อย่างที่คิด ด้านหลังผ้าม่านเตียง จ้าวอิ้งเสวี่ยกัดฟันแน่น ใบหน้าซึ่งเดิมทีมีรอยแผลเป็พลันยิ่งดูดุร้ายน่าหวาดกลัว
บุรุษผู้นั้นเป็ผู้ใด...
เหนียนเฉิง!
เงาร่างของเหนียนเฉิงผุดเข้ามาในหัวของจ้าวอิ้งเสวี่ย คนฉลาดเฉลียวเยี่ยงนางย่อมเข้าใจดีว่า หนานกงเยวี่ยจงใจโรยเกลือลงบนาแนาง[1] และนางรับรู้ดีว่า ตนเองในยามนี้ถูกทำลายความบริสุทธิ์ไปอีกครั้ง ในสายตาของผู้คน หากบุรุษผู้นั้นเป็ชายอื่นนอกจากเหนียนเฉิง ชื่อเสียงของนางจะพังทลายอย่างสิ้นเชิง
เพียงแค่นางต้องบอกว่าบุรุษผู้นั้นคือเหนียนเฉิงก็จะรักษาชื่อเสียงนี้ไว้ได้
แต่...เหนียนเฉิง...
สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ นางเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ ถึงแม้นชื่อเสียงจะพังทลาย ทว่านางก็ไม่อยากยอมรับว่า หลายวันมานี้นางััใกล้ชิดกับเหนียนเฉิง!
มาตรแม้นแค่คิดเื่ััของเขา ทว่าในใจนางก็ยังอดคลื่นไส้อาเจียนไม่ได้
“ท่านหญิงอิ้งเสวี่ย ท่านหญิงบอกมาเถิดว่าบุรุษผู้นั้นเป็ผู้ใดกัน? ไม่ว่าเขาจะเป็ใคร ตระกูลเหนียนของข้าจะไม่มีทางปล่อยไป...”
ภายในห้อง หนานกงเยวี่ยเค้นถามจ้าวอิ้งเสวี่ยอีกครั้ง
ทุกคนในห้องล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขาต่างเฝ้ามองเงาร่างหลังม่านผืนนั้น เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับบุรุษที่ความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอิ้งเสวี่ยผู้นั้น
กระทั่งที่แม้แต่จิ้นหวังเฟยกับจิ้นอ๋อง ในชั่วขณะนั้นต่างก็หวังให้อิ้งเสวี่ยเอ่ยออกมา หากรู้ว่าใครทำร้ายอิ้งเสวี่ยเช่นนี้ ต่อให้พวกเขาต้องเสี่ยงชีวิตก็ต้องทำให้คนผู้นั้นชดใช้ให้ได้!
ทว่าเพียงพริบตา ดูเหมือนจิ้นหวังเฟยจะได้สติขึ้นทันใด หนานกงเยวี่ยผู้นี้...
เห็นได้ชัดว่า หนานกงเยวี่ยกำลังบีบคั้นแผลใจของอิ้งเสวี่ย!
อิ้งเสวี่ยที่แสนอาภัพของแม่...
ในใจของจิ้นหวังเฟยโกรธเกรี้ยว นางก้าวเท้ายาวพุ่งไปทางหนานกงเยวี่ยโดยที่แทบจะไม่ใคร่ครวญ ครั้นหนานกงเยวี่ยเห็นจิ้นหวังเฟยเดินเข้ามาด้วยใบหน้าดุร้ายพลันตระหนักทันทีว่าคงมาไม่ดีแน่ นาง้าจะทำอันใด?
หนานกงเยวี่ยยังไม่ทันรับมือ เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้น จิ้นหวังเฟยเข้าตบใบหน้านาง เสียงนั้นดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง และทำให้ผู้คนใตื่น ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนล้วนหันไปมองหนานกงเยวี่ยพร้อมกัน
การตบครานี้ หนานกงเยวี่ยเองก็ตกตะลึงเช่นกัน หลังจากได้สติกลับมา นางจึงถลึงมองจิ้นหวังเฟย ดวงตาเต็มไปด้วยความดุดัน “นี่ท่านทำอันใด?”
“อันใดน่ะหรือ? ก็อยากจะตบเ้า ตบให้เ้าหุบปากเสียที ตบให้เ้าหยุด!” จิ้นหวังเฟยไม่แม้แต่ให้เกียรติ ครั้นเอ่ยจบ จึงขยิบตาส่งสัญญาณให้ผิงเอ๋อร์ “เด็กๆ ในเมื่อจะต้องไป ก็ให้นางไป ไม่ต้องสุภาพ!”
ผิงเอ๋อร์ได้สติกลับมาทันใด จึงพุ่งไปข้างหน้าทันที ไม่เพียงแต่ผิงเอ๋อร์เท่านั้น ฉวี่ชางผู้ซึ่งนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดยังก้าวไปข้างหน้า ความอันดุดันใกล้เข้าไป หนานกงเยวี่ยพลันขลาดกลัวขึ้นทันใด
ทว่านางกลับไม่พอใจ ถูกไล่จนก้าวร่นถอย พลางกล่าวประณามอย่าง ‘กล้ำกลืนน้อยใจ’ ที่ฝ่ายตรงข้ามไม่รับน้ำใจ “จิ้นหวังเฟย ท่านจะไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเยี่ยงนี้ไม่ได้ ข้านั้นหวังดี อิ้งเสวี่ยเองก็เป็ลูกสะใภ้ของจวนตระกูลเหนียนของข้า เื่นี้จะปล่อยไปไม่ได้ ในเมื่อพวกท่านไม่รับน้ำใจ ข้าก็จะตรวจสอบเื่นี้ ร่างกายของท่านหญิงอิ้งเสวี่ยถูกชายอื่น และยังเป็การทำลายหน้าตาเฉิงเอ๋อร์และจวนของข้า จวนตระกูลเหนียนของข้าจะเสียหน้าไม่ได้! หรือที่นางปกป้องชายเดรัจฉานนั่น คงมิใช่ว่านางใจง่าย และยินยอมพร้อมใจ...”
ความอัปยศที่หนานกงเยวี่ยเอ่ยขึ้นมายิ่งทำให้จิ้นหวังเฟยโกรธจัด นางหยิบแก้วขึ้นมาและขว้างใส่หนานกงเยวี่ย
“โอ๊ย...”
แก้วใบนั้นขว้างโดนตัวของหนานกงเยวี่ยเข้าอย่างจัง หนานกงเยวี่ยร้องออกมาอย่างเ็ป จึงหุบปากลงทันใด
“ออกไป หากเ้าเอ่ยเื่นี้ออกมาและพูดพล่ามอีก เปิ่นหวางเฟยจะฉีกปากเ้าด้วยตัวเอง” จิ้นหวังเฟยตวาดเสียงดังลั่น ในเมื่ออิ้งเสวี่ยถูกพรากความบริสุทธิ์ หนานกงเยวี่ยประโคมข่าวใหญ่โตเยี่ยงนี้ ก็ยิ่งทำให้อิ้งเสวี่ยอับอายขายหน้า จะมีใจเช่นไรได้อีก?
หนานกงเยวี่ยถูกผลักออกจากห้อง ยามที่ออกมานอกห้อง ร่างกายซวนเซจึงถูกจิ้นหวังเฟยผลักจนล้มลงกับพื้น
“โอ๊ย...”
หนานกงเยวี่ยรู้สึกเจ็บ การหกล้มนี้ประกอบกับถูกแก้วกระแทกใส่เมื่อครู่นี้ ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกหายใจไม่ลง กำลังจะก่อกวนอย่างโจ่งแจ้ง เหนียนอีหลานก็เร่งเดินมาประคองหนานกงเยวี่ยให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่...”
คำว่า ‘ท่านแม่’ ดูเหมือนจะเตือนให้หนานกงเยวี่ยได้สติขึ้นมา
ครั้นครุ่นคิดถึงคำมอบหมายเมื่อครู่นี้ของเหนียนอีหลาน นางมาเยือนเรือนหรูอี้มิใช่แค่เพื่อเผยรอยแผลของจ้าวอิ้งเสวี่ย ทว่าเป้าหมายของนาง...
หนานกงเยวี่ยไม่มีเวลาสนใจความเ็ปที่หกล้ม นางยืนขึ้นภายใต้การประคองของเหนียนอีหลาน จากนั้นหันไปร้องไห้กับเหนียนเย่าและฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง "นายท่าน ท่านแม่ เฉิงเอ๋อร์ถูกทรมาน ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยเองก็ถูก... ไอหยา นี่เป็เื่น่าขายหน้านัก... อย่างไรเสีย ไม่ว่าเื่นี้จะเป็อย่างไรก็มิอาจปล่อยผ่านไปได้ ใช่ เหนียนยวี่...เป็เหนียนยวี่ที่ลักพาตัวพวกเขาสองคน นายท่าน ท่านแม่ พวกท่านจะต้องตัดสินให้เฉิงเอ๋อร์กับท่านหญิงอิ้งเสวี่ย!"
หนานกงเยวี่ยร้องไห้ออกมาทันใด สะท้านฟ้าะเืดินเลือนลั่นอย่างยิ่ง
เหนียนเย่าขมวดคิ้ว เหนียนยวี่...
ั้แ่วันนั้น ทุกคนในตระกูลจึงไปเยือนหอชิงยวี่เพื่อบีบคั้นให้เหนียนยวี่ส่งตัวคนออกมา หลังจากถูกแม่ทัพหลวงฉู่ชิงขัดขวาง ต่อมาฉู่ชิงอยู่ในหอชิงยวี่แทบทุกวัน!
เื้ัยวี่เอ๋อร์ในยามนี้ ไม่เพียงมีแต่องค์หญิงใหญ่ชิงเหอ ยังมีท่านอ๋องมู่ และยามนี้ยังมีฉู่ชิงเพิ่มมาอีกคน หากเื่นี้เป็เหนียนยวี่ทำจริง เขาจะช่วยตัดสินได้อย่างไร?
ทั้งสถานการณ์ในยามนี้ของจ้าวอิ้งเสวี่ย แม้จิ้นอ๋องกับจิ้นหวังเฟยจะไม่ยอมให้ขยายเื่นี้ ทว่าการไต่สวน เกรงว่าก็ย่อมต้องทำให้กระจ่าง!
เหนียนเย่ามีสีหน้าลำบากใจ เหลือบมองจิ้นอ๋องกับจิ้นหวังเฟยซึ่งมีใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความดุร้าย เขาเกิดกลัวขึ้นมาว่าหนานกงเยวี่ยจะก่อปัญหาอันใดขึ้นในเรือนหรูอี้อีก จึงเข้าไปดึงตัวหนานกงเยวี่ยไว้ทันที และกล่าวลาจิ้นอ๋องกับจิ้นหวังเฟย จากนั้นเร่งเดินออกจากเรือนหรูอี้ทันที
พวกเขาออกไปกันแล้ว เหล่าอนุภรรยาในจวนย่อมไม่กล้ารั้งอยู่นาน
แม้สวีหว่านเอ๋อร์กับเซวียอวี่โหรวจะอยากรู้อยากเห็นว่าบุรุษคนใดที่ทำให้จ้าวอิ้งเสวี่ยต้องอับอาย ทว่าก็ไม่รู้ว่าต้องค้นหาอย่างไร ทว่าพวกนางต่างรู้ว่า เหตุการณ์นี้เกรงว่าจะทำให้จวนเหนียนซึ่งเพิ่งจะสงบมาได้หลายวันกลับมามีคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง และเื่นี้จะเกี่ยวข้องกับคุณหนูรองจริงหรือไม่?
พวกนางสองคนต่างไม่มีผู้ใดคาดเดาเหนียนยวี่ออก
เหล่าผู้คนซึ่งไร้ความเกี่ยวข้องกับเื่ราวล้วนออกไปหมดแล้ว ในที่สุดเรือนหรูอี้จึงสงบเงียบลง ทว่าจิตใจของทุกคนในห้องกลับมิอาจสงบนิ่งเป็เวลานาน
ทุกคนล้วนเฝ้ามองการกระทำของจ้าวอิ้งเสวี่ยอย่างระมัดระวังด้วยจิตใจซึ่งเปี่ยมไปด้วยความกังวล
เมื่อครู่นี้การพยายามก่อเื่วุ่นวายของหนานกงเยวี่ย เกรงว่าในใจของอิ้งเสวี่ย ยามนี้คงจะยิ่งเ็ปจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
"อิ้งเสวี่ย..."
จิ้นหวังเฟยกับจิ้นอ๋อง ทั้งสองสบสายตากันชั่วครู่หนึ่ง ต่างยากจะปกปิดความกังวลใจ ทั้งยังทำอันใดไม่ถูก ในที่สุดจิ้นหวังเฟยจึงเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง ในใจครุ่นคิดแล้วว่าจะปลอบประโลมบุตรีที่น่าสงสารผู้นี้อย่างไร ทว่านางเพียงเอ่ยเรียกได้สองคำ ในห้องพลันมีเสียงแหบแห้งดังขึ้นมา
"เมื่อครู่นี้...หนานกงเยวี่ยนั่นเอ่ยถึงเหนียนยวี่ มันหมายความว่าอย่างไร?"
เสียงแหบแห้งราวกับถูกบดขยี้ดูแฝงไปด้วยความสั่นเทา ครั้นผู้คนได้ยินก็ทำให้จิตใจสั่นระริกเล็กน้อย และรู้สึกสงสารขึ้นมา
จิ้นหวังเฟยชะงักเล็กน้อย นางครุ่นคิดถึงเหนียนยวี่ ในใจของนางเองก็มีก้อนหินกั้นขวาง ถึงแม้หนานกงเยวี่ยจะไม่ก่อปัญหาวันนี้ นางก็ยังคง้าตรวจสอบว่าเหนียนยวี่ผู้นั้นเกี่ยวข้องกับเื่นี้หรือไม่ ทว่าครั้นอิ้งเสวี่ยเอ่ยถามขึ้นมาเช่นนี้...
จิ้นหวังเฟยไตร่ตรองไปครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดจึงไม่คิดจะปิดบัง “คืนนั้นที่ลูกหายตัวไป อนุสองลู่ซิวหรงจวนเหนียนคนนั้นเห็นสาวใช้ของเหนียนยวี่ทำตัวผิดปกติในคืนนั้นเข้าพอดี แล้วอีกอย่าง...พอเช้าวันต่อมาก็เจอผ้าเช็ดหน้าของสาวใช้ประจำกายของเหนียนยวี่ผู้นั้น”
[1] โรยเกลือลงบนาแ หมายถึง การซ้ำเติม