บนหอคอยมีหลิ่วชั่งหลันและผู้บัญชาการ 4 คน รวมไปถึงหลินเฟิงและหลิ่วเฟย
หลิ่วชั่งหลันไม่ขยับไปไหนมาสองสามชั่วโมงแล้ว ทุกคนล้วนนิ่งเงียบ พวกเขาต่างเข้าใจหลิ่วชั่งหลันดีว่าตอนนี้ภายในใจเขาเ็ปมากแค่ไหน
ทหารนับแสนนาย ชีวิตนับแสนคน ครอบครัวนับแสน เพียงชั่วพริบตาก็ได้มลายหายไป นี่แหละคือา
มันเป็ความจริงที่น่าเศร้า ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากนี้หลิ่วชั่งหลันยังไม่เคยพ่ายแพ้การต่อสู้ใดๆ ในอดีต แต่ตอนนี้เขากลับพ่ายแพ้ลง
“เฮ้อ…”
หลิ่วชั่งหลันถอนหายใจจากนั้นหันหน้าช้าๆ เมืองต้วนเริ่นในตอนนี้ ทุกคนต่างขนย้ายข้าวของเตรียมย้ายออกจากเมืองต้วนเริ่น
เพราะองค์ชายโม่เจี๋ยใช้ชีวิตขององค์หญิงมาข่มขู่ พวกเขาจึงจำเป็ต้องสละชายแดนต้วนเริ่นไป
การสูญเสียชายแดนต้วนเริ่นทำให้เมืองต้วนเริ่นเป็อันตราย กองทัพที่มีทหารกว่าห้าแสนนายจะสามารถโจมตีเมืองต้วนเริ่นได้อย่างง่ายดาย
ผู้ฝึกยุทธ์มิใช่คนธรรมดา ผู้ที่อยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาสามารถทะยานขึ้นไปบนกำแพงได้อย่างง่ายดาย จากนั้นพวกมันก็สามารถยิงลูกศรและทำลายทุกสิ่งภายในเมืองได้
“แม้เมืองต้วนเริ่นจะไม่กว้างใหญ่นัก เป็เพียงเมืองเล็กๆ แต่ก็มีประชากรกว่าห้าแสนคน ทว่าวันนี้กลับต้องถูกเนรเทศจากบ้านเกิดไป ข้าเป็ถึงแม่ทัพแต่ไร้ความสามารถ ทำให้ประชาชนต้องรับผลกระทบไปด้วย”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวขณะถอนหายใจ
“การทำา มีเพียงชัยชนะกับพ่ายแพ้ มันไม่ใช่ความผิดของท่านแม่ทัพเลย” หลินเฟิงกล่าวพลางส่ายหัว
“หลินเฟิง เ้าหวังให้ข้าทำสิ่งใด? ข้าไม่เข้าใจ”
หลิ่วชั่งหลันถามอย่างสงสัย
หลินเฟิงหันไปมองหลิ่วชั่งหลันด้วยแววตาเคร่งขรึม แล้วกล่าวอย่างสุขุมว่า “ข้า้าเปลวไฟ”
“เปลวไฟ!”
หลิ่วชั่งหลันจ้องมองหลินเฟิงด้วยแววตาประหลาดใจ แต่กลับได้ยินหลินเฟิงกล่าวขึ้นอีกว่า “ลุงหลิ่ว คราวนี้ข้าหวังว่าท่านจะเห็นด้วยกับข้า”
หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นหลิ่วชั่งหลันก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าวว่า “ตกลง”
“ท่านผู้บังคับบัญชา ข้าหวังว่าพวกท่านจะเห็นด้วยกับข้าเช่นกัน”
หลินเฟิงกล่าวขณะมองจิวชื่อเซวี่ยและคนอื่นๆ พวกเขาต่างพยักหน้าเล็กน้อย โดยไม่รู้ว่าหลินเฟิง้าทำอะไรกันแน่
ในขณะนั้นภายในเมือง ผู้คนจำนวนมากพร้อมอพยพออกจากเมือง
ฝูงชนเหล่านี้ส่วนมากเป็ผู้คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่และสำนักเทียนอี้ สีหน้าทุกคนดูซีดขาวราวกับคนตาย พวกเขาหวังสร้างผลงานในาครั้งนี้ แต่มันกลับเป็ไปไม่ได้ สถานที่แห่งนั้นมันอันตรายเกินไป พวกเขาต้องกลับเมืองหลวง ซึ่งเื่ของทางนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา
แม้แต่คนรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่ติดตามต้วนเทียนหลางมาก็ได้ออกจากเมืองต้วนเริ่นเช่นกัน
“หลิ่วชั่งหลัน”
ต้วนเทียนหลางะโเรียกเสียงดัง
“หลิ่วชั่งหลัน เ้าเป็สาเหตุที่ทำให้เกิดาภายในและทำให้องค์หญิงต้องถูกลักพาตัวไป ทหารนับแสนนายต้องตายไป กลับไปเมืองหลวงคราวนี้ข้าจะต้องรายงานให้ฝ่าาทรงทราบถึงเื่นี้และตัดสินโทษของเ้า”
ต้วนเทียนหลางะโขณะเคลื่อนตัวออกจากเมืองต้วนเริ่น ราวกับว่าเื่ทั้งหมดเป็ความผิดของหลิ่วชั่งหลัน แต่ต้วนเทียนหลางกลับไม่มีความผิดใดๆ
ภายในใจของหลินเฟิงตอนนี้เย็นะเือย่างมาก องค์หญิงถูกลักพาตัวไปภายในค่ายทหารของเขาแท้ แต่ตอนนี้เขาทำเหมือนกับว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเขา และเขายังมีหน้ากลับไปที่เมืองหลวง ชีวิตขององค์หญิงจะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับหลิ่วชั่งหลันแล้ว
หลินเฟิงรู้ว่าต้วนเทียนหลางได้กลับไปที่เมืองหลวง เพื่อปัดความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้หลิ่วชั่งหลัน
แน่นอนว่าหลิ่วชั่งหลันไม่สนใจต้วนเทียนหลาง เพราะคนอย่างต้วนเทียนหลางไม่คู่ควรให้เขาต้องใส่ใจ
แต่สิ่งที่หลิ่วชั่งหลันรู้สึกเสียใจมากที่สุดคือ การปล่อยให้ต้วนเทียนหลางเข้ามาในเมืองต้วนเริ่น คิดง่ายๆ ว่าแม้พวกเขาจะไม่ลงรอยกัน แต่พวกเขาก็สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเพื่อป้องกันกองทัพของอาณาจักรโม่เยว่ได้
แต่สุดท้าย ต้วนเทียนหลางก็นำกองทัพของตนหลบหนีไปจากเมืองต้วนเริ่น และทิ้งให้หลิ่วชั่งหลันต่อสู้กับกองทัพของอาณาจักรโม่เยว่ตามลำพัง หากเมืองต้วนเริ่นถูกตีแตก ต้วนเทียนหลางจะทูลเื่นี้ต่อหน้าจักรพรรดิ แล้วผลักให้หลิ่วชั่งหลันกลายเป็นักโทษกระทำผิดร้ายแรงของอาณาจักร
…
สัญญาสามวันได้เวียนมาถึง
เสียงกีบม้าดังะเืไปทั่วบริเวน ในที่สุดทหารม้าของอาณาจักรโม่เยว่ก็มาถึงชายแดนเมืองต้วนเริ่น
ทว่าบนเนินเขาชายแดนต้วนเริ่นกลับไม่มีใครเลย
โม่เจี๋ยกระตุ้นม้าให้เดินไปด้านหน้า ขณะกวาดสายตามองรอบๆ เทือกเขาที่ว่างเปล่าและเงียบสงบ ดวงตาของเขาเผยร่องรอยครุ่นคิดขึ้นมา
เป็ไปได้ไหมว่ากองทัพของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ได้ถอนตัวออกจากเมืองต้วนเริ่นแล้วจริงๆ พวกเขายกชายแดนแห่งนี้ให้กับอาณาจักรโม่เยว่อย่างง่ายดาย
ดวงตาของโม่เจี๋ยเป็ประกายขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินข่าวลือมาว่า กองทัพของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ได้ถอนตัวออกจากเมืองต้วนเริ่นแล้ว ซึ่งในตอนนั้นเขายังคงสงสัยอยู่ เพราะลักษณะภูมิประเทศของชายแดนแห่งนี้สามารถซ่อนตัวทหารหนึ่งหมื่นนายเอาไว้ได้ และยากที่จะหาพวกเขาพบ
“พาองค์หญิงมาด้านหน้า!”
โม่เจี๋ยกล่าวอย่างไม่แยแส ต้วนซินเยี่ยนั่งอยู่บนหลังม้าและกำลังสวมชุดเกราะอยู่ นอกจากนี้นางไม่ได้ถูกมัดหรือล่ามใดๆ โม่เจี๋ยทำตามที่พูดว่าเขาจะไม่ทำร้ายองค์หญิงแม้แต่น้อย
“ผู้คุ้มกันทมิฬแถวแรกไปสำรวจชายแดนต้วนเริ่นเสีย”
โม่เจี๋ยกล่าวออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นผู้คุ้มกันทมิฬแถวแรกก็ควบม้าไปยังชายแดนต้วนเริ่น
เมื่อโม่เจี๋ยออกคำสั่ง พวกเขาต้องปฏิบัติตามทันที ต่อให้คำสั่งนั้นอาจทำให้พวกเขาตายได้ก็ตาม
ผู้คุ้มกันทมิฬเป็ทหารมากฝีมือ เมื่อไม่มีใครขัดขวาง พวกเขาก็สามารถไปยังที่ราบชายแดนได้อย่างง่าย ไม่ช้าพวกเขาก็กระจายตัวสำรวจรอบชายแดน เพื่อตรวจสอบว่ามีการดักซุ่มโจมตีหรือไม่
1 ชั่วโมงต่อมา เหล่าผู้คุ้มกันทมิฬก็กลับมา โดยไม่มีใครหายไปแม้แต่คนเดียว
“ทูลฝ่าา รอบๆ ชายแดนต้วนเริ่นไม่มีใครแม้แต่คนเดียว กระทั่งเมืองต้วนเริ่นเองก็ไม่มีกองทัพของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ประจำการ”
หนึ่งในพวกเขารายงานสถานการณ์ออกมา ก็ยิ่งทำให้โม่เจี๋ยประหลาดใจมากขึ้น นอกจากชายแดนจะไม่มีคนอยู่แล้ว ในเมืองต้วนเริ่นก็ไม่มีใครอยู่เช่นกัน?
“ตรวจดูเส้นทางซะ”
โม่เจี๋ยสั่งด้วยน้ำเสียงเ็า บางทีเมืองต้วนเริ่นอาจถูกทิ้งร้างตั้งนานแล้ว ถ้าเขาเป็หลิ่วชั่งหลัน เขาจะไม่ทิ้งชายแดนและเมืองไป แล้วยอมตายในายังดีเสียกว่า
เหล่าทหารเคลื่อนพลไปข้างหน้า ตลอดทางที่ผ่านชายแดนต้วนเริ่นมาไร้ร่องรองผู้คน โม่เจี๋ยนำทัพอยู่ด้านหน้าอย่างระมัดระวัง
ถ้ายามนี้เขาเผชิญหน้ากับหลิ่วชั่งหลัน เขาต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นโม่เจี๋ยก็ไม่กล้าผลีผลามอยู่ดี การทำาไม่ใช่การเล่นขายของ หากก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจกลายเป็ผู้แพ้ได้
ขณะที่โม่เจี๋ยกำลังขบคิดอยู่นั้น พวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองต้วนเริ่นแล้ว ตอนนี้เมืองต้วนเริ่นได้กลายเป็เมืองร้างไร้วี่แววผู้คนและเงียบสงัดประหนึ่งเมืองผี
โม่เจี๋ยยืนอยู่บนหอคอยเฝ้าระวังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เป็เวลาหลายปีแล้วที่อาณาจักรโม่เยว่พยายามเข้ามายังชายแดนต้วนเริ่น และตอนนี้พวกเขาทำสำเร็จแล้ว พวกเขาได้เข้ามายังชายแดนต้วนเริ่น ทั้งยังก้าวผ่านเศษดาบที่แตกหักนับไม่ถ้วนอย่างภาคภูมิ เศษดาบหักๆ ที่เป็สัญลักษณ์แห่งชัยชนะของเมืองเล็กๆ แห่งนี้...
“สร้างที่มั่นในเมืองต้วนเริ่นซะ”
โม่เจี๋ยกล่าว หลังจากนั้นคำสั่งของเขาก็ถูกถ่ายทอดไปถึงเหล่าทหาร
พวกเขาสามารถพิชิตชายแดนต้วนเริ่นได้แล้วและยังยึดครองเมืองต้วนเริ่นได้อีกด้วย ในที่ราบแห่งนี้ไม่มีใครต้านทานกองทัพของอาณาจักรโม่เยว่ได้
ในเวลาเที่ยงคืน มีเพียงยามไม่มีคนที่ทำหน้าที่อยู่เท่านั้น ทุกๆ คนต่างพักผ่อนอย่างสุขสบาย
นอกเมืองต้วนเริ่นได้ปรากฏเงาคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมา ในดวงตาพวกเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ในเวลาเดียวกัน ม้าหุ้มเกราะจำนวนมากพลันปรากฏขึ้นทุกสารทิศ และเคลื่อนที่ไปทางเมืองต้วนเริ่นเงียบๆ ก่อนจะหยุดห่างจากเมืองต้วนเริ่นเพียงไม่กี่เมตร
ในขณะนั้นหลินเฟิงที่อยู่นอกเมืองต้วนเริ่น ดวงตาสีดำของเขาดูเยือกเย็นอย่างมาก เขาสามารถมองเห็นได้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเมืองต้วนเริ่นได้ชัดเจน
หลินเฟิงะโเข้าไปในเมืองต้วนเริ่น เขาเตรียมตัวมาอย่างดี มีทหารยามคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น หลินเฟิงปิดปากของมันเพื่อไม่ให้มันะโออกมาและกรีดคออย่างไร้ความเมตตา
หลินเฟิงถอดชุดเกราะของมันและวางมันลง แล้วโยนซากศพของมันออกไปจากกำแพงเมือง เบื้องล่างมีคนคอยรับอยู่
หลินเฟิงสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ชัดเจน เขาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน และแล้วซากศพ 2-3 ร่างก็ถูกโยนลงมาจากกำแพงเมือง เหล่าทหารเสวี่ยเยว่ที่รับตัวศพได้ก็จะถอดชุดเกราะจากซากศพแล้วสวมใส่มัน
จากนั้นพวกเขาก็ะโขึ้นไปบนกำแพงเพื่อเปลี่ยนยาม พวกเขาทุกคนล้วนมีฝีมือและระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง
ทุกคนล้วนได้รับการคัดเลือกให้เป็ทหาร และเป็ทหารที่ยอดเยี่ยมในกองทัพ
พวกเขาไม่ได้ทำแค่นี้เพียงอย่างเดียว พวกเขาเริ่มโจมตีและยึดกำแพงเมือง คนที่ แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขากำลังเข้าไปในเมืองต้วนเริ่นและสังหารทหารยามกลางคืนแล้วโยนศพออกไปนอกกำแพงเพื่อให้คนอื่นๆ มีชุดเกราะสวมใส่
ยามนี้ดึกมากแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและความเงียบสงัด ไม่มีใครส่งเสียงเตือนใดๆ
ขณะนั้นกลุ่มผู้คุ้มกันทมิฬที่ถือหอก ปรากฏตัวอยู่ในเมืองต้วนเริ่น พวกเขาดูสง่างามอย่างมาก
ในหมู่พวกเขามีชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าดูอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ นั่นก็คือหลินเฟิง
คนเหล่านี้ไม่ได้มาจากอาณาจักรโม่เยว่แม้แต่คนเดียว พวกเขาทั้งหมดเป็คนของอาณาจักรเสวี่ยเยว่
เพราะกองทัพโม่เยว่เพิ่งตั้งฐานที่มั่น ดังนั้นเหล่าทหารจึงไม่ค่อยสนใจเฝ้าระวังตรงป่าสักเท่าไร ดังนั้นหลินเฟิงจึงสามารถพาทุกคนเข้ามาในเมืองอย่างง่ายดาย
ผ่านไปสักพัก หลินเฟิงและคนอื่นๆ ก็มาถึงห้องหนึ่งและเข้าไปข้างในทันที
“หยุด”
จู่ๆ ก็มีใครบางคนกล่าว ยามสองคนได้ขัดขวางหลินเฟิงและคนอื่นๆ ไม่ให้เข้าไป ข้างใน จากนั้นพวกเขาก็กล่าวว่า “มีใครบางคนอยู่ข้างในนี้แล้ว”
“ข้ารู้”
หลินเฟิงกล่าวขณะเดินหน้าต่อไป ยามทั้งสองประหลาดใจทันที หลังจากนั้นได้มีแสงปรากฏขึ้นและกริชสีเขียวอ่อนได้ตัดลำคอของยามทั้ง 2 คน แล้วพวกเขาก็ค่อยๆ ล้มลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล
หลินเฟิงรีบเดินตรงไปที่ห้อง แต่แล้วประตูห้องก็ได้ถูกเปิดจนเกิดเสียง กริชสีเขียวอ่อนเริ่มเรืองแสงอีกครั้งและเสียบทะลุลำคอชายคนหนึ่งที่เพิ่งเปิดประตู ปากของมันถูก ปิดขณะที่มันค่อยๆ ล้มลง
“มีคนอื่นอยู่ข้างในอีก”
หลินเฟิงกล่าว หลังจากนั้นพวกเขาก็เข้าไปในห้องทันที ภายในห้องมีไม้อยู่มากมาย นี่เป็ส่วนหนึ่งของแผนการของพวกเขา เหล่าทหารของอาณาจักรเสวี่ยเยว่คุ้นเคยกับที่นี่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าทุกอย่างถูกวางอยู่ตรงไหน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ได้เกิดขึ้นหลายแห่งภายในเมืองต้วนเริ่น ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้น เสียงนั่นได้ทำลายความเงียบงัน และหันเหความสนใจของเหล่าทหารโม่เยว่
เมื่อหลินเฟิงได้ยินเสียงนั่น เขาจึงรู้ว่าหมดเวลาของเขาแล้ว เขารีบเดินเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง แต่ขณะที่เขาจากไปได้มีเปลวเพลิงปรากฏอยู่หลังเขา
เปลวเพลิงที่ไม่คาดฝันได้ปรากฏไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองต้วนเริ่น
หลินเฟิงดูหม่นหมองขณะที่จ้องมองเปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้เมืองต้วนเริ่น ในชีวิตที่แล้ว เขาใช้เปลวเพลิงเพื่อปรุงอาหาร แต่ในชีวิตนี้เขาได้ใช้เปลวเพลิงเพื่อเผาเมือง
แน่นอนว่า เขาทราบดีว่าเปลวเพลิงแค่นี้มันยังไม่เพียงพอ เขา้าให้มันกลายเป็เปลวเพลิงที่ลุกโชนปกคลุมไปทั้งเมือง