ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีแดง มีผมสีแดงเพลิงที่ดูเหมือนจะยาวปรกไหล่ สิ่งที่น่าใคือดวงตาของเขามีสีแดงเพลิงเช่นกัน เขาไม่มีรูม่านตาและแทบไม่เห็นตาขาว ดวงตาของเขาเหมือนดั่งทะเลเพลิงสองแห่ง มีรอยตราสีแดงจุดหนึ่งปรากฏอยู่ตรงระหว่างคิ้วของเขา และรอยตรานั้นก็เป็ดั่งเปลวเพลิงเช่นเดียวกัน
ทุกคนจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่เหนือวานรยุทธ์ สีหน้าของแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความใและตื่นตะลึง
คนผู้นี้เป็ใครกัน? เขากำลังนั่งอยู่บนศีรษะของอสูรร้ายที่น่าสะพรึงกลัวจริงหรือ? อีกทั้ง... อสูรร้ายระดับห้าที่อยู่รอบด้านต่างตามหลังเขามาด้วย?
ชั่วขณะหนึ่ง คนทั้งหมดต่างจ้องไปทางชายหนุ่มคนนั้นด้วยความตื่นตระหนก เหมือนจะรู้ว่าความเป็ความตายของพวกเขาอยู่ในมือชายหนุ่มผู้นี้
วานรยุทธ์เดินมาหยุดอยู่ตรงระยะห่างร้อยจ้างเบื้องหน้าของทุกคน ร่างกายนั้นดูแข็งแกร่งและสูงใหญ่ราวกับูเาไฟลูกหนึ่ง แขนขนาดั์ของมันดิ่งตรงลงมาราวกับต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านทั้งสองต้น กล้ามเนื้อแข็งแกร่งราวกับัทรงพลังที่ดูเหมือนจะมีพลังภายในที่พร้อมะเิออกมาไม่รู้จบ พลังปราณที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมาจากทั่วทั้งร่างของเขา ม้วนทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า ส่งเสียงกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
พลังการกดดันอันแข็งแกร่งปกคลุมไปยังทุกคน ราวกับูเาลูกใหญ่ที่กดทับหัวใจของศิษย์ทุกคนเอาไว้ ทำให้พวกเขาต่างต้องกลั้นหายใจ และไม่กล้าเคลื่อนไหว
ชายหนุ่มชุดแดงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนศีรษะของวานรยุทธ์จ้องตรงมาทางพวกของฉินอวี่ สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตื่นตระหนกคือ ดวงตาสีแดงที่เป็เหมือนดั่งทะเลเพลิงของชายหนุ่มคนนี้ หลังจากกวาดสายตามองทุกคน เขาก็พูดขึ้นอย่างช้าๆ “หรือว่า สำนักยุทธ์ว่านจ้งจะลืมสัญญาไท่กู่ที่เคยมีไปแล้ว?”
สัญญาไท่กู่?
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง และไม่มีผู้ใดเคยได้ยินเกี่ยวกับสัญญาไท่กู่มาก่อนเลย
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว เมื่อลองทบทวนถึงตำราโบราณที่เขาเคยอ่านมาจากหอตำราสำนักยุทธ์ว่านจ้งอย่างละเอียด เขาก็ยังนึกไม่ออกเลยว่ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสัญญาไท่กู่ หลังจากนั้น ฉินอวี่ก็พูดอย่างสงบ “สหาย พวกข้าเป็เพียงศิษย์ทั่วไปของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ไม่รู้เื่ของสัญญาไท่กู่ใดๆ หากทำสิ่งใดที่ล่วงเกิน ขอสหายโปรดอภัยด้วย”
ฉินอวี่จ้องไปยังรอยตราตรงระหว่างคิ้วของชายหนุ่ม ความคิดในใจของเขาก็เริ่มทำงานทันที เขาลองคิดดูว่าตนเองเคยพบรอยตราเช่นนี้มาก่อนหรือไม่ แต่เมื่อลองนึกทบทวนดูดีแล้ว ก็ไม่พบกับความทรงจำหรือความรู้สึกใดๆ สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องแปลกใจนั่นคือระดับการฝึกฝนของชายหนุ่มคนนั้นที่อยู่เพียงขั้นกุมารทิพย์ และวานรยุทธ์ตัวนั้น หากดูจากพลังปราณแล้ว อย่างน้อยมันก็น่าจะเป็อสูรร้ายระดับเจ็ด ซึ่งเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งขั้นทลายวิถี
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องใคือ ตัวตนของชายหนุ่มคนนี้เป็อย่างไรกันแน่? อยู่ในระดับฝึกขั้นกุมารทิพย์แต่กลับไปนั่งบนศีรษะอสูรร้ายระดับเจ็ด?
“ล่วงเกิน? พวกเ้าเข่นฆ่าคนในเผ่าของพวกเรา ละเมิดต่อสัญญาไท่กู่ หรือว่า เพียงแค่ขออภัยต่อการล่วงเกิน แล้วจะปล่อยเื่นี้ให้พ้นไปหรือ?” ชายหนุ่มคนนั้นจ้องตรงมาทางฉินอวี่ ดวงตาทั้งสองแดงก่ำราวกับทะเลเพลิง และดูไม่ออกว่าเขาอยู่ในอารมณ์ใดกันแน่
ดวงตาขนาดั์ของวานรยุทธ์ระดับเจ็ดจับจ้องไปทางฉินอวี่
ชั่วขณะหนึ่ง ฉินอวี่ก็รู้สึกได้ถึงความกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่ได้ปกคลุมเขาไปทั่วทั้งตัว พลังปราณในร่างกายของเขาเดือดพล่านจนแทบจะกระอักเืคำโตออกมาจากลำคอ
“โฮก!”
เสียงคำรามของอสูรร้ายดังขึ้นจากทุกทิศทาง มีอสูรร้ายจำนวนหลายสิบตัวกำลังใกล้เข้ามา ล้อมรอบฉินอวี่และคนอื่นๆ เอาไว้
“สหาย ที่แห่งนี้มีอสูรร้ายอยู่เป็จำนวนมาก พวกข้าไม่มีจิตใจไปฆ่าคนในเผ่าของเ้าหรอก และคงไม่มีจิตใจไปล่วงเกินผู้ใด” ฉินอวี่ระงับพลังปราณที่เดือดพล่านเอาไว้พลางตอบไปอย่างกล้าหาญ ดูเหมือนว่าจะเป็อย่างที่หยางเต้าพูดเอาไว้ พวกเขาได้สังหารอสูรร้ายที่ไม่ควรสังหาร
ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว จากที่ได้ฟังคำพูดของหยางเต้า กระแสอสูรจะกำเนิดมาจากเขตต้องห้ามทางเหนือ เป็ไปได้หรือไม่ว่า สิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับสัญญาไท่กู่?
สัญญาไท่กู่นั่นคืออะไรกันแน่?
เผ่าของเขา?
ช้าก่อน!
เป็ไปได้หรือไม่ว่า... นั่นจะเป็อสูรร้ายที่มีสายเืของหยาจื้อ?
“พวกเ้าทำการละเมิดต่อสัญญาไท่กู่ ตามข้อกำหนดในสัญญา สังหารคนในเผ่าข้า ต้องผ่านสองด่าน เข้าหอคอยขัดเกลา ชำระล้างบาป” ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวอย่างเ็า
ในใจของทุกคนต่างมีความหวังที่ดูริบหรี่
“สองด่านที่ว่านั่นคืออะไร?” หยางเต้าถาม
“ด่านที่หนึ่ง รับข้าสามหมัด เพื่อความเป็ธรรม ข้าจะระงับระดับฝึกเอาไว้ที่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สาม หากพวกเ้าสามารถรับไว้ได้ทั้งสามหมัด ผู้มีชีวิตรอด เมื่อเข้าสู่ด่านที่สอง พวกเ้าก็สามารถเลือกจะท้าประลองกับข้าได้ ข้าจะระงับการฝึกตนไว้ ถ้าสามารถบังคับให้ข้าฟื้นระดับการฝึกฝนขึ้นมาได้ ข้าก็นับว่าพวกเ้าชนะ!” ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และมีน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเจตนาที่มิอาจขัดขืน
“สามหมัด?” มีศิษย์บางคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อเทียบกับต้องตายแล้ว เพียงแค่สามหมัดไม่น่าถึงตาย อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสรอด ส่วนเื่การท้าดวล เป็เื่ที่ทุกคนต่างไม่กล้ามีความเห็น มีอสูรร้ายจำนวนมากกำลังจับจ้องอยู่เช่นนี้ แม้ว่าจะได้รับชัยชนะ ก็เกรงว่าอสูรเหล่านี้คงจะไม่ปล่อยตนเองแน่นอน
“สามารถใช้อาวุธิญญาป้องกันสกัดขวางได้หรือไม่?” มีศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นดังๆ ชายหนุ่มชุดแดงผู้นี้ดูแปลกเกินไป ฉะนั้นจึงไม่กล้าที่จะรองรับหมัดทั้งสามโดยตรง
“ได้ ถึงตอนนั้นก็อย่ามาโทษข้าที่ต้องนำอาวุธเต๋าออกมาก็แล้วกัน” ชายหนุ่มชุดแดงพูดเยาะเย้ย
ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าอย่างเ็า อาวุธเต๋า?
การนำอาวุธิญญาสกัดกั้นอาวุธเต๋า นี่เป็การตีหินด้วยไข่ ทันใดนั้น ทุกคนจึงเพิกเฉยต่อความคิดภายในใจของพวกเขา
“ผู้ใดจะเริ่มก่อน?” ชายหนุ่มชุดแดงะโลงมาจากเหนือศีรษะของวานรยุทธ์ และร่อนลงตรงหน้าของพวกฉินอวี่
“เ้าเริ่มก่อนเลย!” ถังอีิมองไปทางคนผู้หนึ่งในกลุ่มคนสามคนที่ฉินอวี่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ทั้งสามคนนี้เป็ผู้บริสุทธิ์และไม่รู้เื่อะไร แต่ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในบริเวณรอบนอกของเขตต้องห้าม ก็ถูกพัดพาเข้ามาให้มีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างอธิบายไม่ได้
ใบหน้าของศิษย์ผู้นั้นดูบึ้งตึง แม้ว่าจะไม่พอใจ แต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ก็จะต้องไว้หน้าถังอีิ หลังจากดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยืนตรงอย่างองอาจต่อหน้าชายหนุ่มชุดแดง
“นอกจากการไม่เรียกใช้อาวุธิญญาป้องกันแล้ว อะไรก็ตามที่พวกเ้าจะใช้สกัดกั้น คงเตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มชุดแดงกล่าวอย่างเฉยเมย
ทั่วทั้งร่างของศิษย์คนนั้นเต็มไปด้วยพลังปราณ เสื้อผ้าของเขาเคลื่อนไหว ปรับสภาวะร่างกายของตนเองให้ดีที่สุด จากนั้นย่ำเท้าขวาลงบนพื้น แผ่นดินสั่นะเื ก่อนที่เขาจะพูดขึ้น “เข้ามา!”
เด็กหนุ่มชุดแดงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยๆ ปล่อยหมัดข้างขวาออกไป โดยไม่มีลำแสงใดๆ หมัดที่ดูธรรมดาทั่วไปกลับทำลายพื้นที่จนแตกสลาย และกระทบลงบนหน้าอกของศิษย์คนนั้น
“ตูม!” แรงกระแทกหนักแน่นดั่งภูผากระแทกกัน กระดูกและซี่โครงของเขาต่างแตกหักจนเกิดเสียงดังออกมา
เพียงหมัดเดียว ก็ทะลวงตรงเข้าหาหน้าอกของศิษย์คนนั้นพอดี
ฆ่ามัน!
ทุกคนต่างตกตะลึง ศิษย์ที่คิดว่าทนรับหมัดทั้งสามได้อย่างสบายใจนั้นต่างใกลัว หมัดเพียงหมัดเดียว แต่กลับมีความน่ากลัวเช่นนี้?
สามหมัด จะทนได้จริงหรือ?
ในตอนนี้ ศิษย์ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะชั่งน้ำหนักความรู้สึกของพวกเขา ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจ แต่เป็เพราะชายหนุ่มชุดแดงคนนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป
ฉินอวี่จ้องตรงไปทางชายหนุ่มชุดแดงอย่างสุขุม เมื่อนึกย้อนไปถึงหมัดของเขา ในใจก็ยังแอบตกตะลึง แม้ว่าหมัดของเขานั้นจะเชื่องช้า แต่กลับมีพละกำลังที่หนักอึ้ง ตอนนี้แม้แต่ฉินอวี่ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังอันหนักอึ้งนั้น คนผู้นี้ดูเหมือนจะเป็วิชาพลังว่านจ้ง!
เมื่อมองไปยังรอยตรารูปเปลวเพลิงที่ระหว่างคิ้วของชายหนุ่มคนนั้น ฉินอวี่ก็มองเห็นภาพมายาของอสูรร้ายได้จากรอยตรานั้นอย่างเลือนราง เมื่อมองดูอย่างละเอียด อสูรร้ายตนนี้มีลักษณะเหมือนหยาจื้อในตำนานทุกประการ
เป็ตระกูลของหยาจื้อจริงหรือ? มีสายเืของหยาจื้อผสมอยู่จริงหรือ?
เป็ไปได้หรือไม่ว่า... จะมีอสูรร้ายสายเืของหยาจื้อถูกสังหารอยู่บริเวณชายขอบเขตต้องห้ามจริงๆ และยังเป็สมาชิกในเผ่าของชายหนุ่มชุดแดง?
หากเป็เช่นนี้ ร่างกายของชายหนุ่มชุดแดงจะต้องมีสายเืหยาจื้ออยู่เช่นกัน ซึ่งน่าจะมีความเข้มข้นกว่าอสูรร้ายตัวนั้นอยู่มาก
เมื่อกวาดสายตาดูอสูรร้ายที่อยู่รอบตัวแล้ว เขาก็หันไปมองวานรั์ ฉินอวี่ก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมาทันที รู้สึกเหมือนกำลังติดกับดักที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะหลบหนีไปได้หรือไม่
“ใครจะมาอีก!” หลังจากสังหารศิษย์คนนั้นแล้ว ชายหนุ่มชุดแดงก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ข้าเอง!” ฉู่สยงเอ่ยปากขึ้นมา แสงสีทองส่องประกายจากทั่วทั้งร่าง ราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา
ชายหนุ่มชุดแดงยกมือขึ้นและชกตรงไปทางฉู่สยง
ทันใดนั้น ร่างกายของฉู่สยงก็ยิ่งเปล่งประกายสีทอง
“ตูม!”
เสียงดังอึกทึกดังขึ้น แสงสีทองบนร่างของฉู่สยงะเิออก ร่างกายของเขาถอยหลังห่างออกไปหลายสิบก้าวก่อนจะหยุดนิ่ง จนมีเืไหลออกมาตรงมุมปาก
“ไม่เลว เตรียมรับหมัดที่สอง” ชายหนุ่มชุดแดงเหลือบมองฉู่สยง และกล่าวอย่างเฉยเมย ในเวลาเดียวกัน เงาร่างของเขาก็หายไป หมัดเปลวเพลิงขนาดใหญ่ก็ปรากฏลอยขึ้นตรงหน้าฉู่สยงทันที
“กิมกังคุ้มกันร่าง!” ฉู่สยงผายมือทั้งสองข้างออก และะโอย่างโกรธเคือง ก่อเป็รูปกระบี่ั์สีทองเปล่งประกายออกมาทั่วร่าง
“ตูม!”
คลื่นพลังกระแทกแผ่กระจายไปอย่างดุเดือด ฉู่สยงตีลังกาลอยออกไป และตกลงพื้นห่างออกไปกว่าร้อยจ้าง
“เฮือก!” ฉู่สยงกระอักเืออกมาอย่างรุนแรง ก่อนที่เขาจะทันฟื้นสติกลับมา คำพูดที่เ็าของชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงก็ดังขึ้น “หมัดที่สาม!”
แทบทุกคนต่างมองไม่เห็นร่างของชายหนุ่มชุดแดง มีเพียงหมัดเพลิงอันมหึมาที่ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หมัดครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้า เสียงร้องคำรามของัได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับหมัดั์ในเปลวเพลิง ดังทะลวงเข้าสู่โสตประสาท ราวกับแรงกดดันอันมหาศาลของูเาและแม่น้ำ พุ่งลงไปทางฉู่สยงทันที
“ตูมตาม!”
แผ่นดินสั่นะเื ฝุ่นผงคละคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
ฉินอวี่และคนอื่นๆ ต่างถูกคลื่นเสียงอันทรงพลังกระแทกเข้ามาในหู จนเืลมและพลังปราณทั่วทั้งร่างเกิดพลุ่งพล่าน
หลังจากฝุ่นที่ปกคลุมอยู่จางลง ทุกคนก็ได้เห็นภาพฉู่สยงนอนนิ่งอยู่ตรงก้นหลุมั์ โดยไม่รู้ว่าเป็หรือตาย เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉู่เยว่ฉานก็รีบเหาะไปทางฉู่สยง หยิบโอสถออกมาใส่เข้าไปในปากของเขา
“คนต่อไป!” ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงเหลือบมองฉู่สยง สายตาแฝงไปด้วยความเห็นดีเห็นงาม ก่อนจะกวาดสายตามาทางพวกฉินอวี่ และเอ่ยปากขึ้นทันที
ทุกคนต่างตกตะลึง แม้แต่ฉู่สยง เมื่อรับเข้าไปสามหมัด ตอนนี้จะเป็หรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ สิ่งนี้ทำให้ศิษย์เหล่านี้ต่างเงียบสนิท ไม่มีผู้ใดกล้าจะก้าวออกไปข้างหน้า เพื่อรับหมัดของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดง
“หากข้าท้าเ้า และสามารถชนะได้ เ้าจะปล่อยทุกคนไปใช่หรือไม่?” ในตอนนี้ ฉือเซียวที่นิ่งเงียบมาตลอดได้เหลือบตามองฉินอวี่ ก่อนจะพูดขึ้นมา
ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงเหลือบมองฉือเซียว และพูดอย่างเฉยเมย “หากสามารถบีบให้ข้ายกระดับฝึกฝนขึ้นได้ นับว่าเ้าชนะ หากข้าแพ้ พวกเ้าก็สามารถผ่านด่านแรกได้ เพียงแต่... หากเ้าแพ้ จุดจบมีเพียงความตายเท่านั้น!”
ฉินอวี่มองไปทางฉือเซียวอย่างลึกซึ้ง หลังจากอยู่ร่วมกันมาตลอดหลายวันนี้ ฉินอวี่ก็เข้าใจอารมณ์ของฉือเซียวเป็อย่างดี
ตามลักษณะนิสัยของฉือเซียวแล้ว เขาไม่สนใจความเป็ความตายของใครเลย แต่ที่ต้องออกหน้าครั้งนี้ ก็เกรงว่าคงเป็เพราะ้าปกป้องตนเองเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ฉินอวี่ได้มีบางอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจบ่งบอกฉือเซียว ทำให้เขาเข้าใจผิดว่าตนเองเป็ศิษย์น้องของเขาจริงๆ และฉือเซียวก็ถือเป็เื่จริงไปแล้ว เมื่อเห็นฉู่สยงแบกรับหมัดทั้งสาม จนไม่รู้ว่าเป็ตายร้ายดีอย่างไร ฉือเซียวก็กังวลว่าเขาจะทนไม่ไหว ดังนั้นจึงคิดจะท้าประลองกับชายหนุ่มชุดแดง
แม้ว่าฉือเซียวจะมีนิสัยเ็าและเย่อหยิ่ง บางครั้งก็ดูโเี้เหมือนไร้ความรู้สึก แต่ตราบใดก็ตาม หากเป็คนที่เขาให้ความสำคัญ เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้อง และเื่นี้ทำให้ฉินอวี่ประทับใจ
แต่มีความเป็ไปได้ว่าชายหนุ่มชุดแดงที่อยู่ตรงหน้ามีสายเืหยาจื้อปะปนอยู่ พละกำลังของเขาจึงมีความแข็งแกร่ง หากเกิดการประลองกันจริงๆ โอกาสชนะของฉือเซียวนับว่ามีไม่สูงเลย และฉินอวี่ก็เชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้มีร่างเดิมเป็อสูรร้ายตัวหนึ่ง หากเขาแปลงกายกลับไป ฉือเซียวคงต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ฉือเซียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครุ่นคิดในใจเพื่อชั่งน้ำหนักเป็เวลานาน ก่อนจะตัดสินใจ
ฉือเซียวหายใจเข้าลึกๆ และยังดิ้นรนอยู่ในใจ ขณะที่ฉินอวี่กำลังคาดเดาเหตุการณ์ ฉือเซียวก็ก้าวไปข้างหน้า เช่นนี้ก็เพื่อฉินอวี่ ในมุมมองของเขา ฉินอวี่เป็ศิษย์น้อง ในฐานะของศิษย์พี่จึงจำเป็ต้องปกป้องศิษย์น้อง แม้ว่าฉินอวี่จะไม่ธรรมดา แต่ก็ยากนักที่จะรับมือกับหมัดทั้งสามของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดง เขาไม่อาจทนเห็นฉินอวี่ต้องถูกสังหารได้ ดังนั้นเขาจึงต้องออกมาก่อนฉินอวี่
แต่สิ่งที่ทำให้ฉือเซียวนึกไม่ถึงคือ เมื่อท้าประลองกับชายหนุ่มชุดแดง เขาจะต้องชนะ พ่ายแพ้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะมีจุดจบลงที่ความตาย สิ่งนี้ทำให้ฉือเซียวต้องชั่งน้ำหนักโอกาสที่สามารถจะเอาชนะชายหนุ่มชุดแดงคนนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็ทำให้ฉือเซียวคิดไม่ตก
โอกาสน้อยกว่าสามส่วน!
ขณะที่ฉือเซียวกำลังครุ่นคิดและดิ้นรน เขาก็ได้ยินเสียงที่จริงจังดังขึ้น
“ศิษย์พี่ฉือ ข้าจัดการเอง!”
