“แม่คะ มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยนะคะ”
หยางอวี้หลานแสดงสีหน้าประหม่า ก่อนจะเอ่ยเตือนเบาๆ
ตอนที่หล่อนยังไม่พูดก็ไม่ทันสังเกต แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่เฒ่าสวีถึงได้หันมาสนใจซูอินที่ทำหน้าใอยู่หน้าประตู
เงียบไปครู่หนึ่ง แม่เฒ่าสวีก็ดึงสติกลับมา
อันที่จริงบุตรชายของเธอต่างหากที่ไร้ประโยชน์ รายได้ทั้งหมดของบ้านพึ่งพาหยางอวี้หลาน หลายปีมานี้หากไม่มีหล่อนคอยดูแล ก็ไม่อาจบอกได้ว่าสถานการณ์จะเป็เช่นไร
ไม่ว่าอย่างไรจะให้หยางอวี้หลานปล่อยมือไม่ได้เด็ดขาด
ตอนที่ไม่มีคนนอกอยู่ แม่เฒ่าสวีก็จะพูดเพียงไม่กี่คำ และดูโทรทัศน์อย่างสบายใจ แต่เมื่อมีคนนอกเข้ามา เธอก็ตื่นตัวขึ้นมาซะอย่างนั้น
“น่าสงสารลูกชายของฉันจริงๆ…”
เมื่อคำพูดคุ้นเคยถูกเอ่ยออกมา สีหน้าของสองแม่ลูกตระกูลสวีเปลี่ยนไปทันที พวกเขารู้ดีว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
แล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ แม่เฒ่าสวีร่ำไห้เสียใจอยู่อย่างนั้นสิบนาทีเต็ม
และซูอินก็รับรู้จากการร่ำไห้นานสิบนาทีครั้งนี้ว่า นี่คือการสรุปเื่ราวได้อย่างน่าประทับใจ
พูดง่ายๆ คือ หล่อนเป็แม่ม่ายที่ดิ้นรนเลี้ยงดูบุตรชายเพียงลำพังจนเติบใหญ่ ไม่ง่ายเลยที่จะรอให้เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยและได้ทำงานดีๆ เห็นแล้วก็มีความสุข แต่เพื่อช่วยลูกสะใภ้ ทำให้บุตรชายของหล่อนเสียขาไปสองข้าง อนาคตพังทลาย
เมื่อครู่ตอนที่เพิ่งเข้ามาในบ้านตระกูลสวี ซูอินก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ
สวีลี่ฉวินที่นั่งอยู่บนรถวีลแชร์ดูท่าทางเฉื่อยชา ไม่เหมือนคนมีงานทำ ส่วนแม่เฒ่าสวีที่ผมขาวทั้งหัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากคำนวณดู ทั้งครอบครัวคงพึ่งพารายได้จากหยางอวี้หลาน
ฐานรายได้เป็ตัวกำหนด จึงเป็สาเหตุให้หยางอวี้หลานสมควรทำหน้าที่ดูแลตระกูลสวีมากที่สุด
แต่สถานการณ์ที่เธอเห็นกลับไม่ได้เป็เช่นนั้น
หยางอวี้หลานเหนื่อยจากการทำงานกลับมาทุกวัน แต่ก็ไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ กลับต้องมาทำอาหารให้คนในบ้านอีก
หากไม่ใช่พระแม่มารี ก็คงเป็…
เธอหันไปมองหยางอวี้หลาน จากปฏิกริยาของอีกฝ่ายทำให้รู้ว่าคำพูดของแม่เฒ่าสวีเป็เื่จริง
หากเป็เช่นนั้นก็ถือว่าสมเหตุสมผล
เธอรู้ดีว่าบนโลกนี้ไม่ได้มีคนจิตใจดีดั่งพระแม่มารีมากนัก
อย่างไรก็ตามแม่เฒ่าสวีทำให้เธอไม่สบายใจ โดยเฉพาะประโยคที่หล่อนกล่าวโทษว่า : สะใภ้ของหล่อนช่างโชคร้ายที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชาย นี่้าทำให้ตระกูลสวีจบสิ้นหรืออย่างไร!
คำพูดเช่นนี้ซูอินไม่ชอบเลย
“ไม่ถูกต้องนะคะ…”
วันข้างหน้าสวีเหวินเหวินต้องออกเรือน ไม่ว่าบุตรที่เธอให้กำเนิดจะใช้แซ่สวีหรือไม่ แต่จงรู้ไว้ว่าในเืของเธอต้องมีตระกูลสวีอยู่ แต่หากเป็เด็กผู้ชาย หลานที่อยู่ในครรภ์อาจเป็าาตัวน้อยก็ได้
เธออยากพูดแบบนี้ แต่หลังจากที่พูดออกไปก่อนหน้านั้นทำให้เธอดึงสติกลับมา
เธอเป็แขก จำเป็ต้องรักษามารยาท
“ั้แ่ตอนที่พวกเราเรียนอนุบาล คุณครูสอนเสมอว่าผู้ชายกับผู้หญิงเท่าเทียมกัน มีคำขวัญแขวนไว้บนกำแพงของชุมชนว่า จะหญิงหรือชายต่างก็เหมือนกัน”
เธอเอ่ยพร้อมหันไปมองสวีเหวินเหวิน
สาวน้อยกำลังก้มหน้า ราวกับละอายใจที่ตนเองไม่ใช่เด็กผู้ชาย
ไม่เห็นจำเป็เลย…
เธอนึกถึงข่าวบนโลกหลังจากนี้ เพศชายและหญิงในวัยที่เท่ากันมีจำนวนต่างกันถึงสาม 30 ล้านคน ซึ่งเทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของประเทศอังกฤษ
บุตรสาวถือเป็สิ่งล้ำค่าเชียวนะ!
“สิ่งที่คุณครูเคยบอกต้องไม่ผิดอย่างแน่นอน หนูคิดว่าเป็ผู้หญิงมันดีมากเลยค่ะ”
ซูอินแสดงท่าทีมั่นใจในตนเอง
แม่เฒ่าสวีชะงักไปทันที คนไร้การศึกษาเช่นเธอให้ความเคารพผู้เป็ครูเข้ากระดูก
“เด็กอย่างพวกเธอไม่เข้าใจหรอก เป็เด็กผู้ชายสิดี ครอบครัวจำเป็ต้องมีผู้ชายเป็ผู้นำ”
“หึ พูดอย่างกับครอบครัวของพวกคุณมีบัลลังก์รอผู้สืบทอดอยู่อย่างนั้นแหละค่ะ”
ซูอินพูดแขวะ
ผู้ใหญ่ทั้งสามคนของตระกูลสวีอยู่ไกลจากเธอจึงไม่ได้ยิน แต่สวีเหวินเหวินที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับได้ยินชัดเจน
ทำไมเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอินอินเป็คนน่ารักเช่นนี้
เด็กสาวร่างเล็กยังคงก้มศีรษะด้วยท่าทีละอายใจทำอะไรไม่ถูก ไหล่กระตุกอย่างน่าสงสัย และปิดปากเพื่อกลั้นหัวเราะ
ในห้องครัวมีเสียงกาน้ำร้อนดัง หยางอวี้หลานตบผ้ากันเปื้อนของตนเอง
“ตายแล้ว ในหม้อยังมีซุปปลาต้มไว้นี่นา”
ในที่สุดซูอินก็นึกได้ถึงจุดประสงค์หลักของเธอที่มายังตระกูลสวี
ไม่ใช่เพื่อมาดูสิ่งสวยงาม และไม่ใช่มาสู้กับใคร แต่มาเพื่อรับรู้สถานการณ์ปัจจุบัน เธอ้าผลักดันให้หยางอวี้หลานแย่งโควตามาจากอู๋อู๋ให้ได้
เธอไม่คิดอะไร และลงมือทำแบบตรงไปตรงมา
“คุณป้าหยางคะ เดี๋ยวหนูช่วยค่ะ”
“ในห้องนี้มีแต่ควัน ฉันทำคนเดียวได้จ้ะ”
“ไม่เป็ไรค่ะ”
ควันเหล่านี้ไม่ใช่อุปสรรค์ ชาติก่อนเธอก็ทำหน้าที่แม่บ้านทุกอย่างในตระกูลหลิงอยู่หลายปี ไม่ใช่แค่ดูแลปัดกวาดทำความสะอาดในคฤหาสน์พื้นที่ราวหนึ่งพันตารางเมตร แม้แต่เื่ทำอาหารก็รวมอยู่ในหน้าที่
ด้วยประสบการณ์ที่ค่อนข้างคุ้นเคยในห้องครัวมาก่อน เธอจึงหาถ้วยใบใหญ่มาใส่ซุปโดยอัตโนมัติ จากนั้นเริ่มลงมือหั่นผัก
“คุณป้าหยางคะ ได้ยินเหวินเหวินบอกว่าโรงพยาบาลของคุณป้ามีโควตาเพื่อเข้าศึกษาเพิ่มเติมในตัวมณฑลหรือคะ”
“ใช่จ้ะ”
หยางอวี้หลานที่กำลังยุ่งอยู่กับการตักซุปปลาตะเพียนใส่เต้าหู้ลงในถ้วย เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็แสดงท่าทีที่เข้าใจยาก
ซูอินชะงักเล็กน้อย เมื่อนึกบางอย่างได้จึงรีบอธิบาย “คุณป้าวางใจเถอะค่ะ หนูไม่ได้มาเพื่อสืบข่าวให้อู๋อู๋”
มันช่างเกินความคาดหมายเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่สีหน้าของหยางอวี้หลานกลับยังดูไม่วางใจ และแสดงท่าทีแปลกไป
“หนูไม่รู้หรือ”
“เื่นี้เกี่ยวข้องกับอู๋อู๋หรือคะ”
จากนั้นเธอก็ได้ยินหยางอวี้หลางพูดแบบอ้อมๆ หล่อนกล่าวว่าเดิมทีมีการตกลงกันภายในว่าจะมอบโควตาให้อู๋อู๋ แต่เมื่อวันจันทร์ จู่ๆ ทางโรงพยาบาลก็ประกาศว่าจะคัดเลือกจากผลโหวต
ที่แท้ก็มีเื่ปกปิดหรือนี่!
ซูอินขมวดคิ้ว รู้สึกว่าตนเองพบเบาะแสสำคัญแล้ว
“คุณหมายถึง เื่นี้เพิ่งประกาศเมื่อวันจันทร์หรือคะ”
เห็นได้ชัดว่าอู๋อู๋ไม่จริงใจต่อเธอเลยสักนิด ก่อนหน้านี้แม้จะทะเลาะกันหลายครั้ง แต่อู๋อู๋ก็พยายามอดกลั้น ทว่าเมื่อเช้าอู๋อู๋กลับกล้าฉีกหน้าและไล่เธอออกมา
เมื่อเห็นหยางอวี้หลานพยักหน้า เธอก็ตัดสินใจได้โดยสัญชาตญาณว่า สองสิ่งนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกัน
“ถ้าเช่นนั้นคุณป้าหยาง ั้แ่เมื่อไรคะที่ได้ยินข่าววงในว่าคัดเลือกอู๋อู๋”
ใบหน้าของหยางอวี้หลานพลันฉายแววสับสน “หากจะบอกเวลาที่แน่ชัด ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ เหมือนจะเป็เมื่อสัปดาห์ก่อน ่วันเสาร์ ใช่แล้ว น่าจะเป็่นั้น ว่ากันว่าคณบดีเรียกอู๋อู่เข้าไปพบที่สำนักงานชั้นบนเป็การส่วนตัว ฉันคิดว่าคณบดีน่าจะพูดอะไรกับเธอแน่ๆ เพราะหลังจากที่ประกาศว่าจะให้มีการโหวต เธอก็ดูใมาก หลังจากนั้นสติก็ไม่อยู่กับตัว แถมเธอยังไปที่สำนักงานของคณบดีด้วย”
วันเสาร์ที่แล้วงั้นหรือ
วันนั้นคือวันที่เธอตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไปจากตระกูลหลิง
เื่ราวหลายอย่างที่เกิดขึ้นใน่สิบปีนั้น ซูอินจำได้ไม่ชัดเจนนัก แต่กลับรู้สึกมีความทรงจำบางอย่าง หลังจากที่เื่ราวถูกเปิดเผย อู๋อู๋พยายามมากที่จะส่งเธอกลับชนบท แต่ต่อมาจู่ๆ ก็เปลี่ยนความคิด
ลงมือเข้าครัวทำอาหารให้เธอด้วยตนเอง แสดงความรักของผู้เป็มารดาต่างๆ นานา และพยายามรั้งให้เธออยู่ต่อ
ซูอินคาดเดาด้วยความมั่นใจ หรือว่าการอยู่หรือไปของเธออาจเกี่ยวข้องกับการได้รับโควตาในการเข้าศึกษาครั้งนี้