จิ่งจื่อ “คัมภีร์ ‘ตำรายา’ นั้นข้าสามารถท่องจำได้ราวกับสายน้ำไหล ดังนั้นด้านในบันทึกข้อมูลอันใดเอาไว้ หรืออะไรที่ไม่ได้บันทึกไว้ ข้าย่อมรู้ดีที่สุด”
อ๋าวหรานพยักหน้า “แล้วอย่างไร?”
จิ่งจื่อ “เ้าอ่านคัมภีร์สมุนไพรอื่นด้วยหรือไม่?”
อ๋าวหรานพยักหน้า “จิ่งฝานให้ตำรับยาขั้นต้นกับข้ามาเล่มหนึ่ง”
จิ่งจื่อ “ขอข้าดูหน่อย”
อ๋าวหรานจึงส่งตำรับยาที่อยู่ข้างมือไปให้
ตำรับยาเล่มนี้มีเพียงแค่ตำรับยาอย่างเดียว ทว่าเื่เกี่ยวกับลักษณะเด่นของสมุนไพรนั้นไม่มีอยู่เลย
จิ่งจื่อชี้ที่เนื้อหาตอนหนึ่งในสมุดบันทึกของอ๋าวหราน ก่อนจะถามว่า “เื่นี้เ้ารู้ได้อย่างไร ใน ‘ตำรายา’ ไม่มีเขียนไว้นี่”
อ๋าวหรานยิ้มแล้วตอบ “เดาเอา”
จิ่งจื่อใ “เดาเอา? เ้าเดาอย่างไร?”
อ๋าวหราน “ตามที่ตำรับยาได้อธิบายเกี่ยวกับอาการของโรคเอาไว้”
จิ่งจื่อ “แค่นี้หรือ?”
อ๋าวหรานพยักหน้าตอบ “เพราะเป็การคาดเดา ดังนั้นจึงยังขัดแย้งกันอยู่ อีกทั้งบางอย่างก็ไม่รู้ว่าถูกหรือไม่ จึงอยากลองถามเ้าดู”
จิ่งจื่อเริ่มอวดดีแล้ว ส่งเสียงฮึ สีหน้าโอ้อวด “เ้าอยากจะถามก็ถามหรือ? ข้าไม่มีหน้าที่สอนให้เ้าเปล่าๆ โดยไม่คิดค่าเรียน”
อ๋าวหรานถอนหายใจ “ก็ได้”
จิ่งจื่อ “……” แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้ว ไม่โต้แย้งหน่อยหรือ?
อ๋าวหราน “เ้าว่าข้าจดบันทึกเป็อย่างไรบ้าง?”
เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วจนจิ่งจื่อเหมือนจะรับไม่ทันอยู่นิดหน่อย ใบหน้าอึ้งค้าง “ก็…ก็ไม่เลว”
อ๋าวหรานส่งเสียงอ่อออกมาหนึ่งเสียง ถามว่า “มีความผิดพลาดอันใดที่เห็นได้ชัดเจนบ้างหรือไม่?”
จิ่งจื่อก้มหน้าพลิกดูอีกรอบ อ๋าวหรานบันทึกไว้อย่างชัดเจนแล้ว สมุดบันทึกถูกเขาขีดเส้นตั้งตรงกลางหน้ากระดาษแบ่งเป็สองส่วน ฝั่งหนึ่งเป็สมุนไพรและสรรพคุณของมัน เขียนออกมาเป็ข้อๆ เข้าใจง่ายเป็อย่างมาก มีสัญลักษณ์เขียนเอาไว้ด้านหน้าทุกข้อ จิ่งจื่อไม่รู้จัก แต่คาดว่าคงเป็ลำดับ ส่วนอีกด้านนั้นเป็พวกปัญหาและแิต่างๆ และเช่นกันเป็ประโยคที่เรียบง่าย เข้าใจได้อย่างชัดเจน
จิ่งจื่อดูอย่างตั้งใจ พลิกหน้ากระดาษช้าๆ ไปทีละหน้า ไม่มีปัญหาอะไรมากมาย มีบางจุดที่ยังขัดแย้งกันอยู่ อ๋าวหรานเองก็เขียนออกมาแล้ว
จิ่งจื่อชี้ตรงปัญหาที่เขาเขียนออกมา “หญ้าจื่อรุ่ยกับหญ้าซูกุยล้วนมีฤทธิ์เย็น และมีสรรพคุณดับร้อนได้เหมือนกัน แต่เมื่อสองอย่างนี้มารวมกันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงคือกลายเป็มีฤทธิ์ร้อน ยากจะอธิบายว่าเป็เพราะเหตุใด แต่มันก็เป็เช่นนี้ อีกทั้งสรรพคุณก็จะกลับกันด้วย”
อ๋าวหรานตั้งใจฟัง สักพักก็พยักหน้า มิน่าล่ะเขาถึงรู้สึกว่ามันขัดแย้งกัน สมุนไพรนี่มหัศจรรย์เสียจริง ไม่รู้ว่าในโลกจริงเองก็เป็เช่นนี้ หรือมีแต่ในโลกนิยายที่ขัดแย้งมากมายขนาดนี้
ฟังที่จิ่งจื่ออธิบาย อ๋าวหรานรีบตีเหล็กตอนร้อน ถามคำถามที่สงสัยทั้งหมดไปรอบหนึ่ง อารมณ์ปลอดโปร่งขึ้นในทันใด
จิ่งจื่อ “ยังมีอะไรอยากถามอีกหรือไม่?”
อ๋าวหรานส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว ขอบใจเ้ามาก”
จิ่งจื่อยิ้มเย็น “จ่ายค่าเรียนมา”
อ๋าวหรานแกล้งทำสีหน้ามึนงง “เ้าอยากอธิบายเองนี่นา”
จิ่งจื่อ “เฮอะ! เ้าวางกับดักข้า”
อ๋าวหราน “ใช่หรือ? ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง เ้าก็แค่ฟังไปอย่างนั้น ไม่จำเป็ต้องสนข้า”
จิ่งจื่อหางตากระตุก ตัวเองได้ประโยชน์แล้วยังมาทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้
อ๋าวหรานได้ไขปัญหาที่สงสัยแล้ว แกล้งทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้ เขาจิตใจปลอดโปร่ง พูดยิ้มแย้มสดใสว่า “อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย ข้าเห็นเ้าสอนอย่างมีความสุขทีเดียว”
จิ่งจื่อยิ้มเย็น
อ๋าวหรานไม่สนใจ ยิ้มแล้วถามว่า “ทำไมเ้าไม่ไปสอนบรรดาลูกหลานตระกูลจิ่ง?”
จิ่งจื่อ “ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก ข้าคิดมาตลอดว่าจิ่งผู่กล่าวมีเหตุผล คนโง่นั้นสอนไปก็ไม่มีอันใดเกิดขึ้น จะเสียเวลาไปเพื่ออันใด”
พูดจบยังหรี่ตามองมาทางอ๋าวหรานทีหนึ่ง
อ๋าวหรานแค่ทำเป็ไม่เห็น พยักหน้าเล็กน้อย พูดแบบเห็นด้วยอยู่นิดหน่อยว่า “อาจารย์ทำได้เพียงชี้แนะแนวทาง ส่วนการเรียนรู้นั้นต้องพึ่งพาตนเอง”
พูดจบ จิ่งจื่อไม่ต่อคำ ระหว่างทั้งสองคนจู่ๆ เสียงก็เงียบไป พวกเขานั่งอยู่บนพื้นโดยไม่รังเกียจดินที่อยู่บนพื้น
ผ่านไปสักพัก จิ่งจื่อก็พูดขึ้น “อ๋าวหราน ข้าดูถูกเ้าเกินไปแล้ว คิดมาตลอดว่าเ้าละทิ้งคนในตระกูล หนีมาเพียงผู้เดียว การกระทำนั้นขี้ขลาดมาก ไร้น้ำใจเป็อย่างยิ่ง ดังนั้นจึงมีอคติกับเ้ามาโดยตลอด ตอนนี้กลับพบว่าเ้าฉลาดมากจริงๆ ”
อ๋าวหรานในใจกลับรู้สึกอับอายเป็อย่างมาก เขาเรียนหนังสือมาสิบกว่าปี บางทีสิบกว่าปีนี้อาจไม่ทำให้เขาจดจำสิ่งที่ได้เรียนไป ทว่าสิ่งที่เขาจดจำได้แน่นอนคือวิธีการเรียน อีกทั้งเทียบกับเด็กน้อยกลุ่มนี้ เขาเกือบจะสามสิบแล้ว ประสบการณ์ ความอดทน ความมีเหตุผลนั้น ถูกสั่งสมมามากกว่า เขาเพียงแค่ใช้ชีวิตมามากกว่าจิ่งจื่อสิบปี นอกนั้นเขาไม่มีอะไรเทียบจิ่งจื่อได้เลย