็เหล่าชาวบ้านมอบความรักให้เท่านั้นเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าอวดอ้างเื่นี้ต่อหน้าฝ่าา” รีบก้มหน้าลงไม่ไปมองดวงตาของฮ่องเต้ เพราะนางยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าในดวงตาของเขาลึกล้ำจนน่ากลัว ราวกับกระแสน้ำวนสายหนึ่ง
แต่โบราณมาผู้เป็เ้าแผ่นดินก็ขี้ระแวง อย่างที่คิด ที่ฮ่องเต้เรียกนางมาพบมิได้เพียงเพื่อชื่นชมง่ายๆ เพียงเท่านั้น
“บังอาจ!” ฮ่องเต้ตวาดเสียงดัง “เจิ้นให้เ้ามอง เ้าก็มองให้ละเอียด อ้อมแอ้มอิดออดเช่นนี้ก็เป็การขัดราชโองการที่มีโทษถึงตายเช่นกัน”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบคุกเข่าลงกับพื้น “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ”
นางกลั้นลมหายใจอย่างระมัดระวัง ในใจกลับแอบด่าเขาไปเป็สิบรอบ ช่างใกล้ฮ่องเต้ดุจใกล้พยัคฆ์จริงๆ นางเพียงแต่ถ่อมตัวเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก็พิโรธโกรธา เห็นได้ชัดว่าหากไม่ระวังไปดึงหนวดของเขาเข้า ยังไม่หัวหลุดจากบ่าเสียตรงนี้หรือ
เริ่มจากไท่จื่อเฟย จากนั้นเป็องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ วันนี้ก็พบป้าเฉินและฮ่องเต้ วังหลวงแห่งนี้นางยังคงไม่ชอบจริงๆ
“แม้พลังจิตของฝ่าาจะไม่เลว แต่สีพระพักตร์แฝงความหมองคล้ำ ปกติแล้วสีผิวของร่างกายมนุษย์จะออกเหลืองในฤดูใบไม้ผลิ ออกแดงในฤดูร้อน ออกขาวในฤดูใบไม้ร่วง และออกเข้มในฤดูหนาว หากสีมีความผิดปกติ แปลว่าร่างกายมีความผิดปกติ ส่วนสีพระพักตร์ของฝ่าาในความหมองคล้ำมีความซีด ปกติแล้วจะเป็โรคที่เกี่ยวกับตับและเส้นลมปราณเพคะ นี่คือการไหลเวียนของเืไม่ดี โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นจะต้องใส่ใจเป็พิเศษ” ดวงตาทั้งคู่ของนางจ้องตรงไปที่ฮ่องเต้ ราวกับผู้สูงส่งที่อยู่เบื้องหน้านั้นไม่ใช่พระหมื่นปี แต่เป็เพียงชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่ไม่อาจธรรมดาไปได้กว่านี้อีกผู้หนึ่ง
“อีกทั้ง เปลือกตาของฝ่าาทรงบวมเล็กน้อย เส้นเืบริเวณดวงตาขยายตัว เห็นได้ว่า่นี้ตรากตรำเพื่อเื่ราวของบ้านเมืองมากเกินไป หากหม่อมฉันมิได้กล่าวผิดแล้ว ่นี้ฝ่าายังทรงบรรทมไม่หลับเป็ประจำด้วยกระมังเพคะ”
น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง ทุกถ้อยคำสำรวม กระทั่งยังมิได้เข้ามาตรวจชีพจร ก็พูดถึงอาการไม่สบาย่นี้ของเขาได้อย่างชัดเจน แม้แต่ขันทีชราที่อยู่ด้านข้างก็ตะลึงงันไปแล้ว
นี่ นี่เหตุใดจึงเหมือนกับที่เมื่อวานหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงกล่าวไม่มีผิด?
“ดี ช่างเป็แม่นางเซียนแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ไม่แปลกที่เ้าได้รับความรักจากหมู่ราษฎร สมคำร่ำลือ” ไม่ต่างจากที่ถูกกล่าวไว้แม้แต่น้อย บนใบหน้าที่น่ายำเกรงของฮ่องเต้ก็เผยความยินดีออกมาหลายส่วน เห็นเขาโน้มตัวไปข้างหน้า ในก้นบึ้งของดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ทว่า เ้าแม้แต่ชีพจรก็ไม่ได้ตรวจ แล้วดูออกได้อย่างไรว่าร่างกายของเจิ้นมีปัญหา หืม?”
“การวินิจฉัยทางการแพทย์แบ่งออกเป็สี่ประเภท สังเกต ฟังเสียง สอบถาม และจับชีพจร มีหลายปัญหาที่ไม่ซับซ้อนบนร่างกายที่สามารถใช้วิธีการสังเกตมาวินิจฉัยได้เพคะ แน่นอนว่า หากฝ่าาทรงมีพระประสงค์ที่จะรักษาพระพลานามัยอย่างรอบคอบ ยังคง้าตรวจชีพจรอีกขั้นจึงจะได้เพคะ” แม้คำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์จะสงบราบเรียบ แต่ในก้นลึกของดวงตาและปลายคิ้วเผยความได้ใจออกมา
ไม่ผิด นางมีความมั่นใจต่อทักษะการแพทย์ของตนเป็อย่างมาก ความมั่นใจที่แผ่ออกมาจากกระดูกนี้ยิ่งเป็ธรรมชาติมาแต่กำเนิด
ฝ่าาองค์ปัจจุบันแม้จะขี้ระแวง แต่ยิ่งชอบคนที่มีความมั่นใจแผ่ออกมาจากกระดูกเช่นนี้ เนื่องจากมีแต่เชื่อมั่นในตนเอง จึงจะสามารถรับใช้ประเทศชาติ ภักดีต่อกษัตริย์ได้ดียิ่งขึ้น
“ดูไม่ออกเลยว่า ดรุณีน้อยตัวเล็กๆ เช่นเ้าจะมีความสามารถเช่นนี้ ได้ยินว่าเ้ามาจากหมู่บ้านสกุลหลิง เหตุใดจึงคิดมาที่เมืองหลวงได้”
ฮ่องเต้ทางหนึ่งกล่าว อีกด้านก็หยิบฎีกาที่อยู่ข้างกาย ดูราวกับถามอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่กลับรอคอยคำตอบของนางเงียบๆ อยู่ในใจ
“หมู่บ้านสกุลหลิงล้าหลังเกินไปเพคะ และไม่เอื้อให้หม่อมฉันได้ใช้ความสามารถ ตอนนั้นได้พาคนที่บ้านไปที่อำเภอก่อนเพคะ เดิมได้ลงหลักปักฐานแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ร้านอาหารของหม่อมฉันถูกคนใช้เพลิงกองหนึ่งเผาไปเสียแล้ว จึงได้พาคนในครอบครัวมาหาหนทางตั้งตัวที่เมืองหลวงอย่างจนใจเพคะ เป็เพราะ์เมตตาและพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น จึงได้ทำให้หม่อมฉันมีโอกาสได้ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่เพคะ”
ในเมื่อฮ่องเต้สามารถตรวจสอบได้ว่านางมาจากหมู่บ้านสกุลหลิง ก็ไม่มีความจำเป็ต้องโกหกพระองค์
แต่ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์พูดถึงร้านอาหารถูกวางเพลิงนั้น ฮ่องเต้ชะงักอย่างเห็นได้ชัด “งั้นหรือ? ได้ยินว่าข้างกายของเ้ามีคนที่คอยปกป้องอยู่ในที่ลับอยู่ตลอด เป็ผู้ใดใจกล้าถึงเพียงนี้ มาหาเื่ร้านอาหารของเ้า สืบพบแล้วหรือไม่?”
หลังร้านอาหารถูกทำลาย พวกนางก็มาที่เมืองหลวง แม้ก่อนมาก็ได้ทำการตรวจสอบ แต่อีกฝ่ายลงมือได้มิดชิดอย่างมาก ไม่เหลือร่องรอยไว้แม้แต่เศษเสี้ยว
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหัว “ช่างเถอะ บางทีอาจมีคนอิจฉาที่หม่อมฉันมีชีวิตที่ดี แต่บางทีก็อาจเกิดจากความประมาท ขอเพียงตอนนี้หม่อมฉันมีชีวิตที่ดีก็พอแล้วเพคะ ไม่มีความจำเป็ที่ต้องคอยพลิกบัญชีเก่าขึ้นมา ทำให้ตนเองไม่มีความสุขเพคะ”
“เสียเปรียบแต่ไม่คิดแก้แค้น ผู้ที่ตระหนักรู้เช่นเ้ากลับเป็คนแรกที่เจิ้นเห็น” ไม่รู้ว่าเป็การชื่นชมเยาะหยัน แต่หลิงมู่เอ๋อร์มิได้มองเขา และมิได้รีบร้อนอธิบาย
ในตอนนั้น นางเพียง้านำพาคนในบ้านไปมีชีวิตที่ดีเร็วๆ เท่านั้น และมิได้คิดสิ่งใดมาก แน่นอน หากให้นางรู้ว่าเป็ผู้ใดที่กำลังเป็ศัตรูกับนาง นางก็ไม่มีทางปล่อยไปอย่างง่ายๆ แน่นอน
“ข้าได้ยินว่าเ้ามีความสัมพันธ์กับจวิ้นอ๋องน้อยซูเช่อไม่เลว เช่นนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินเล่า เ้ามีความสัมพันธ์ใดกับเขา?”
เสียงเพี๊ยะดังขึ้นทีหนึ่ง ฎีกาถูกวางคืนที่เดิม ดวงตาคมกริบของฮ่องเต้หรี่ลง แสงสว่างอันหนาวเหน็บลุกวาวอยู่ในก้นบึ้งของดวงตา
ในก้นบึ้งของดวงตาฮ่องเต้ทั้งกระวนกระวายและสงสัย ราวกับให้ความสำคัญกับการตอบของนางเป็พิเศษ
ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงมีเพียงฮ่องเต้เป็ผู้ออกคำสั่งเท่านั้น ทำงานให้ฮ่องเต้เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ต่อให้พี่ใหญ่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เพียงใด ก็ไม่มีทางทำให้โอรส์องค์ปัจจุบันใส่ใจกับชีวิตส่วนตัวของเขาเช่นนี้กระมัง?
หลิงมู่เอ๋อร์ช้อนตา รับสายตาของเขาอย่างกล้าหาญ นางไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้อยากได้ยินคำตอบเช่นใด ได้แต่ตอบเล็กน้อยอย่างไม่ลงลึกนัก “พี่ใหญ่เป็พี่บุญธรรมที่หม่อมฉันได้รู้จักตอนอยู่ที่หมู่บ้านสกุลหลิงเพคะ ได้ดูแลหม่อมฉันและคนทั้งครอบครัวของหม่อมฉันอย่างมาก และเป็ผู้ที่ฝ่าาทรงตรัสเมื่อครู่ว่าแอบปกป้องหม่อมฉันอยู่ในที่ลับเพคะ”
ไม่ผิดเพี้ยนจากคำตอบที่ตนได้รับ ฮ่องเต้ราวกับถอนใจด้วยความโล่งอกทีหนึ่ง
แต่ที่หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ก็คือ ทันทีที่การตอบของนางเมื่อครู่มีคำเดียวที่ปิดบัง เขาจะส่งนางเข้าเรือนจำทันที ไม่มีทางให้โอกาสนางอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น
“อ้อ? เ้ากลับมีวาสนาจริงๆ ขุนศึกผู้มากฝีมือที่สุดข้างกายเจิ้นกลับลดตัวลงไปปกป้องเด็กน้อยที่ยังไม่เติบโตเช่นเ้า เ้ารู้หรือไม่ว่ายามปกติแล้วซั่งกวนเซ่าเฉินถือตัวเพียงใด”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหัว ไม่รู้จริงๆ
อย่าพูดถึงว่าซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เคยโมโหใส่นางมาก่อน แม้แต่สายตาเ็าครั้งหนึ่งก็ไม่เคยมอบให้นาง เย่อหยิ่งหรือ? บางที่คงมอบให้ผู้อื่นกระมัง
“สาวน้อย เ้าไม่ต้องประหม่า ที่เจิ้นเรียกตัวเ้ามาในวันนี้ ก็เพราะอยากเห็นเซียนแพทย์ผู้ช่วยองค์ชายเจ็ดและได้รับความรักจากราษฎร และเป็ผู้ที่สามารถเดินอยู่ระหว่างจวิ้นอ๋องน้อยและผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงได้ ว่าเป็ผู้ใดจากที่ไหนเท่านั้น”
ฮ่องเต้ถอนใจทีหนึ่ง ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์กลั้นลมหายใจในเสี้ยววินาที คำพูดนี้มิได้แฝงนัยว่า นางเคลื่อนไหวอย่างลับๆ อยู่ระหว่างขุนนางใหญ่ในราชสำนักหรือ หากเอาความขึ้นมา เป็โทษถึงตัดหัวเชียวนะ
“หม่อมฉันมิกล้า ได้รู้จักกับจวิ้นอ๋องน้อยเป็เพียงความบังเอิญเท่านั้นเพคะ เขาได้รับาเ็สาหัส ถูกลูกน้องของเขาส่งมาที่โรงหมอของหม่อมฉัน จวิ้นอ๋องน้อยให้ความสำคัญกับมิตรไมตรี เมื่อรู้ว่าหม่อมฉันมาที่เมืองหลวง ก็ดูแลเป็พิเศษเพื่อตอบแทนบุญคุณเท่านั้นเพคะ ส่วนองค์ชายเจ็ดได้ยินว่าทรงถูกลอบสังหารในงานสมรส ยามนั้นสถานการณ์คับขัน จึงได้แต่ไปเชิญหม่อมฉันมาเพคะ แต่ละเื่ล้วนแต่เป็ความบังเอิญทั้งสิ้นเพคะ”
นางพยายามอธิบายสุดชีวิต ก็เพราะไม่อยากให้ฮ่องเต้เข้าใจผิด แต่นางกลับไม่รู้ว่า จุดสำคัญของฮ่องเต้มิได้อยู่ที่นางรู้จักกับขุนนางของเขากี่คน ที่เขาให้ความสำคัญ คือผู้ที่เขาจะเลือกในอนาคตเป็ใคร
“เ้าช่วยลูกชายของเจิ้น เจิ้นย่อมไม่อาจให้เ้าเสียเปรียบ หากไม่มีเ้า เ้าเด็กนั่นตอนนี้กลัวว่าจะไปพบกับยมบาลแล้ว ว่ามาเถอะ เ้า้ารางวัลใด?”
มามอบของขวัญให้นางจริงๆ หรือ? ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์กลับไม่คิดเช่นนั้น หากคิดจะมอบรางวัลให้ตามผลงานอย่างไม่มีสิ่งใดแอบแฝงจริงๆ เมื่อครู่ก็คงไม่ทั้งลองเชิงทั้งข่มขู่
ความในใจของจักรพรรดิเ้าอย่าได้คาดเดา นางไม่คิดคาดเดา แต่หากไม่ระมัดระวังแม้เพียงครั้งเดียวก็เกรงว่าจะไม่อาจออกจากเมืองต้องห้ามแห่งนี้
“ฝ่าาทรงยกย่องแล้วเพคะ องค์ชายเจ็ดแม้จะทรงาเ็สาหัสอย่างมาก แต่ตอนที่หม่อมฉันไปถึงนั้น ได้พันแผลหยุดเืไว้แล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ช่วยพระองค์กำจัดพิษอย่างง่ายๆ เท่านั้น มิกล้าเรียกร้องผลงานเพคะ”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์รู้จักมองสถานการณ์โดยรวมและวางตัวอย่างสง่างามเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็แอบบ่นอยู่ในใจ หรือว่าที่เ้าเด็กนั่นไปต้องตาเข้าก็คือจุดนี้ของนาง?
“ในเมื่อเ้าไม่เต็มใจพูด เช่นนั้นเจิ้นก็จะตัดสินแทนตามใจแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางหลิงได้หมั้นหมายหรือยัง เจิ้นสามารถออกราชโองการประทานสมรสให้เ้าได้หรือไม่ รับรองว่าชั่วชีวิตที่เหลือของเ้ามิต้องกังวลกับการใช้ชีวิตอีก”
หลิงมู่เอ๋อร์ตกตะลึง รีบเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อครู่นางจงใจไม่พูดถึงความสัมพันธ์กับซั่งกวนเซ่าเฉิน ตอนนี้พูดอีกครั้งไม่รู้ว่ายังทันหรือไม่? จะทำให้ฮ่องเต้คิดว่านางจงใจปิดบังหรือไม่? และตั้งใจล่อลวงขุนนางผู้เป็ที่โปรดปรานของฮ่องเต้หรือไม่?
“นี่…หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ ยามนี้หม่อมฉันเพียง้าเผยแพร่ทักษะทางการแพทย์ออกไปให้เจริญรุ่งเรือง ไม่คิดเื่การแต่งงานชั่วคราว ขอฝ่าาทรงเก็บราชโองการกลับไปเถิดเพคะ” ศีรษะของหลิงมู่เอ๋อร์ก้มต่ำ หน้าผากยิ่งมีหยาดเหงื่อร่วงหล่น นางที่เมื่อครู่ยังปลอดโปร่งไร้เมฆลม ยามนี้ก็เปลี่ยนเป็ประหม่ากังวลขึ้นมาแล้ว
ทำอย่างไรดี? หากฝ่าาดึงดันจะประทานสมรสให้นาง นางสามารถปฏิเสธได้หรือไม่?
นางสามารถบอกให้ชัดเจนได้หรือไม่ว่านางได้หมั้นหมายกับซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว?
เหตุใดฮ่องเต้จึงได้ใส่ใจกับผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงตัวเล็กๆ นัก? วัตถุประสงค์ที่ฮ่องเต้เรียกตัวนางมาเข้าเฝ้าในวันนี้ที่แท้เพื่อสิ่งใดกันแน่?
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าหัวบวมขึ้นมาแล้ว วังหลวงแห่งนี้นางมีเื่ที่ไม่ชอบเป็หมื่นเื่จริงๆ หากเป็ไปได้แล้วละก็ ตอนนี้นางแทบอยากจะมีปีกงอกออกมาคู่หนึ่ง บินออกไปแล้วไม่กลับมาอีก
“คำว่า ‘เจริญรุ่งเรือง’ ที่ดี เ้ามีทักษะทางการแพทย์ที่เก่งกาจเชี่ยวชาญ น่าเสียดายที่เป็สตรี ไม่เช่นนั้นสามารถเข้ามาอยู่ในสำนักหมอหลวงได้ ช่างเถิด ในเมื่อเ้าไม่มีใจจะแต่งงาน เช่นนั้นเจิ้นก็จะประทานรางวัลอื่นให้เ้า”
ฮ่องเต้ส่งสายตาทีหนึ่ง ขันทีชราที่อยู่ด้านข้างรีบไปนำพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกมา มือยาวสะบัดครั้งหนึ่ง ตัวอักษรที่ราวหงส์ฟ้อนัเหินก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ทันที
“หัตถ์เทพคืนวสันต์?” ที่จุดลงชื่อยังมีตราพระลัญจกรของฮ่องเต้
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ตกตะลึงไปสามวินาที ก็รีบคุกเข่าขอบพระทัย “ขอบพระทัยฝ่าาที่ประทานอักษรเพคะ หม่อมฉันจะไม่ผิดต่อพระเมตตาของฝ่าา รักษาปณิธาน ช่วยเหลือผู้คนจากความเจ็บป่วยเพคะ”
“ดี! เ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ ถือเป็วาสนาของประชาชนในเมืองหลวง และเป็วาสนาของเจิ้นเช่นกัน” ฮ่องเต้มอบอักษรที่เขียนให้ถึงมือนางด้วยพระองค์เอง จุดนี้เป็สิ่งที่หลิงมู่เอ๋อร์คิดไม่ถึง
นางตื่นเต้นจนไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี ในยุคสมัยนี้ มีลายพระหัตถ์ที่ฮ่องเต้ทรงเขียนด้วยพระองค์เอง นั่นเป็เื่ที่ทำให้คนโชติ่เจิดจรัสขึ้นมาได้ อย่าพูดถึงว่ายามนี้โรงหมอของนางมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวง มีลายพระหัตถ์นี้ ยิ่งทำให้สามารถโด่งดังไปทั่วแผ่นดินได้ นี่ล้ำค่ากว่าการประทานอัญมณีเงินทองเป็รางวัลเสียอีก
“หลิงมู่เอ๋อร์ใช่หรือไม่? จดจำคำพูดในวันนี้ของเ้าไว้ เผยแพร่ทักษะทางการแพทย์ให้เจริญรุ่งเรือง หวังว่าเ้าจะสามารถไม่ลืมปณิธานเดิมตลอดไปจริงๆ” ฮ่องเต้มองดวงตาของนางอย่างละเอียด สุดท้ายก็ยกรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์อย่างร้ายกาจที่เห็นในตอนแรกออกมาอีกครั้ง “แน่นอนว่าเ้าช่วยองค์ชายของข้า รางวัลพวกนี้ยังไม่เพียงพอ เช่นนี้แล้วกัน เจิ้นรับปากเงื่อนไขเ้าข้อหนึ่ง ยามใดที่เ้าคิดจะแต่งงานแล้วหรือไปต้องตาคุณชายบ้านใดเข้า แต่ติดที่ความแตกต่างทางฐานะ เจิ้นสามารถตัดสินใจแทนเ้าได้ ขอเพียงนอกจากคนข้างกายเจิ้น เป็ผู้ใดก็ได้”