“ช่วยชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”เหนียนยวี่พูดจาสุขุมนุ่มลึกชัดถ้อยชัดคำไม่เยิ่นเย้อ
ช่วยชีวิตงั้นหรือ?
ชั่วขณะองค์หญิงใหญ่ชิงเหอจ้องไปที่เหนียนยวี่อย่างไม่ละสายตาราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างใช้เวลาสักพักในที่สุดองค์หญิงก็ดึงถุงปักดิ้นใบหนึ่งออกมาจากเอว “เ้าช่วยชีวิตเปิ่นกงสองแม่ลูกไว้ป้ายอภัยโทษอยู่ข้างในถุงปักดิ้นใบนี้ เ้าจงรับไปเสีย”
เหนียนยวี่รับถุงปักดิ้นมา ในใจรู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างยิ่งชะตากรรมของนางอยู่ในมือของตนเองแล้ว
“ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ที่ทรงประทานรางวัล”เหนียนยวี่คุกเข่าก้มศีรษะให้องค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเอนกายลงบนเตียงมองดูเสื้อผ้าเปียกชื้นบนตัวของเหนียนยวี่ นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว“แม้จะเป็ฤดูร้อนก็ตาม ไอเย็นก็ยังเข้าไปในร่างกายได้ง่ายเ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเปียกบนตัวเสียก่อนเถิด จือเถาไปหาเสื้อผ้าของเด็กผู้ชายมาสักตัวเสีย”
“ไม่จำเป็พ่ะย่ะค่ะ” เหนียนยวี่รีบกล่าวโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ด้วยความเคารพ “ขอบพระทัยพระเมตตาขององค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ทว่าตัวเหนียนยวี่นั้นมีเสื้อผ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะเหนียนยวี่ขอรบกวนพี่สาวจือเถาไปที่รถม้าของตระกูลเหนียน ข้างในจะมีห่อผ้าใบหนึ่งเสื้อผ้าของข้าอยู่ข้างในนั้น”
นางก็้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ทว่าต้องเป็เสื้อผ้าที่นางเตรียมมาด้วยตัวเอง!
จือเถาเหลือบตามององค์หญิงใหญ่ชิงเหอองค์หญิงใหญ่โบกมืออนุญาตให้นาง จือเถาจึงน้อมรับคำสั่ง
ณ ซื่อฟางกว่าน ลานเหวินชู
หยวนเต๋อฮ่องเต้และอวี่เหวินฮองเฮาแห่งแคว้นเป่ยฉีนั่งตำแหน่งประธานใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
จิ้นอ๋องและจิ้นหวังเฟย [1] คุกเข่าอยู่ภายในห้องโถงจิ้นหวังเฟยร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของจิ้นอ๋องมาสักพักใหญ่แล้ว
“ฝ่าา ท่านต้องตัดสินให้อิ้งเสวี่ยนะพ่ะย่ะค่ะ อิ้งเสวี่ยนางเป็สตรีที่รักความสวยความงามยิ่งทั้งยังอยู่ในวัยออกเรือนพอดิบพอดีโดนคนสกุลเหนียนทำให้ด่างพร้อยสูญเสียความบริสุทธิ์ให้หลังจากนี้นางจะออกเรือนได้อย่างไร? เหนียนเฉิงทั้งยังวางเพลิงหอสูงด้วยถ้าไม่ใช่เพราะขุนนางฉู่มาช่วยไว้ทันละก็ เกรงว่าอิ้งเสวี่ยคงจะตายอยู่ในกองเปลวเพลิงนั่นแล้วแต่...ทว่าแม้ช่วยชีวิตไว้ได้แล้ว ใบหน้านางก็โดนไฟไหม้ทำลายไปแล้ว ถ้านางตื่นมาแล้วรู้ว่าหน้าของตนโดนทำลายจนเสียโฉมก็กลัวว่าคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้"
จิ้นหวังเฟยร้องไห้ั้แ่เมื่อคืนจนบัดนี้ น้ำเสียงแหบพร่าคิดถึงแต่เพียงเื่ราวของบุตรสาวที่น่าสงสารของตัวเองในยามนี้ในใจของนางหยุดไม่ได้ที่จะเ็ป และอยากจะขอความเป็ธรรมให้บุตรสาวของตน
“ไม่ ไม่ใช่ข้า...”
ไม่นานหลังจากที่เหนียนยวี่และเหนียนอีหลานนั่งรถม้าออกมาจากจวนเมื่อเช้าก็มีคนไปที่จวนเหนียนถ่ายทอดคำสั่งเรียกตัวคนสกุลเหนียนยามนี้หนานกงเยวี่ยและเหนียนเฉิงรออยู่ในตำหนัก นอกจากคนสกุลเหนียนแล้วยังมีหนานกงเลี่ย รวมถึงฉู่ชิง ท่านแม่ทัพหลวงด้วย
เมื่อต้องเผชิญกับข้อประณามกล่าวหาของจิ้นหวังเฟยและท่าทางเคร่งขรึมน่าเกรงขามของฮ่องเต้และฮองเฮา เหนียนเฉิงก็เกิดตื่นตระหนกก่อนผู้อื่นบ้างเล็กน้อย
หนานกงเยวี่ยจับมือเหนียนเฉิง นางที่ผ่านโลกมาก่อนตอนนี้จึงยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ได้อยู่
“จิ้นหวังเฟย ท่านเอาแต่พูดอยู่คำเดียวว่าเป็เหนียนเฉิงลูกข้ามีหลักฐานงั้นหรือ?” หนานกงเยวี่ยกล่าวเมื่อเช้านางก็ไปปรึกษาหาแผนรับมือที่จวนหนานกงแล้วข่าวจากจวนจิ้นอ๋องก็ส่งมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจ้าวอิ้งเสวี่ยจะรอดมาได้แล้วอย่างไร? นางคิดหาแผนรับมือที่สมบูรณ์แบบที่สุดมาปกป้องลูกชายนางได้แล้ว
“หลักฐานงั้นหรือ?” จิ้นอ๋องจ้าวซั่วไม่ทันได้สนใจฮ่องเต้และฮองเฮาที่อยู่ในสถานการณ์นั้นหยิบป้ายประจำตัวชิ้นหนึ่งออกมาจากอกโยนลงบนพื้นด้วยความโมโหเกรี้ยวกราด“ป้ายประจำตัวของบุตรชายตระกูลเหนียนแผ่นป้ายนี่เจอในซากปรักหักพังที่ถูกเผาจากกองเพลิง นับว่าเป็หลักฐานได้หรือไม่?”
ในใจเหนียนเฉิงหวาดหวั่นตัวสั่นเทาเผลอเอามือแตะเอวตัวเองโดยไม่ทันคิดป้ายที่ยังห้อยอยู่ที่เอวทำให้เขาสบายใจขึ้นมาก
โชคดีที่เมื่อวานท่านแม่เห็นว่าป้ายประจำตัวของเขาหายไปจึงเอาของเหนียนยวี่มาให้เขาใส่ไว้แทน
หนานกงเยวี่ยเตรียมตัวมาเป็อย่างดี แย้มยิ้มเบาๆรับมืออย่างเป็ธรรมชาติ “จิ้นอ๋อง ท่านไม่สามารถฉวยโอกาสมารังแกพวกเราตอนที่สามีข้าจัดการงานราชจึงไม่ได้มาที่ตำหนักชุ่นเทียนได้นะเ้าคะ ป้ายประจำตัวของบุตรชายข้าก็ต้องอยู่ที่ตัวของบุตรชายข้าป้ายประจำตัวนั่นจะเป็ของบุตรชายข้าไปได้อย่างไรกัน?"
เหนียนเฉิงดึงป้ายประจำตัวออกมาจากเอว เดินกะโผลกกะเผลกไปข้างหน้าคุกเข่ายกมือทั้งสองถวายต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้และฮองเฮา“ถวายบังคมทูลฝ่าาและฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ป้ายประจำตัวของเฉ่าหมิน [2]อยู่ที่ตัวเฉ่าหมินผู้นี้มาตลอด มิเคยห่างจากตัวเลยพ่ะย่ะค่ะ"
จิ้นอ๋องเดินเข้าไปข้างหน้าอย่างอยากไม่เชื่อคว้าป้ายประจำตัวในมือของเหนียนเฉิงขึ้นมาเปรียบเทียบกับป้ายที่ตกอยู่บนพื้นอย่างละเอียดสีหน้าเริ่มซีดลง
“เป็ไปไม่ได้...จะเป็ไปได้อย่างไร...”
ปีที่เขียนไว้บนป้ายประจำตัวทั้งสองชิ้นมีเหมือนกันทุกประการ
“จิ้นอ๋อง หลานชายข้าคนนี้เคยหกล้มตอนยังเล็ก ตลอดมาเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนไม่สะดวกคนในตำหนักชุ่นเทียนต่างก็รู้กันทั้งนั้นถ้าเขาวางเพลิงหอสูงของท่านหญิงอิ้งเสวี่ยจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าตัวเขาเองก็คงจะหนีออกมาไม่ได้เช่นกัน”หนานกงเลี่ยกล่าวอย่างเรียบง่าย เขาดำรงตำแหน่งสำคัญในราชสำนักและยิ่งมีอิทธิพลของตระกูลหนานกงดันอยู่เื้ัเพียงแค่เอ่ยมาคำเดียวก็สั่งให้ผู้คนทำตามได้แล้ว “ตามที่ข้าเห็นผู้ที่ทำให้ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยมีมลทิน วางเพลิงหอสูง ทำลายใบหน้ารูปโฉมของท่านหญิงอิ้งเสวี่ยเป็คนอื่นเสียมากกว่า"
“จะเป็ไปได้อย่างไร? ป้ายประจำตัวนี่ชัดเจนแล้วว่าเป็ป้ายของคุณชายสกุลเหนียนถึงกับมีของปลอมเลยหรือ?” จิ้นหวังเฟยหยิบป้ายประจำตัวสองชิ้นนั้นขึ้นมาเปรียบเทียบอย่างละเอียดป้ายประจำตัวของคุณชายสกุลเหนียนทั้งสองชิ้นตรงตามรายชื่อและข้อมูลของกรมพระคลังมิใช่ของปลอม...
สกุลเหนียน... คุณชายสองคน... เช่นนั้น...
“สกุลเหนียน แต่ไม่ใช่หลานชายของข้าคุณชายเหนียนเฉิง”หนานกงเลี่ยพูดกุญแจสำคัญออกมา
ทันใดนั้นหลายสิ่งหลายอย่างก็ทะลุปรุโปร่งชัดเจน
ในเมื่อป้ายประจำตัวนี่ไม่ใช่ของเหนียนเฉิง เช่นนั้นก็ควรจะเป็ของคุณชายสกุลเหนียนอีกคนหนึ่งแล้วสินะ!
“คุณชายเล็กสกุลเหนียนงั้นหรือ?” จากข้อพิพาทโต้เถียงระหว่างสองครอบครัวนี้ทำให้หยวนเต๋อฮ่องเต้ปวดหัวขมวดคิ้วถาม “แล้วชื่ออะไรเล่า?”
“เหนียนยวี่ ชื่อของเขาคือเหนียนยวี่!”เหนียนเฉิงอดใจรอไม่ไหวรีบพูดออกมา
เหนียนยวี่งั้นหรือ?
ฉู่ชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ มาตลอด ขมวดคิ้วภายใต้หน้ากากเล็กน้อยภาพเด็กหนุ่มผอมบางนั่นก็ปรากฎขึ้นมาในความคิด
หากเป็เด็กหนุ่มผู้นั้น เยี่ยงนั้นเขาควรจะหวังให้ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยตายในกองเพลิงนั่นเสียก็จะไร้หลักฐานตรวจสอบ ทว่าก่อนที่เขาจะไป เขาทิ้งคำพูดไว้อย่างชัดเจนว่า“ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยมอบให้เ้าจัดการต่อแล้ว”
เขาเองก็อยากช่วยท่านหญิงอิ้งเสวี่ย!
ทว่าเขาลอบเข้าไปในกองเพลิง แล้วทิ้งจี้หยกไว้ที่นั่น เพื่ออะไรกัน?
“ฝ่าา เหนียนยวี่เป็เด็กชายในจวนมารดาของเขาเสียชีวิตไม่นานหลังจากที่ให้กำเนิดเขาสามีของเฉินฟู่คิดว่าเขาไร้มารดา ดังนั้นจึงรักและตามใจเขาเป็พิเศษอยู่บ้างอาจเป็เพราะเลี้ยงเขามาเช่นนี้นิสัยของเขาจึงกำเริบเสิบสาน ไร้คุณธรรมถ้าเขาทำเื่นี้จริงๆ ก็คงเป็เพราะการสั่งสอนที่ไม่ดีของเฉินฟู่ [3] เองเพคะ”หนานกงเยวี่ยรีบคุกเข่าลงไปทันที ดูเหมือนเป็คำพูดปกป้องเหนียนยวี่ ทว่าทุกๆประโยคกลับเป็มีดแหลมคมทิ่มแทงเหนียนยวี่
“เหนียนยวี่... เหนียนยวี่ เป็เขาแน่ ฝ่าา ข้าจะนำตัวเหนียนยวี่มาให้ฝ่าา คืนความยุติธรรมให้อิ้งเสวี่ย”จิ้นอ๋องคว้าป้ายประจำตัวนั่นขึ้นมาความเกรี้ยวกราดในดวงตาราวกับจะอยากจะสับเหนียนยวี่เป็หมื่นๆ ชิ้น
หยวนเต๋อฮ่องเต้ปรายตามองดูผู้คนในโถง แล้วกล่าวด้วยเสียงก้องกังวาน“ทหาร นำตัวเหนียนยวี่เข้ามา!”
นอกตำหนัก หลังองค์รักษ์รับคำสั่งนำตัวคนมาและเพิ่งออกจากลานเหวินชู่ไม่ไกลนัก ก็ได้พบกับหลีอ๋องและมู่อ๋องที่กำลังจะมาพอดี
“เกิดอะไรขึ้น?” จ้าวอี้เมื่อเห็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติเขาที่ชื่นชอบเื่สนุกครื้นเครงมาั้แ่ไหนแต่ไร จึงถามขึ้นมาอย่างสบายๆ
“เมื่อคืนคุณชายเล็กสกุลเหนียนทำให้ความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอิ้งเสวี่ยมัวหมองทั้งยังเผาหอสูง ทำร้ายท่านหญิงอิ้งเสวี่ยฝ่าาทรงรับสั่งเป็พิเศษให้กุมตัวเหนียนยวี่ไปพิจารณาคดี”องค์รักษ์กล่าวกับมู่อ๋องอย่างกระชับชัดเจน โค้งคำนับอย่างเคารพแล้วรีบเร่งดำเนินการตามราชโองการของฮ่องเต้ทันที
ทว่าจ้าวอี้กลับขมวดคิ้ว
คุณชายเล็กสกุลเหนียน?
เด็กหนุ่มคนนั้นเมื่อครู่นี้งั้นหรือ?
“อ้อ เื่ที่ขืนใจแล้ววางเพลิงฆ่าคนนั่นน่ะหรือ? เป็เื่จริงงั้นหรือ?”
จ้าวอี้ยังคงไม่เชื่ออยู่บ้าง แม้จะเพิ่งพบกันเมื่อครู่นี้ทว่าความใสซื่อบริสุทธิ์ในดวงตาของหนุ่มน้อยผู้นั้นก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอย่างที่พวกเขาพูดกันเลย
“ท่านพี่ พวกเราไปที่ลานชู่เหวินกันดีหรือไม่ ไปดูว่าจะคึกคักกันขนาดไหน?” จ้าวอี้กล่าวกับชายหนุ่มชุดขาวข้างๆ
หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนสงบเงียบไม่ยินดียินร้ายประดุจดั่งต้นสนสีเขียวในหุบเขาลึกอันว่างเปล่าซึ่งละโลกไว้เื้ัไร้การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น นิสัยอันเป็เอกลักษณ์นั้นตั้งอยู่ ณ แคว้นเป่ยฉีมิมีผู้ใดเทียบเทียมได้ ยังไม่ทันเอ่ยปากตอบจ้าวอี้ก็คว้าข้อมือของหลีอ๋องไว้พร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบยุ่งเื่ทางโลกพวกนี้พวกเราก็แค่คิดเสียว่าไปชมงิ้วละกัน"
จ้าวเยี่ยนยิ้มน้อยๆ อย่างจนปัญญา ปล่อยให้จ้าวอี้ลากเขาไปทางลานเหวินชู่...
ณ เรือนเซียงฝาง
เหนียนยวี่เปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งกายด้วยชุดสตรีทั้งตัวแท้จริงแล้วเป็เสื้อผ้าที่เหนียนอีหลานส่งมาให้เมื่อเช้านี้ชุดสีขาวล้วนสวมอยู่บนตัวของเหนียนยวี่ มันทำให้นางยิ่งดูราวกับเทพธิดาเหนียนยวี่ปล่อยผมยาวสยายทิ้งตัวสลวยไว้ด้านหลัง ไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก มิได้ผัดแต่งใบหน้าทว่าเสื้อผ้าบอบบางบนตัวนั้นทำให้เห็นถึงโครงร่างบอบบางน่าทะนุถนอมของสตรีได้อย่างชัดเจน
ทันทีที่เหนียนยวี่ก้าวออกมาจากห้องราชองค์รักษ์จำนวนหนึ่งก็บุกรุกเข้ามา
เหนียนยวี่เห็นสถานการณ์ที่คุ้นเคย ภายในใจก็เข้าใจแจ่มแจ้งในที่สุดมันก็มาถึงแล้วงั้นหรือ?
“เหนียนยวี่ล่ะ?” เสียงถามของราชองค์รักษ์ดังขึ้นเป็เสียงแรกซึ่งกำลังตามหาเงาร่างของเด็กหนุ่มตามข้อมูลที่มี ณ บริเวณลานจวน
“ข้าก็คือเหนียนยวี่” เหนียนยวี่เอ่ยอย่างใจเย็น
ราชองค์รักษ์มองตามเหนียนยวี่ที่พวกเขากำลังตามหาคือคุณชายสกุลเหนียนแล้วจะเป็สตรีผู้หนึ่งไปได้อย่างไร?
ท่าทีตอบสนองทั้งหมดล้วนอยู่ในความคาดหมายของเหนียนยวี่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างออกมาพอดี ก็มีเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังเข้ามาในห้อง
“เปิ่นกงรับรองว่านางคือเหนียนยวี่ พวกเ้าพานางไปรายงานตัวเถิด”
เหนียนยวี่และเหล่าราชองค์รักษ์หันไปมองพร้อมกันไม่รู้ว่าองค์หญิงใหญ่ชิงเหอยืนอยู่หน้าประตูั้แ่เมื่อไหร่สายตานั้นจ้องมองไปที่เหนียนยวี่ แฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง
มิเช่นนั้นเหล่าราชองค์รักษ์ก็คงจะไม่เชื่อว่าสตรีที่อยู่ข้างหน้าคือเหนียนยวี่องค์หญิงใหญ่ชิงเหอออกหน้ารับรองให้ พวกเขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ชิงเหอแล้วคุมตัวเหนียนยวี่ออกไป
“องค์หญิง เขา...นาง...เป็ไปได้อย่างไร...? ”จือเถาเองก็ใเมื่อเห็นเหนียนยวี่ปรากฎตัวในชุดสตรี เห็นกันอยู่ชัดๆว่าเป็เด็กหนุ่มคนหนึ่ง แล้วทำไมจู่ๆ ก็กลายเป็สตรีไปเสียได้?
ทว่าองค์หญิงชิงเหอกลับสงบและมั่นคงกว่ามาก
“นางขอป้ายอภัยโทษเพื่อสิ่งนี้งั้นหรือ? อืม แท้จริงเป็สตรีนางหนึ่งทว่ากลับแต่งกายเป็บุรุษหลอกลวงฝ่าาความหาญกล้าของตระกูลเหนียนนี้จะว่าเล็กก็ไม่เล็กเลย”องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเฉลียวฉลาด เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ องค์หญิงใหญ่ชิงเหอก็ขมวดคิ้ว กำชับสาวใช้ข้างๆ ว่า“จือเถา เตรียมเกี้ยว เปิ่นกงอยากจะลองไปดูเสียหน่อย”
เชิงอรรถ
[1] หวังเฟย ตำแหน่งพระชายาเอกในอ๋อง
[2] เฉ่าหมิน (草民) หมายถึงราษฎรผู้ต่ำต้อยเป็คำแทนตัวของชาวบ้านเมื่อคุยกับขุนนางหรือคนที่สูงศักดิ์กว่า
[3] เฉินฟู่ (臣夫) แทนตัวหญิงที่แต่งงานแล้วต่อหน้าฮ่องเต้หรือเชื้อพระวงศ์