ซูอินยังไม่ได้กลับไปที่ตระกูลสวีพร้อมกับสวีเหวินเหวิน แต่เลี้ยวไปที่ร้านชานมก่อนเพื่อทำงานตามปกติ
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเธอ ว่าการที่เธอออกมาจากตระกูลหลิงไม่ใช่เป็แค่การประชดประชัน
สำหรับเธองานที่ร้านชานมถือเป็สิ่งสำคัญ
พี่หงยังคงงานยุ่งเหมือนเดิม เมื่อเห็นเธอมาถึงก็กำชับบอกให้ปิดร้านให้ตรงเวลาก่อนจะรีบขับรถออกไป ซูอินรับหรงหรงเ้าสุนัขปอมเมอเรเนียนมาไว้ในอ้อมแขน แล้วสวมผ้ากันเปื้อน เปิดร้านอย่างเป็ระเบียบ
ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกไปเองหรือเปล่า ว่าระยะนี้ธุรกิจค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
ประมาณสองทุ่มครึ่ง ใกล้เวลาปิดร้าน
ซูอินมองแก้วพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ เมื่อสัปดาห์ก่อนที่เธอเพิ่งมาทำงาน ทุกวันจะขายได้แค่ครึ่งแถว
ทว่าหลังจากที่เธอมาทำงานต้องเปิดใช้แก้วแถวใหม่ ซึ่งในตอนนี้เหลือเพียงสิบใบ
กิจการของร้านดีขึ้นจริงๆ
“คงเพราะอากาศร้อนทำให้เครื่องดื่มเย็นๆ ได้รับความนิยม”
คิดไปคิดมา ซูอินหาเหตุผลได้เพียงเท่านี้ สำหรับเธอรู้สึกดีใจมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าพี่หงดีกับเธอแค่ไหน การที่เธอมาทำงานที่นี่แล้วกิจการค่อย ๆ ดีขึ้น ในใจเธอรู้สึกว่ามันคือหนึ่งในความสำเร็จ
กิจการดีขึ้นก็มักจะนำไปสู่หน้าที่รับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นด้วย…
ชาติก่อนเธอทำงานดูแลคฤหาสน์หรูซึ่งมีเนื้อที่เกือบหนึ่งพันตารางเมตร อีกทั้งยังเป็แม่ครัวให้ตระกูลหลิง งานในส่วนนี้เธอจึงคิดว่าไม่ใช่เื่ยากลำบาก
สำหรับเธอที่ต้องใช้สมองทั้งวันจากการเรียน เมื่อได้มาทำงานที่แทบไม่ต้องใช้สมองเช่นนี้ แค่ขยับมือชงเครื่องดื่ม ยืดกล้ามเนื้อ แถมยังได้เงิน พี่หงไม่พูดอะไรก็จ่ายเงินให้ ช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
แต่สิ่งที่ซูอินไม่รู้คือ การที่กิจการดีขึ้นไม่เกี่ยวข้องเลยกับสภาพอากาศ
เหตุผลที่แท้จริงมาจากเธอ
ใกล้กับถนนย่านการค้านี้มีโรงเรียนหลายแห่ง ่นี้มีข่าวแพร่สะพัดในหมู่หนุ่มๆ ว่า ร้านชานมตรงหัวมุมมีพนักงานสาวสวยมาใหม่ ผิวขาวผ่อง สวย รอยยิ้มหวานจับใจ
เหล่านักเรียนชายมัธยมปลายอายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีที่เพิ่งเลิกเรียนก็รีบตรงดิ่งมาที่นี่ และเหมือนได้เห็นดาวโรงเรียนจากระยะไกล
เพื่อจะได้เห็นสาวน้อยคนสวย พวกเขาจึงเดินเข้ามาซื้อเครื่องดื่ม
จากนั้นเมื่อพบว่า สาวน้อยคนสวยทำให้ชานมดูหวานเป็พิเศษ บวกกับรอยยิ้มหวานจับจิต ก็ยิ่งทำให้รสชาติหอมหวานแทรกซึมเข้าไปในใจ
่สอบปลายภาค นอกจากทบทวนบทเรียนพวกเขาก็ไม่มีอะไรทำ เมื่อมีสาวน้อยหน้าตาน่ารักปรากฏตัว สำหรับนักเรียนมัธยมหลายคนรอบๆ บริเวณนี้ นี่จึงเป็สีสันที่หาได้ยากของชีวิตใน่การทบทวนที่น่าเบื่อ
ซื้อ ซื้อ ซื้อ!
จำเป็ต้องซื้อ!
ไม่ใช่แค่ผู้ชาย ผู้หญิงหลายคนก็มาเพราะความอิจฉา ในตอนแรกหัวใจเต็มไปด้วยจิตริษยา แต่เมื่อได้เห็นสาวน้อยร้านชานมกับรอยยิ้มหวาน สาวๆ จำนวนไม่น้อยก็เปลี่ยนความคิดทันทีและกลายมาเป็แฟนคลับ
เมื่อเทียบความชื่นชอบในการดื่มชานมกับเหล่านักเรียนชายที่้ามาดูสาวสวย พวกนักเรียนหญิงนั้นชอบดื่มชานมมากกว่า
วัตถุดิบทำชานมของร้านพี่หงเป็ของดี โดยแทบไม่ต้องใส่สารเติมแต่งใดๆ รสชาติกลมกล่อมไม่เหมือนใคร จึงพิชิตใจต่อมรับรสของสาวๆ ได้อย่างรวดเร็ว
นักเรียนมัธยมปลายเหล่านี้มีเงินไม่เยอะ ไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มที่ร้านได้ทุกวัน แต่ด้วยจำนวนคนที่มาก ต่อให้นักเรียนคนหนึ่งมาซื้อแค่สัปดาห์ละครั้ง ก็เพียงพอที่จะทำให้กิจการเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
โดยปกติธุรกิจร้านชานมมีลูกค้าเป็คนหนุ่มสาวอยู่แล้ว ซูอินจึงไม่ได้สังเกต
แน่นอนว่าเคยมีคนกล่าวชมเื่ความงามของเธอ
ซูอินที่มองหน้าตัวเองในกระจกไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ามันคือเื่จริง
ทว่าเธอก็ไม่ได้สนใจมันมากเท่ากับคิดถึงเื่การขาย
เมื่อทำความสะอาดร้านเสร็จ เธอเอาประตูเหล็กม้วนลง จากนั้นเดินไปตามเส้นทางที่ได้สอบถามมาอย่างแน่ชัดแล้ว
บ้านของสวีเหวินเหวินอยู่ไม่ไกลจากร้านชานมมากนัก เลี้ยวโค้งและเดินตรงไปเพียงสองร้อยเมตรก็ถึง
อยู่ที่โรงเรียน สวีเหวินเหวินเคยบอกว่าบ้านของตนโทรมมาก ถึงกระนั้นซูอินก็ยังตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า
เธอไม่คิดว่าย่านใจกลางเมืองที่เจริญที่สุดในเขตผิงจะมีตึกเก่าทรงกระบอกเช่นนี้อยู่ด้วย
อาคารที่ถูกสร้างราวๆ ปี 1950-1960 ในยามนี้ทรุดโทรม กำแพงลอกจนเห็นอิฐสีแดง หน้าต่างหลายบานผุพัง บานที่เปลี่ยนใหม่ก็มีลายแตกต่างกันออกไป บางครอบครัวไม่ได้เปลี่ยนกระจกหน้าต่างที่แตก แต่ใช้แผ่นพลาสติกมาปิดแทน
ในชุมชนนี้เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างผิดกฎหมาย ถนนที่แออัดอยู่แล้วก็ยิ่งแคบ ต้นไม้เขียวชอุ่มสองข้างทางบดบังแสงจันทร์ เพิ่มบรรยากาศให้ดูน่ากลัว
สถานที่นี้…
ซูอินยืนอยู่หน้าปากทางชุมชน ไม่กล้าเดินเข้าไป
แต่ไม่นานก็นึกได้ว่า หลังสอบเสร็จอย่างไรเธอก็ต้องกลับชนบท
เธอเคยเห็นสิ่งต่างๆ นั้นแล้วตอนอยู่ที่ชนบทเมื่อครั้งเป็เด็ก ไม่แน่ว่าสถานที่ที่เธอต้องไปอยู่อาจเป็แบบนี้ก็ได้
ถือเสียว่าเป็การเตรียมใจให้ชิน ซูอินปลุกความกล้าก่อนจะเดินผ่านอาคารร้างผิดกฎหมาย แล้วเดินตามหาป้ายบ้านเลขที่
ชุมชนนี้ค่อนข้างใหญ่ อาคารประมาณร้อยกว่าหลังพยายามอย่างมากที่จะใช้พื้นที่เล็กๆ นี้ด้วยกัน โดยตั้งอยู่ระเกะระกะราวกับเขาวงกต
กว่าซูอินจะพบบ้านเลขที่ 49 ซึ่งเป็ที่ตั้งของตระกูลสวี ก็ใช้เวลาราวๆ สิบห้านาที
เธอกดกริ่ง สวีเหวินเหวินสวมรองเท้าแตะเดินออกมาต้อนรับเธออย่างอบอุ่น
สภาพความเป็อยู่ของตระกูลสวีไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการปรับปรุงพัฒนามาตรฐานการครองชีพให้ดีขึ้น หลายครอบครัวในชุมชนจึงย้ายไปยังอาคารที่มีขนาดกว้างขวางและสว่างไสวมากกว่าเดิม ทำให้ในอาคารทรงกระบอกที่ทรุดโทรมเหลือห้องว่างหลายห้อง เดิมมีสามครอบครัวในพื้นที่ที่ตระกูลสวีอาศัยอยู่ เมื่อสองครอบครัวย้ายออกไป ทั้งสามห้องจึงตกเป็ของตระกูลสวี ทำให้ไม่แออัด
ซูอินได้รับการปฏิบัติที่ค่อนข้างแปลกจากตระกูลสวี
ที่บอกว่าแปลกเพราะว่า สวีเหวินเหวินกับหยางอวี้หลานผู้เป็มารดาปฏิบัติต่อเธออย่างอบอุ่น แต่คุณย่าสวีที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟากับบิดาซึ่งนั่งอยู่บนวีลแชร์กลับค่อยๆ เงยหน้าเหลือบมองเธอ และทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน
สิ่งเ่าั้ช่างแปลกประหลาด แต่ก็ตามสบาย ซูอินไม่พูดอะไร เธอหันไปสนใจหยางอวี้หลานที่กำลังยุ่งอยู่ในครัว
“ดึกขนาดนี้แล้ว พวกคุณยังไม่กินข้าวหรือคะ”
เธอถามแค่นั้น หญิงชราที่นั่งอยู่บนโซฟากลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“นั่นไม่ใช่เพราะมีคนกลับดึกหรือ ทำให้คนแก่ต้องรอกินข้าว”
หยางอวี้หลานยกหมั่นโถวที่นึ่งแล้วออกมาจากในครัว ได้ยินคำพูดนั้นก็จนหนทาง “แม่คะ ที่โรงพยาบาลเกิดเื่ หนูต้องเข้าเวร หนูเองก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนกลางวันก่อนจะออกไป หนูก็บอกแล้วไม่ใช่หรือคะว่ามีอาหารอยู่ในหม้อ หากพวกคุณหิวก็กินรองท้องไปก่อน”
ร่องแก้มของแม่เฒ่าสวีตกลง ทำให้หล่อนยิ่งดูใจร้าย “ฉันพูดแค่ประโยคเดียว แต่เธอรัวออกมาอย่างกับปืนกล แค่นี้ฉันก็รู้แล้วว่าพวกเธอ้าทอดทิ้งคนแก่อย่างฉัน!”
“แม่คะ นี่แม่พูดอะไร”
แม่เฒ่าสวีเริ่มร้องห่มร้องไห้ “แก่แล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว มีแต่สร้างเื่เดือดร้อนให้คนอื่น ฉันตายไปจะดีกว่า”
นี่มันอะไรเนี่ย
ซูอินมองสถานการณ์ในห้องรับแขกที่เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอได้แต่ตกตะลึง