เช้านี้เหมือนว่าจะยังไม่มีลูกหลานตระกูลจิ่งคนอื่นเข้ามา อ๋าวหรานไม่รู้ว่าพวกเขาจัดคาบเรียนกันอย่างไร เมื่อวานตอนบ่ายก็เป็เช่นนี้ เงียบสงบ ตลอดเกือบทั้งวันนี้เขาเจอแค่จิ่งจื่อคนเดียว
เป็เช่นนี้ก็ดี สวนสมุนไพรที่กว้างใหญ่นี้ถูกเขายึดครองแต่เพียงผู้เดียว ให้เขาวิ่งไปทั่วสวนได้อย่างสบายใจยิ่ง
อ๋าวหรานเป็คนแบบที่เมื่อทำอะไรขึ้นมาแล้ว ก็จะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นถึงขีดสุด
เขาหอบพวกกระดาษและปากกาของเขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นนั้นโดยไม่ได้สนใจว่าบนพื้นจะสกปรกหรือไม่ สักพักอ่านตำรับยา หรือไม่ก็จ้องมองสมุนไพร มือจดอะไรไม่รู้อย่างรวดเร็ว บางครั้งปากก็ขยับท่องอะไรขมุบขมิบ
จิ่งจื่อเพิ่งออกมาเห็นท่าทางเช่นนี้ ส่งเสียงหึขึ้นมาอีกเสียง ว่าเขาว่าเ้าบื้อ เดิมทีอยากจะหมุนตัวจากไปทันที กลับเห็นว่าวิธีจับพู่กันของอ๋าวหรานนั้นแปลกประหลาด หลังจากมองอย่างละเอียด ก็พบว่าพู่กันในมือเขาเองก็เหมือนจะประหลาดด้วย
จิ่งจื่ออดสงสัยไม่ได้ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ประหลาดเสียจริง ปลายพู่กันไม่ใช่ขนสัตว์อ่อนนุ่มแต่เป็กิ่งไผ่ที่ถูกเหลาออกมา อีกทั้งตัวอักษรที่พู่กันนี้เขียนออกมายังเล็กละเอียดอีกด้วย
สิ่งที่ทำให้จิ่งจื่อยิ่งประหลาดใจก็คือ อักษรที่อ๋าวหรานเขียนนั้นสวยงามมาก เส้นเล็กบางและตรง พลิ้วไหวงดงาม ดูสง่างามน่ามองเป็อย่างยิ่ง
จิ่งจื่อ “พู่กันนี่เ้าคิดออกมาได้อย่างไร? ทำอย่างไรถึงได้เช่นนี้?”
อ๋าวหรานหันศีรษะไป จิ่งจื่อยืนอยู่ด้านหลังเขา
อ๋าวหรานโค้งริมฝีปาก ยิ้มอย่างสดใส “อยากรู้หรือ?”
จิ่งจื่อรู้สึกในทันใดว่าคนคนนี้จะต้องไม่มีเจตนาดีแน่ ถึงแม้ใบหน้าขาวนวลนั่นจะยิ้มอย่างสว่างไสวก็ตาม
มองเห็นจิ่งจื่อสีหน้าเหมือนเตรียมตัวรับมือเขา อ๋าวหรานก็ยิ้มอย่างสดใสยิ่งกว่าเดิม
“ดูเ้าใเข้าสิ ข้าตั้งใจจะบอกเ้าดีๆ อยู่แล้ว”
จิ่งจื่อไม่มีทางเชื่อ จะบอกข้าดีๆ จำเป็ต้องยิ้มแบบนี้ด้วยหรือ?
อ๋าวหรานยิ้มอย่างมีความสุข “เอาล่ะ ล้อเ้าเล่นเท่านั้น หากเ้าไม่รังเกียจว่าพื้นสกปรกก็นั่งลงเถิด พอดีเลยมีปัญหาอยากจะขอคำชี้แนะจากเ้า”
ทันใดนั้นจิ่งจื่อก็รู้สึกว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งเข้าแล้ว ร้อยยิ้มแฝงความชั่วร้ายเมื่อสักครู่ของอ๋าวหรานนั้นชัดเจนว่าเขาแกล้งทำ ที่น่าโมโหกว่าก็คือตัวเองกลับติดกับโดนหลอกเสียได้
จิ่งจื่อกลอกตา “เ้าเป็เด็กหรืออย่างไร?”
อ๋าวหราน “ข้าปฏิบัติต่างออกไปตามแต่ละบุคคล”
จิ่งจื่อ “……”
หลังจากจิ่งจื่อนั่งลงแล้วก็ไม่เกรงใจ รับเอาพู่กันปากกาในมือของอ๋าวหรานไป อ๋าวหรานพลิกสมุดบันทึกของตัวเองไปที่หน้าสุดท้ายส่งให้จิ่งจื่อ
อ๋าวหรานยื่นศีรษะออกไปพูดว่า “ลองเขียนดูก็ได้”
จิ่งจื่อถือพู่กันปากกาไม่ค่อยถนัด พู่กันปากกานี้ด้านหนึ่งแบน ทั้งสองด้านไม่เท่ากัน อีกทั้งส่วนปลายแข็ง ไม่สามารถเขียนตัวอักษรให้งดงามได้
อ๋าวหราน “ท่าถือไม่ถูกต้อง เมื่อครู่เ้าเห็นหรือยังว่าข้าถืออย่างไร?” อ๋าวหรานด้านหนึ่งพูดด้านหนึ่งเริ่มลงมือ กุมมือของจิ่งจื่อไว้ ปรับแก้ท่าจับของเขา
เมื่อจัดมือจิ่งจื่อเรียบร้อยแล้ว จิ่งจื่อก็เขียนได้ลื่นไหลมากขึ้น เดิมทีเขาเขียนอักษรได้ไม่เลวอยู่แล้ว และเพราะเขียนด้วยปากกาหัวแข็งที่ไม่ชินตัวอักษรจึงออกมาไม่ค่อยตรง แต่ตัวรูปแบบตัวอักษรที่สง่างาม จึงดูจริงจังและทรงพลัง
อ๋าวหรานชมอย่างไม่ตระหนี่เลยแม้แต่น้อย “เยี่ยมมาก เขียนด้วยปากกาแข็งครั้งแรก ยังเขียนได้สวยขนาดนี้ มีความสามารถจริงๆ”
จิ่งจื่อทำเสียงเฮอะอย่างไม่ยี่หระ
อ๋าวหรานไม่สนท่าทางอวดดีของเขา
ถึงแม้ภายนอกจิ่งจื่อจะแสดงสีหน้าดูถูก แต่ในใจกลับตกตะลึงเป็อย่างมาก เขาคิดมาตลอดว่านายน้อยแห่งหมู่บ้านสกุลอ๋าวผู้นี้เป็กระเป๋าหญ้า แน่นอนว่าหลังจากประมือกันไปครั้งที่แล้ว เขาก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อคนๆ นี้ไปนิดหน่อย แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนมุมมองแค่ไหนอคติก็ยังคงมีอยู่
แต่ทว่าตอนนี้ความอคติก็เริ่มเกิดรอยร้าวที่เหมือนจะแตกออกได้ทุกเมื่อแล้ว
จิ่งจื่อคิดเื่มากมายในหัว แต่มือกลับไม่หยุดนิ่ง กระดาษด้านหลังหลายใบบนสมุดของอ๋าวหรานถูกเขาเขียนจนเต็มภายในเวลาไม่นาน ยิ่งเขียนยิ่งเหมาะมือรู้สึกแปลกใหม่อย่างยิ่ง
อ๋าวหรานเห็นเขาเขียนลื่นอย่างถึงอกถึงใจ ก็อดค่อนแคะไม่ได้ว่า “หึ ปากบอกไม่เอา แต่ร่างกายกลับซื่อสัตย์เสียจริง สมุดบันทึกของข้าจะถูกเ้าทำลายจนหมดเลยหรือเปล่านะ”
จิ่งจื่ออึ้งไปเล็กน้อย
หันศีรษะมองอ๋าวหราพูดด้วยความสงสัย “สมุดบันทึก?”
อ๋าวหรานกุมขมับ “ก็ที่อยู่ในมือเ้านี่ไง ข้าใช้จดบันทึก”
จิ่งจื่อยกสมุดในมือขึ้นมา พลิกไปมา เมื่อครู่เขาเอาแต่ตะลึงอยู่กับปากกาด้ามนี้ ไม่ทันได้สนใจกระดาษที่ใช้เขียนอักษร เมื่อลองดูอย่างละเอียดก็พบว่าสมุดเล่มนี้พิเศษเป็อย่างมาก กระดาษที่ใช้ทำนั้นพบเห็นได้ทั่วไป แต่ลักษณะดูพิเศษกว่าแบบทั่วไป
จิ่งจื่อเริ่มเปิดจากหน้าแรก สิ่งที่มองเห็นคือตัวอักษรที่เป็ระเบียบสวยงาม ดวงตาถูกอักษรเหล่านี้ดึงดูดในทันทีไม่ใช่แค่เพราะตัวอักษรน่ามอง แต่เป็เพราะมีอักษรหลายตัวที่เขาไม่รู้จัก [1] ในหนึ่งหน้านั้นล้วนแต่อาศัยความรู้เื่สมุนไพรที่มีอยู่ก่อน ร่วมกับการเดา โดยรวมแล้วอ่านรู้เื่อยู่เจ็ดแปดส่วน
จิ่งจื่อยิ่งอ่านยิ่งตะลึง
ตัดเื่ลายมือ ตัดเื่ตัวอักษรที่เขาไม่รู้จักออกไป เนื้อหาที่อ๋าวหรานบันทึกไว้ทำให้เข้าใอย่างแท้จริงแล้ว
จิ่งจื่ออดมองอ๋าวหรานอย่างตระหนกไม่ได้ “เ้าเพิ่งจะเริ่มเรียนวิชาแพทย์จริงๆ หรือ?”
อ๋าวหรานงุนงง “อืม นี่น่าจะเป็วันที่สามกระมัง?”
จิ่งจื่อถามอย่างประหลาดใจ “เช่นนั้นทั้งหมดนี่เป็เ้าเขียนหรือ?”
อ๋าวหรานพยักหน้า “เพิ่งจะเขียนวันนี้นี่แหละ มีปัญหาหรือ?”
จิ่งจื่อพึมพำตอบ “ไม่…ไม่มี”
ไม่เพียงแต่ไม่มีปัญหา แต่ยังดีมากอีกด้วย ไม่เหมือนคนที่เพิ่งเริ่มเรียนเลยแม้แต่น้อย
อ๋าวหรานจดบันทึกลักษณะและวิธีการใช้ของสมุนไพรไว้อย่างละเอียด ถึงแม้พวกนี้จะเป็เพียงแค่สมุนไพรขั้นต้น สำหรับจิ่งจื่อแล้วไม่ต้องดูแม้เพียงนิดก็รู้ได้ และยังรู้มากกว่านี้อีกด้วย แต่อ๋าวหรานแค่แบกคัมภีร์ “ตำรายา” มาเปรียบเทียบกับสมุนไพรพวกนี้ก็สามารถรู้ได้มากถึงเพียงนี้ ถือว่าเก่งกาจเป็อย่างยิ่ง อีกทั้ง ด้านล่างอ๋าวหรานยังจดบันทึกตำรับยาเอาไว้นิดหน่อยด้วย จิ่งจื่อเรียนวิชาแพทย์มานานปี ตำรับยาที่จำได้ขึ้นใจแน่นอนว่ามีเป็พันเป็หมื่น แต่ที่อ๋าวหรานบันทึกไว้ข้างล่างนี้มีตั้งหลายบทที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
จิ่งจื่อมีเื่อยากถามเขามากมาย จัดความคิดในสมอง แล้วตัดสินใจเริ่มถามั้แ่ต้น
เชิงอรรถ
[1] คนจีนในปัจจุบันใช้ภาษาจีนตัวย่อ (简体字)ในขณะที่คนจีนในอดีตใช้ตัวอักษรจีนตัวเต็ม (繁体字)ซึ่งตัวอักษรทั้งสองแบบจะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย