ซูิเยว่ชะงักไป อยากจะดึงมือออกเต็มที ทว่านิ้วมือของจี๋โม่หานที่เรียวยาวขาวซีดแต่เต็มไปด้วยกำลังไม่ปล่อยนางไป นางพยายามดึงออกหลายครั้ง แต่ก็ดึงไม่ออกเสียทีจึงทำได้แค่ยอมแพ้
จี๋โม่หานจับมือของนางเอาไว้ไม่ปล่อย
ซูิเยว่ทำได้แค่อยู่ในท่าโน้มตัว ระยะห่างของทั้งสองใกล้กันมากจนแทบจะหายใจรดกัน
“คุณหนู” เสี่ยวอวี่ร้องเรียกจากด้านนอกรถอีกครั้ง
ซูิเยว่ก้มหน้ามองมือของทั้งสองคนที่กุมกันอยู่ นางถอนหายใจออกมาน้อยๆ “องค์ชายสามเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ข้าก็ไม่ได้ตำหนิเ้า” น้ำเสียงของจี๋โม่หานแฝงความเหนื่อยหน่าย “เ้ากลัวหรือ?”
ซูิเยว่ตัวแข็งไปก่อนจะปฏิเสธ “เปล่าเพคะ”
นางไม่ได้กลัวจี๋โม่หาน เพียงแต่มันปุบปับไปเท่านั้น
จี๋โม่หานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นแล้วแกะเชือกที่ห้อยตรงคอของตัวเองออกมา จากนั้นก็ยัดใส่มือของนางท่ามกลางสายตาตกตะลึงคู่นั้น
เชือกเส้นนี้ดูแล้วธรรมดามาก แต่้ามีไข่มุกสีน้ำเงินเข้มสวยงามเม็ดหนึ่งห้อยอยู่ อีกทั้งยังมองเห็นแสงที่ส่องออกมาลิบๆ ก่อนหน้านี้ซูิเยว่ไม่ทันได้สังเกตว่าบนคอของจี๋โม่หานได้สวมสร้อยเอาไว้ด้วย
บนเชือกนั้นยังมีอุณหภูมิร่างกายของจี๋โม่หานอยู่ ความอบอุ่นนั้นเดิมทีสามารถเมินเฉยไปได้ แต่ซูิเยว่กลับกำมันเอาไว้ นางรู้สึกว่าฝ่ามือของตัวเองร้อนขึ้นตามอุณหภูมิที่หลงเหลืออยู่บนสร้อยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
จี๋โม่หานอธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “นี่เป็ยันต์คุ้มกันที่เสด็จแม่ของข้าทิ้งเอาไว้ให้ เป็ของที่สำคัญที่สุดของข้า ตอนนี้ข้ายกมันให้กับคนที่สำคัญมากสำหรับข้า”
เมื่อซูิเยว่ได้ยินคำว่าคนที่สำคัญมาก หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาทันที
“ซูิเยว่” จี๋โม่หานยกยิ้มแล้วเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงจริงจังขึ้น “คำพูดบางคำตอนนี้ข้ายังไม่อยากพูดออกมา ข้าหวังว่าเ้าจะไปคิดให้เข้าใจด้วยตัวเอง แต่ว่า ต่อจากนี้ไปหากเ้าเจอกับอันตราย ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน ข้าก็จะไปช่วยเ้า”
ในหัวของซูิเยว่ะเิตู้ม นางมองจี๋โม่หานนิ่ง ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“เอาล่ะ” จี๋โม่หานปล่อยมือ “ถึงแล้ว ลงไปเถิด”
ัับนหลังมือจากไปกะทันหัน ในใจของซูิเยว่ก็รู้สึกวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก
นางดึงมือกลับมา ในฝ่ามือยังกุมของที่จี๋โม่หานให้กับนาง
นี่ถือว่าคืออะไร? ของแทนคำมั่นหรือ?
พอนางคิดถึงตรงนี้ แก้มก็รู้สึกร้อนขึ้นมา
ซูิเยว่ส่ายหน้าแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามกดความรู้สึกยุ่งเหยิงภายในใจลงไป จากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างลังเล “จี๋โม่หาน....”
นี่ก็เป็ครั้งแรกที่นางเรียกชื่อของจี๋โม่หาน วินาทีที่เรียกชื่อออกมาก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่
“อืม?” จี๋โม่หานรับคำเสียงเบา
ซูิเยว่เม้มปากก่อนจะพูดอ้ำอึ้งออกไป “ไม่มีอะไรเพคะ แค่อยากจะบอกว่า ขอบพระทัยเพคะ”
จี๋โม่หานตะลึงไปก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ แม้แต่คิ้วก็ยังโค้งไปด้วย
“เช่นนั้นหม่อมฉันไปก่อนนะเพคะ” ซูิเยว่ไม่ได้อยู่ต่อนาน พูดจบก็แทบจะะโออกจากรถม้า
เสี่ยวอวี่ที่ยืนรออยู่ด้านนอกรถม้าครู่หนึ่งก็เห็นซูิเยว่ออกจากรถม้าด้วยท่าทางลนลาน นางจึงถามด้วยความแปลกใจ “คุณหนู เกิดเื่อะไรขึ้นหรือเ้าคะ?”
ซูิเยว่ส่ายหน้า “ไม่ ไม่มีอะไร”
“เช่นนั้นเหตุใดคุณหนูถึงได้หน้าแดงล่ะเ้าคะ? ไม่ได้ไม่สบายใช่หรือไม่เ้าคะ?”
เสี่ยวอวี่พูดพร้อมกับยื่นมือมาแตะหน้าผากของซูิเยว่ แต่ก็ถูกนางปัดมือออกแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว กระแอมไอหนึ่งที “งั้นหรือ อาจจะเพราะในรถม้าร้อนเกินไปก็ได้”
“อ๋อ” เสี่ยวอวี่ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากรอให้รถม้าของจวนองค์ชายสามไปแล้ว ทั้งสองถึงจะเดินเข้าประตูไป องครักษ์ที่เฝ้าประตูอยู่เห็นเสี่ยวอวี่ก็ยังใ พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเสี่ยวอวี่ออกไปเมื่อไหร่กัน
ขณะเดียวกัน ภายในวัง
หลังจากซูิเยว่ออกไปแล้ว เวินเยว่ก็นั่งจมอยู่กับความคิดนานมาก ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ในตอนนั้นเองนางกำนัลที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักก็พุ่งเข้ามารายงานอย่างเร่งรีบว่าฮ่องเต้มา
ต่อมาด้านนอกตำหนักก็มีเสียงถวายบังคมของนางกำนัลดังมาลิบๆ สีหน้าเวินเยว่ไม่ได้มีความดีใจเลยสักนิด แล้วก็ไม่ได้มีความใด้วย ราวกับนางเดาได้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้จะมา
นางยืนขึ้นแล้วจัดเสื้อผ้าตัวเอง จากนั้นก็เดินไปด้านนอกตำหนักและได้เจอกับฮ่องเต้เข้าพอดี “หม่อมฉันขอถวายบังคมเพคะ ฮ่องเต้”
ด้านหลังฮ่องเต้พามาแค่หยวนเฉียวกงกงข้างกายของเขาเพียงคนเดียว เวินเยว่โค้งคำนับ สายตาั้แ่ต้นจนจบแฝงไปด้วยความห่างเหิน นางมองใบหน้าฮ่องเต้แค่ครู่เดียวก็ดึงสายตากลับมา
ฮ่องเต้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “อืม”
“เชิญนั่งเถิดเพคะ ฝ่าา” เวินเยว่สั่งสาวใช้อีกครั้ง “เสี่ยวเตี๋ย เอาชามา”
ฮ่องเต้เดินไปนั่งตรงที่นั่งประธาน เวินเยว่ก็ยืนตรงตำแหน่งที่ต่ำกว่าเขาหน่อย สายตามองไปด้านหน้า แต่ไม่ได้มองฮ่องเต้ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความห่างเหิน “ไม่ทราบว่าวันนี้ฮ่องเต้มาหาหม่อมฉันมีเื่อะไรหรือเพคะ?”
สีหน้าของฮ่องเต้ไม่พอใจอยู่เล็กน้อย เขาถามเสียงเย็น “วันนี้ซูิเยว่มาหาเ้าที่ตำหนักหรือ?”
ในที่สุดเวินเยว่ก็มองฮ่องเต้ตรงๆ หัวเราะเสียงเย็นหนึ่งที “เป็อย่างที่คิดเอาไว้ ฮ่องเต้ที่ปกติแล้วจะไม่มาที่ตำหนักนี้หากไม่มีธุระ ทำไมหรือ จะมาถามหม่อมฉันหรือ ฮ่องเต้กลัวว่าหม่อมฉันจะพูดอะไรกัน?”
“เหอะ” ฮ่องเต้ร้องเหอะเสียงเย็นออกมา สีหน้าคล้ำขึ้น เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง “เวินเยว่ เจิ้นเห็นแก่ความรู้สึกเก่าๆ นะ ถึงได้ให้เ้าอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าวังหลังมาตลอด เื่อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เ้าก็ควรจะรู้ ไม่ใช่ว่าเจิ้นเคยเตือนเ้าแค่ครั้งเดียวนะ”
เวินเยว่เหมือนได้ยินเื่ตลกที่น่าขันที่สุด ใบหน้าปรากฏแววเย้ยหยันอยู่วูบหนึ่ง “ฐานะของเปิ่นกงมันตายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ชื่อ หม่อมฉันกลับหวังว่าฝ่าาจะปลดหม่อมฉันเสียอีก”
“เ้า!” ฮ่องเต้ถลึงตาใส่เวินเยว่ ความโกรธพุ่งปรี๊ดขึ้นมา “ที่เจิ้นมาวันนี้ก็เพื่อมาเตือนฮองเฮาเป็ครั้งสุดท้าย ไปมาหาสู่กับซูิเยว่ให้น้อยลง อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด เ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจ หากมีครั้งหน้า เจิ้นจะไม่สนใจความสัมพันธ์เก่ากับสกุลเวิน”
ฮ่องเต้พูดจบก็ยืนขึ้นสะบัดแขนเสื้ออย่างแรงแล้วเดินออกไปด้านนอก
เวินเยว่โค้งตัวอยู่ด้านหลังเขา “หม่อมฉันยินดีที่ได้ส่งฝ่าาเพคะ”
ฮ่องเต้มาไวไปไวเหมือนเคย แม้แต่น้ำชาในแก้วก็ยังไม่ดื่ม
เวินเยว่จ้องแผ่นหลังของฮ่องเต้ที่จากไป แววตาฉายความเกลียดชัง มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น
หลังจากซูิเยว่กลับมาถึงหอฮวาซีก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่ให้ใครเข้ามารบกวน
นางนอนอยู่บนเตียง ในมือถือเชือกที่จี๋โม่หานให้นาง ในหัวยังนึกถึงคำพูดที่จี๋โม่หานพูดกับตนเมื่อครู่
นางรู้สึกแค่ว่าความคิดของตัวเองวุ่นวายไปหมด ความรู้สึกไม่รู้ที่มาที่ไปมากมายเบียดเข้ามาในหัวตอนนี้
ซูิเยว่ยกเชือกนั้นขึ้นมาดูครู่หนึ่ง นางอยากจะจ้องมันจนเป็รู
เมื่อคิดถึงคำพูดของจี๋โม่หานว่านี่คือยันต์คุ้มกันที่มารดาของเขาทิ้งเอาไว้ให้ อีกทั้งยังเป็ของที่สำคัญที่สุดของเขา พอคิดถึงเื่คนที่สำคัญที่สุดที่จี๋โม่หานบอก หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
นางเอาสร้อยเส้นนี้ไปทับกับประโยคที่จี๋โม่หานพูดพวกนั้น ครุ่นคิดถึงความหมายในคำพูดของเขา ที่จริงความหมายที่จี๋โม่หานจะสื่อก็ชัดเจนอยู่แล้ว นางเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ เพียงแต่มันกะทันหันเกินไป
ชาติก่อนซูิเยว่มีชีวิตมายี่สิบกว่าปี บวกกับชาตินี้ พูดไปแล้วก็มีชีวิตมาได้ครึ่งชีวิตแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทว่าตอนนี้กลับไม่เข้าใจเื่เล็กๆ เช่นนี้