ณ ลานเหวินชู่
ยามที่หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนและมู่อ๋องจ้าวอี้มาถึง หนานกงเยวี่ยก็กำลังพูดแก้ตัวให้เหนียนยวี่ซึ่งยังโต้เถียงกับจิ้นหวังเฟยไม่หยุด
รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดในห้องโถง แม้ว่าจะเป็คนที่มีนิสัยกระฉับกระเฉงคึกคักอย่างจ้าวอี้ก็ยังไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา ทำเพียงเข้ามาประทับยังพระที่นั่งของตนอย่างเงียบๆ และคอยรับชมอยู่ด้านข้าง
“ฝ่าา ณ ตอนนี้กระหม่อมเองก็มีหลักฐานอยู่ชิ้นหนึ่งเป็ของที่หยิบมาจากเหตุการณ์เพลิงไหม้หอสูงเมื่อคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ" ฉู่ชิงที่เงียบมาตลอดจู่ๆ ก็พูดขึ้นและนำจี้หยกถวายให้ฮ่องเต้
ทันใดนั้นในใจของหนานกงเยว่พลันตึงเครียดและหันไปมองเหนียนเฉิงอย่างไม่รู้ตัว จะมีหลักฐานได้อย่างไร?
เหนียนเฉิงเองก็ตื่นตระหนกเหงื่อออกจากฝ่ามือด้วยความกระสับกระส่าย
เขา... เมื่อคืนเขายังทำอะไรตกไว้อีก?
เขารีบร้อนหนีเกินไป ขนาดตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ
“ใช่แล้ว หลักฐาน ฝ่าาเพคะ พระองค์ต้องตัดสินเพื่ออิ้งเสวี่ยนะเพคะ”จิ้นหวังเฟยเหมือนจะเห็นความหวังอีกครั้ง ทำร้ายบุตรสาวนางจนกลายเป็สภาพเช่นนั้นนางก็ต้องทุ่มเทกำลังให้ถึงที่สุด จะต้องให้เขาชดใช้มาให้ได้
หยวนเต๋อฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ทหารนำจี้หยกที่ฉู่ชิงหยิบยก มาพินิจอย่างละเอียดแต่ทว่ากลับไม่เห็นเบาะแสใดๆ “จี้หยกนี่เป็ของผู้ใด?”
หนานกงเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวตอบว่า “ฝ่าาโปรดให้เฉินฟู่ยืนยันได้หรือไม่เพคะ?”
แม้ว่านี่จะเป็จี้หยกของเหนียนเฉิงที่ทำตกไว้ตราบใดที่นางยอมรับและยืนยันว่ามันเป็ของเหนียนยวี่ ผู้ที่รับโทษครั้งนี้ก็ต้องเป็เหนียนยวี่ที่แบกรับไปแน่
ทว่านางกลับคิดไม่ถึง ตัวเองยังไม่ทันเห็นหยกนั่นชัดๆเสียงของอวี่เหวินฮองเฮาก็ดังขึ้นมาจากพระที่นั่ง “นี่...หม่อมฉันจำได้ จี้หยกนี่เป็ของที่ส่งมาจากแคว้นบ้านเกิดของหม่อมฉันในปีนั้นครั้นฮ่องเต้องค์ก่อนยังครองราชย์อยู่เพคะ เด็กสกุลเหนียนผู้นั้นชื่นชอบกิเลน บังเอิญมีจี้หยกชิ้นนี้พอดี ครั้งนั้นพวกเราจวนเต๋ออ๋องจึงได้ส่งของขวัญไปให้เด็กคนนั้นเพคะ”
ความหมายของคำพูดนี้คือ...
“จี้หยกนี้เป็ของเหนียนเฉิงงั้นหรือ?” ดวงตาของหยวนเต๋อฮ่องเต้หรี่ลงน้ำเสียงของเขาสูงขึ้นอย่างมาก
เขาอยู่บนบัลลังก์มา 20 ปี เหนียนเฉิงอายุ 22 ปีทว่าเหนียนยวี่อายุ 15 ปี หยกนี่เป็ของเหนียนเฉิงอย่างไม่ต้องสงสัย!
ฉู่ชิงเข้าใจที่มาของจี้หยกชิ้นนี้แล้วในหัวก็คิดถึงเด็กหนุ่มผู้นั้นขึ้นมาอีกครั้ง หลายสิ่งหลายอย่างในใจของเขาก็ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นมาในทันใด
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เองทว่าเด็กหนุ่มนั่นกำลังปกป้องตัวเองหรือพยายามจะหาแพะรับบาปกันแน่?
มุมปากภายใต้หน้ากากของฉู่ชิงยกโค้งขึ้นบางๆ จ้องมองหนานกงเยวี่ยและเหนียนเฉิง ความตื่นตระหนกในดวงตาของสองแม่ลูกคู่นั้นหนีไม่พ้นสายตาอันเฉียบคมของเขา
หนานกงเยวี่ยสงบเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็วและค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพิจารณาจี้หยกชิ้นนั้น ด้วยคำพูดของอวี่เหวินฮองเฮาเมื่อครู่ในเวลานี้นางไม่สามารถหักล้างได้แล้ว “ฝ่าานี่เป็จี้หยกของเหนียนเฉิงจริงๆ เพคะ”
“เหนียนเฉิง... เช่นนั้นเื่เมื่อคืนก็ชัดเจนแล้วว่าคุณชายสกุลเหนียนคนนั้นเป็เหนียนเฉิงลูกชายของเ้า!”จิ้นอ๋องเค้นความจริง จี้หยกที่ฝ่าาประทานให้มันเป็ไปได้หรือที่จะส่งต่อให้ผู้อื่น?
“ไม่ไม่ใช่ข้า...ข้า...” เหนียนเฉิงทนยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ปฏิเสธอย่างตื่นตระหนก
เมื่อหนานกงเยวี่ยมองดูท่าทางของเขาก็รู้ว่าเขากำลังจะทำเื่ให้เลวร้ายลง จึงรีบตัดบทเสีย “เหนียนเฉิง เ้ายังไม่ขออภัยโทษต่อฝ่าาและฮองเฮาอีกของขวัญล้ำค่าเช่นนี้ เ้าไม่เก็บรักษาไว้ให้ดีๆ สุดท้ายก็ปล่อยให้โจรขโมยไปได้อีก!"
เหนียนเฉิงสะดุ้งใ“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ จี้หยกของกระหม่อมถูกขโมยไปจี้หยกของกระหม่อมถูกเหนียนยวี่ขโมยไป...ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็เหนียนยวี่ ฝ่าาเหนียนยวี่ชอบขโมยจนเป็นิสัยมาโดยตลอด...”
เหนียนยวี่...
ไม่เพียงแต่ฉู่ชิงแม้แต่จ้าวอี้ที่ชมงิ้วอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน “นี่มันวนไปวนมาเสียจริง ทว่าสุดท้ายก็ยังไปตกบนหัวเหนียนยวี่อีกแต่ผู้ใดจะรู้ว่าจี้หยกของคุณชายใหญ่สกุลเหนียนจะถูกขโมยไปจริงหรือไม่!"
“บุตรชายข้าไม่ได้โกหกเพคะเหนียนยวี่ไม่ได้รับการสั่งสอนมาดีมากนัก เป็ความผิดของเฉินฟู่เอง ทว่าผิดถูก ก็มิอาจละเลยได้ แม้ว่าพฤติกรรมของเหนียนยวี่เด็กคนนั้นจะแย่ทว่านิสัยดั้งเดิม..."
“ขอบังคมทูลฝ่าานำตัวเหนียนยวี่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเยวี่ยกำลังพูดพอดี ราชองค์รักษ์ที่อยู่ด้านนอกประตูก็มาถึงแล้วพร้อมนำตัวเหนียนยวี่มารายงานตัว
“ส่งตัวเหนียนยวี่เข้ามา!”หยวนเต๋อฮ่องเต้รับสั่งออกมาเสียงหนึ่ง
คนที่คุกเข่าอยู่ในห้องโถงล้วนครุ่นคิดแตกต่างกันไป
“ไม่ว่าจะเป็เหนียนเฉิงหรือเหนียนยวี่ขอพระเมตตาฝ่าาทรงตัดสินให้อิ้งเสวี่ยด้วยเพคะ” จิ้นหวังเฟยคำนับศรีษะลงบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า
“พรากความบริสุทธิ์ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยเผาหอสูง ทำร้ายท่านหญิงอิ้งเสวี่ย ทั้งหมดล้วนเป็ฝีมือของเหนียนยวี่พ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าาทรงโปรดตรวจสอบอย่างละเอียดคืนความยุติธรรมให้หลานชายผู้บริสุทธื์ของกระหม่อมผู้นี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”หนานกงเลี่ยหันไปคำนับฮ่องเต้และฮองเฮาบนบัลลังก์
เหนียนเฉิงที่ถูกกล่าวถึง ก็ส่งเสียงได้ดีเยี่ยม “ใช่ เป็เหนียนยวี่ ไม่ใช่กระหม่อม เป็เหนียนยวี่...”
เหนียนยวี่เข้ามาในลานเหวินชู่ ได้ยินชื่อตนเองนับครั้งไม่ถ้วนจากผู้คนไม่ซ้ำหน้าอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเหมือนกับในชาติก่อน
ทว่านางในชาติก่อน ั้แ่ต้นจนจบคิดสิ่งใดไม่ออกเลย ตื่นตระหนกไร้การวางแผนทั้งยังสิ้นหวังหมดหนทางไร้ความช่วยเหลือ นางเหมือนถูกผลักลงเหวทีละนิด ไม่ว่าอะไรก็ทำไม่สำเร็จทว่าในชาตินี้...ใจของนางกลับมีความสงบสุขแบบที่อธิบายออกมาเป็คำพูดไม่ได้
เหนียนยวี่เดินเข้าไปในโถงพระที่นั่งโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองมองด้านข้าง จึงไม่ทันสังเกตเห็นความประหลาดใจในสายตาของผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งข้างของพระที่นั่ง
“เหนียนยวี่ขอเข้าพบฝ่าา ขอเข้าพบฮองเฮาเหนียงเหนียง [1] เพคะ” เหนียนยวี่คุกเข่าลงบนพื้นคำนับฮ่องเต้และฮองเฮาอย่างเคารพ
หยวนเต๋อฮ่องเต้และอวี่เหวินฮองเฮาบนบัลลังก์ จ้องมองบุคคลที่กำลังคุกเข่า อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองกันและกันทั้งคู่ต่างขมวดคิิ้วในทันที
“เ้าคือเหนียนยวี่งั้นหรือ?” ไม่ใช่ว่าเหนียนยวี่คือคุณชายสกุลเหนียนหรอกหรือ? ทว่าผู้ที่คุกเข่าอยู่ในลานโถงดูอย่างไรก็เป็สตรีผู้หนึ่งชัดๆ!
“หม่อมฉันคือเหนียนยวี่จริงเพคะ”เหนียนยวี่ไม่ตื่นตระหนก น้ำเสียงของนางหนักแน่นเป็พิเศษ
ในขณะนั้นหนานกงเยวี่ยและเหนียนเฉิงที่กำลังวางแผนใคร่ครวญว่าจะยืนยันความผิดของเหนียนยวี่อย่างไรนั้นพริบตาเดียวหันไปเห็นสตรีที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง ในใจก็กระตุกและในหัวว่างเปล่าไปชั่วครู่หนึ่ง
เหนียนยวี่...เป็ไปได้อย่างไร...นี่มัน...
“เ้า...เ้าเป็สตรีงั้นหรือ?”อาจเป็เพราะตกตะลึงมากเกินไป จิ้นหวังเฟยจึงหยุดร้องไห้ทันที
เหนียนยวี่คำนับฮ่องเต้และฮองเฮาศีรษะคำนับลงบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงใสแจ่มชัดดังขึ้นทั่วห้องโถงใหญ่
“หม่อมฉันเหนียนยวี่มีความผิด หม่อมฉันดื้อรั้นหัวแข็งั้แ่เด็ก โง่เขลาไม่เข้าใจเื่ราวและมักจะแต่งตัวเป็เด็กผู้ชายหลอกผู้อื่นเสมอๆด้วยเหตุนี้ทำให้ทุกคนคิดว่าเหนียนยวี่เป็บุรุษผู้หนึ่ง พิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ในวันนี้ในใจของเหนียนยวี่รู้ว่ามิสามารถหลอกลวงฝ่าาและโลกตลอดไปได้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนกลับไปสวมชุดสตรีและโปรดฝ่าาทรงลงโทษหม่อมฉันโดยเฉพาะเพคะ”
ความดื้อรั้นหัวแข็งั้แ่เด็กของเหนียนยวี่เื่ที่หลอกลวงให้อภัยได้ ทว่าเขาบิดาเหนียนเย่าและมารดาใหญ่ [2] หนานกงเยวี่ยเป็ผู้ใหญ่ที่รู้เื่เข้าใจก็ยังป่าวประกาศคนภายนอกให้เรียกเหนียนยวี่ว่าคุณชาย นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เหนียนยวี่ยังเด็กและไม่รู้ความทว่าพวกเขากลับจงใจหลอกลวงฮ่องเต้!
สีหน้าของหยวนเต๋อฮ่องเต้มืดครึ้มลงทันที“สตรีหรือ? สตรี... เจิ้น [3] คาดไม่ถึงจึงไม่รู้เลยว่าข้าราชบริพารของเจิ้นจะหาญกล้ากันขนาดนี้!”
ในใจของหนานกงเยวี่ยสั่นไหวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้นางไม่ทันตั้งตัว
“ฝ่าาเฉินฟู่ไม่ทราบเพคะ สามีหม่อมฉันเองก็ไม่ทราบเช่นกันเพคะ ครั้นที่เหนียนยวี่เกิดมามารดาผู้ให้กำเนิดนางบอกว่าเหนียนยวี่เป็เด็กผู้ชายพวกหม่อมฉันเองก็ไม่ได้สงสัย ยามนี้มาคิดดูแล้ว อาจเป็เพราะมารดาผู้ให้กำเนิดเหนียนยวี่คง้าได้รับเกียรติจากบุตรชายจึงหลอกลวงพวกหม่อมฉันเพคะ” หนานกงเยวี่ยพูดแก้ตัวอย่างเร่งรีบในใจนางกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าด้วยคำพูดนี้หยวนเต๋อฮ่องเต้และอวี่เหวินฮองเฮา กลับดูเหมือนจะ
ไม่ค่อยยอมรับนัก
“เป็ความจริงที่แม่ใหญ่และท่านพ่อของหม่อมฉันไม่ทราบเื่นี้เพคะขอฝ่าาโปรดพิจารณา ทั้งหมดเป็ความผิดของเหนียนยวี่เพียงผู้เดียว”เหนียนยวี่พูดชัดถ้อยชัดคำปกป้องเหนียนเย่าและหนานกงเยวี่ยอย่างเกินความคาดหมาย
“หืมเป็ความผิดของคนๆ เดียวเช่นนั้นหรือ? เหนียนยวี่เอ๋ยเหนียนยวี่ เ้ารู้หรือไม่ว่าความผิดที่เ้าทำฐานหลอกลวงฮ่องเต้นั้น แม้ว่าจะเป็ความผิดของเ้าผู้เดียวเจิ้นก็ยังสามารถสั่งปะาเก้าชั่วโคตรได้” หยวนเต๋อฮ่องเต้พูดอย่างโกรธเคืองลักษณะท่าทางอันเคร่งขรึมนั้นทำให้ผู้คนไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมอง
ปะาเก้าชั่วโคตร...
ในใจหนานกงเยวี่ยหวาดหวั่นเหนียนเฉิงที่นั่งอยู่ขาไร้เรี่ยวแรงในชั่วพริบตา
“ฝ่าา หม่อมฉันทราบเพคะ หม่อมฉันจึงมีของสิ่งหนึ่งที่จะขอทูลถวายเพคะ ขอฝ่าาโปรดพิจารณา”เหนียนยวี่กล่าวตอบด้วยเสียงแจ่มใสกังวาน ปะาเก้าชั่วโคตรหรือ? แม้จะปะาเก้าชั่วโคตร เื้ัของหนานกงเยวี่ยก็ยังมีเื้ัของตระกูลหนานกงอีก หลังจากฝ่าาพินิจชั่งน้ำหนัก ก็จะไม่สามารถลงมือกับพวกเขาได้อีก
เหนียนยวี่หยิบถุงปักดิ้นออกมาจากหน้าอกผู้คนด้านข้างมองไปที่ถุงปักดิ้น มิมีผู้ใดรู้ว่าข้างในเป็อะไร
จนกระทั่งถุงปักดิ้นถูกส่งไปถึงมือของหยวนเต๋อฮ่องเต้ พระองค์ทรงหยิบแผ่นป้ายชิ้นหนึ่งออกมา ผู้คนมากมายรู้ได้ในทันทีแทบทุกคนตรงนั้นยากที่จะปกปิดความประหลาดใจไว้ได้สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ป้ายอภัยโทษ...”ครั้นหยวนเต๋อฮ่องเต้เห็นป้ายอภัยโทษ มือก็สั่นไปชั่วครู่หนึ่ง
ป้ายอภัยโทษชิ้นนี้นับว่าเป็ของศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเป่ยฉี
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นต่างก็รู้ดีครั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังทรงครองราชย์อยู่พระองค์ทรงมอบป้ายอภัยโทษให้เป็สินเดิมขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ พระขนิษฐาของพระองค์ทว่าวันนี้ ป้ายอภัยโทษนี่มาปรากฎอยู่ในมือของเหนียนยวี่ได้อย่างไรกัน?
ฝั่งข้างหนึ่งในพระที่นั่ง จ้าวเยี่ยนผู้ซึ่งเฝ้าดูเื่ราวทั้งหมดนี้อย่างสงบเงียบ ท้ายที่สุดก็มีคลื่นระลอกหนึ่งเกิดขึ้นในดวงตา
“นี่...ป้ายอภัยโทษจะมาอยู่กับเ้าไปได้อย่างไรกัน?”หยวนเต๋อฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวไปข้างหน้า
“ขโมยมานางต้องขโมยมันมาแน่...” เหนียนเฉิงฉุกละหุกพูดขึ้นมาตามใจคิดและทันทีที่ตัวตนของเหนียนยวี่ได้รับการยืนยันแล้วเช่นนั้นใครจะเป็แพะรับบาปให้เขา
เหนียนเฉิงในเวลานี้ ลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยอย่างไร้เหตุผล
“ผู้ใดเป็คนพูดว่านางขโมยมา? เห็นได้ชัดว่าเป็เปิ่นกงที่เป็ผู้มอบให้นางไปเอง”
เสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นตรงเวลาพอดี องค์หญิงชิงเหอบนเกี้ยวที่อยู่หน้าประตูยกยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า “เสด็จพี่ชิงเหอไม่ค่อยสบาย ขอทรงอนุญาตให้นั่งเกี้ยวเข้าไปในลานโถงได้หรือไม่เพคะ?”
องค์หญิงชิงเหอและฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็พี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮ่องเต้รัชสมัยปัจจุบันที่เป็พี่น้องต่างมารดาอีกด้วย ยามที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนครองราชบัลลังก์ พระองค์ทรงรักใคร่พระขนิษฐาผู้นี้เป็อย่างยิ่ง ภายหลังครั้นหยวนเต๋อฮ่องเต้สืบราชบัลลังก์ต่อ ความรักใคร่ต่อองค์หญิงใหญ่ชิงเหอก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น ทั้งยังรับรู้ว่านางยากที่จะตั้งครรภ์ จึงยิ่งไม่จำเป็ต้องบังคับให้นางมากพิธี
“รีบเข้ามาเถิด จัดที่นั่งให้องค์หญิงใหญ่” เสียงของหยวนเต๋อฮ่องเต้ดังก้องกังวาน
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเข้าไปในห้องโถงและนั่งลงบนตั่ง มองเหนียนยวี่ด้วยรอยยิ้ม “ยวี่เอ๋อร์ กล่าวกับฮ่องเต้ไปเถิดว่าเ้าเอาป้ายอภัยโทษไปเพื่ิอจะขออภัยโทษให้ความผิดของผู้ใด”
เชิงอรรถ[1]
เหนียงเหนียง หรือพระนาง คำเรียกต่อท้ายยศฝ่ายในในวังหลวง
[2] มารดาใหญ่ คำเรียกที่ลูกอนุทุกคนเรียกภรรยาเอกของบิดา
[3] เจิ้น คำเรียกแทนตัวของฮ่องเต้