สิ่งที่ซูอินคาดเดาไม่นานก็มีหลักฐานมายืนยัน
คืนนั้นเธอช่วยติวให้สวีเหวินเหวิน โดยให้ความสำคัญไปที่โจทย์ที่เหมือนกับข้อสอบเดิม แน่นอนว่าเธอไม่ได้เฉลยข้อสอบโดยตรง แต่หาข้อที่มีโจทย์คล้ายกันแทนจากเอกสารทบทวน ค่อยๆ วิเคราะห์และอธิบายอย่างละเอียด จนมั่นใจว่าสวีเหวินเหวินเข้าใจจึงได้หยุด
ทบทวนจนถึงห้าทุ่มและได้เวลาเข้านอน ด้านนอกฝนก็ตก
เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าดังตลอดทั้งคืน เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ ฝนยังคงตกและหนักขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้กระหน่ำลงมาอย่างหนัก
แสงสว่างวาบขึ้นในหัวของซูอิน ไวจนเธอจับมันแทบไม่ทัน
ซูอินรับถุงพลาสติกมาจากป้าหยาง สวมทับกระเป๋าหนังสือของเธอไว้อีกชั้น เอกสารทบทวนที่สำคัญของเธอทั้งหมดถูกเก็บไว้ในห้วงมิติ ในกระเป๋าเรียนมีหนังสือแค่สองเล่มที่แกล้งนำมาใส่ไว้เท่านั้น แต่ด้วยความหวังดีของอีกฝ่าย เธอจึงไม่อาจปฏิเสธ
เธอกับสวีเหวินเหวินถือร่มคนละคันเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน มองไกลออกไปท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาราวกับม่าน เธอเห็นรถเปิดไฟจอดอยู่ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่ามันคือรถเมอร์เซเดสเบนซ์คันหรูของตระกูลหลิง
“พวกเขามารับเธอแล้ว”
สวีเหวินเหวินรู้สึกดีใจไปกับซูอิน ไม่ว่าอย่างไรที่นั่นก็คือบ้าน
“ฉันไม่คิดว่ามันเป็แบบนั้น”
ซูอินถือร่มเดินผ่านรถเมอร์เซเดสเบนซ์คันหรูที่อยู่ห่างราวๆ สองสามเมตร เธอเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส
“อินอิน!”
หน้าต่างรถเลื่อนลง อู๋อู๋โบกมือให้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่ได้ยินก็ร้อนใจ ปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะวิ่งฝ่าสายฝนที่โปรยปราย
หลิงจื้อเฉิงรีบตามลงมาโดยถือร่มให้อยู่ด้านหลัง
อินอินมองตรงไปขณะจะเข้าตัวโรงเรียน ทว่าจู่ ๆ แขนข้างที่ถือร่มก็ถูกดึง ทำให้ฝั่งนั้นถูกฝนตกใส่จนเปียก
“อินอิน เมื่อคืนไปอยู่ที่ไหนมา”
อู๋อู๋ดึงแขนของซูอิน แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
หลิงจื้อเฉิงวิ่งตามมาทัน ร่มสีดำคันใหญ่กางออกบังร่างทั้งสองคนไว้ จากนั้นเขามองไปทางซูอิน
“อินอิน ทำไมเมื่อคืนไม่กลับบ้าน แม่ของลูกเป็ห่วงมากจนไม่ได้นอนเลยนะ”
“คุณลุง คุณป้าคะ อินอินมานอนที่บ้านหนูค่ะ”
สวีเหวินเหวินรีบถือร่มเดินเข้ามาเพื่อบังฝนให้เธอกับซูอิน แต่น่าเสียดายร่มที่นำมาจากบ้านนั้นเล็กเกินไป แทบไม่พอกันฝนให้หนึ่งคน หากจะกันให้สองคนยิ่งไม่พอ
เมื่อซูอินเห็นเช่นนั้น จึงเอียงตัวเพื่อออกมาจากร่ม
เพราะอย่างไรเสียตอนนี้เธอก็เปียกแล้ว อีกเดี๋ยวจะเข้าสอบ เธอไม่อยากทำให้สวีเหวินเหวินเปียกไปด้วย
เธอเช็ดหน้าที่เปียกฝน ก่อนจะมองสองสามีภรรยาที่อยู่ตรงหน้า
แววตาของพวกเขาที่มองเธอเต็มไปด้วยความกังวล รวมถึงความกระตือรือร้นที่ไม่อาจปกปิด
ไม่จำเป็ต้องถามให้มากความ ซูอินมั่นใจในสิ่งที่ตนเองคาดเดาเมื่อคืน อีกทั้งท่าทีของหลิงจื้อเฉิงที่ปิดไม่มิดก็ทำให้เธอมองออก
บางทีการอยู่หรือไปของเธอคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับโควตาเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับธุรกิจของหลิงจื้อเฉิงด้วย
เมื่อมั่นใจในส่วนนี้แล้ว หลายจุดที่เธอไม่เข้าใจก่อนหน้านี้ก็เริ่มชัดเจนขึ้นดั่งเมฆหมอกบดบังที่ค่อยๆ สลายออกไปจนเห็นแสงจันทร์
มิน่าล่ะถึงอยากให้เธออยู่ด้วย…
ริมฝีปากของซูอินยกขึ้นด้วยท่าทีประชด “ทำไมหนูไม่กลับไป พวกคุณไม่รู้จริงๆ หรือคะ เมื่อเช้าวานนี้เกิดอะไรขึ้น ลืมเร็วขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“อินอิน!”
อู๋อู๋คว้าข้อมือของซูอินด้วยท่าทีร้อนใจก่อนรีบอธิบาย “สิ่งที่แม่พูดเพราะแค่โมโห ลูกอย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ”
ซูอินหลุดขำ “หึ เป็เพราะโมโหหรือเปล่า คุณน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”
สีหน้าของอู๋อู๋ฉายแววประหม่า เธอคิดจะอธิบาย แต่ซูอินไม่ให้โอกาส “เมื่อวานตอนที่คุณบอกให้หนูไสหัวไป หนูก็เคยพูดแล้วว่าไม่ต้องตามหนูกลับไป ทำไม ผ่านไปแค่แป๊บเดียวก็จะกลืนน้ำลายตัวเองแล้วหรือคะ”
สีหน้าของอู๋อู๋เปลี่ยนไปเป็ไม่ค่อยพอใจ
หลิงจื้อเฉิงเข้ามาขวางหล่อนไว้เพื่อทำหน้าที่สร้างสันติ “อินอิน แม่ของหนูคนนี้อารมณ์เป็ยังไงไม่รู้หรือ หล่อนเป็คนปากร้ายใจดี หากบางครั้งพูดไม่ดีไปบ้าง หนูก็อย่าใส่ใจเลย”
“หยุด!”
ซูอินยกมือทำท่า “หยุด” สีหน้าเริ่มผ่อนคลาย “คำพูดประโยคนั้นหนูยอมรับมันแค่ครึ่งเดียว”
ขณะที่สองสามีภรรยาตระกูลหลิงคิดว่าทุกอย่างค่อยๆ คลี่คลาย เธอก็กลับคำพูดทันที “แน่นอนค่ะว่าหนูรู้จักเธอดี แต่เธอไม่ได้เป็คนปากร้ายใจดี แต่เป็คนปากหวานใจร้าย”
“ก่อนหน้านี้ที่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากหนู ก็พยายามแสดงว่าตนเองเป็แม่ที่แสนดี แต่พอที่โรงพยาบาลเกิดความเปลี่ยนแปลง และมั่นใจแล้วว่าหนูไร้ประโยชน์ ก็แทบรอไม่ไหวที่จะไล่หนูไปให้พ้นๆ”
เธอรู้หมดแล้วหรือนี่!
สีหน้าของอู๋อู๋เต็มไปด้วยความใ ต่อมาก็หันไปมองสวีเหวินเหวินที่อยู่ข้างกายซูอิน
“หยางอวี้หลานงั้นหรือ”
“คุณคิดว่ายังไงล่ะ”
“ต้องเป็เธอแน่ พวกประจบสอพลอนี่ปากมากจริงๆ!”
อู๋อู๋พูดโดยไม่ควบคุมระดับเสียง ทำให้สีหน้าของสวีเหวินเหวินเปลี่ยนไปทันที
ซูอินหันไปส่งสายตาให้เธอ “ควรเลิกเอาจิตใจคับแคบของตัวเองไปคิดไม่ดีกับคนที่ใจกว้างเสียที โรงเรียนขนาดใหญ่อย่างโรงเรียนมัธยมทดลอง คิดว่ามีคนที่ครอบครัวทำงานอยู่ในโรงพยาบาลน้อยหรือ เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกกำหนดให้ได้โควตาแล้วก็รำแพนอย่างกับนกยูง หางชี้ฟ้า ดีใจจนลืมตัว ผลที่ออกมาคงน่าใมากละสิ คนที่รอดูเื่สนุกแบบนี้คงมีไม่น้อย ใครๆ ก็รู้”
แน่นอนว่าซูอินกำลังปั้นเื่ ประการแรก เป็เพราะอู๋อู๋ต้องตามไปแก้แค้นแน่ เธอไม่้าให้ป้าหยางเดือดร้อน ประการที่สอง หากจะเล่นงานคนอย่างอู๋อู๋ ไม่จำเป็ต้องซื่อสัตย์จริงใจด้วย
อู๋อู๋เชื่อแล้ว
เธอไม่ได้เชื่อซูอิน แต่เชื่อว่าในโรงพยาบาลหยางอวี้หลานเป็คนดี
หากพูดถึงหลังจากเกิดเื่น่าขายหน้าเช่นนั้น มีหนึ่งคนที่ไม่มีทางเยาะเย้ยเธอลับหลัง แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหยางอวี้หลาน
แต่ในตอนนี้ เธอถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของซูอิน
“นี่คือคำพูดที่ใช้กับผู้ใหญ่งั้นหรือ”
“ก่อนอื่นเลยคุณนั่นแหละที่ควรวางตัวเป็ผู้ใหญ่! เมื่อไร้ประโยชน์ก็เตะให้พ้นทาง ตอนนี้กลับวิ่งมาร้องขอให้กลับไป หรือว่ายังใช้ประโยชน์จากหนูได้อีกคะ”
ซูอินหันไปมองหลิงจื้อเฉิง เธอยังไม่หยุดพูดถึงสิ่งที่คาดเดา “คงไม่ได้เกี่ยวกับคุณใช่ไหมคะ”
ดวงตากลมโตคู่นั้นมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง หลิงจื้อเฉิงมีสีหน้าใ
ท่าทีของเขาอธิบายทุกอย่างชัดเจน
ซูอินยกมือเช็ดหน้าที่เปียกฝนอีกครั้งก่อนจะเชิดหน้า “ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับหนู หนูจะไม่กลับไป อีกอย่างครั้งหน้าก่อนพวกคุณจะตีหน้าซื่อแบบนี้ก็ช่วยใช้ใจหน่อย”
เมื่อมองเธอ สองสามีภรรยาตระกูลหลิงเห็นเพียงขอบร่มสีดำคันใหญ่ สายฝนที่ขวางกั้นก่อตัวเป็กระแสน้ำเทลงมาเหมือนท่อน้ำที่ถูกเปิดรดลงบนศีรษะของซูอิน
แววตาของอู๋อู๋เป็ประกาย “อย่างน้อยก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย ไปกันเถอะ”
ซูอินอาศัยความลื่นของน้ำฝนดึงมือของอีกฝ่ายออก “หนูบอกแล้วว่าให้ใช้ใจหน่อย อีกเดี๋ยวจะต้องสอบ แต่ก็นั่นแหละ คุณไม่เคยรู้อยู่แล้วว่า่สองวันนี้หนูมีสอบ”
พูดจบเธอหมุนตัวกลับอย่างสง่างาม ผมหางม้าที่เปียกฝนสะบัดไปโดนหน้าอู๋อู๋
โชคดีที่ในห้วงมิติเธอเตรียมผ้าขนหนูและเสื้อผ้าไว้ เอาไปแอบเปลี่ยนในห้องน้ำก็ยังทัน
เมื่อคิดเช่นนั้นซูอินจึงยกร่มขึ้น และสาวเท้าอย่างรวดเร็ว