เทียนพี่ขมวดคิ้ว “เ้าคิดว่าจะปลูกปทุมหงสาเกล็ดน้ำค้างได้หรือ? ผิดแล้ว สมุนไพรนี้เป็ธรรมชาติสรรค์สร้าง ในอาณาจักรฉางจิงมีเขาเสวียนิที่หนาวเย็นจนเป็น้ำแข็งตลอดปี ที่แห่งนั้นน้ำแข็งและหิมะไม่เคยละลาย ปทุมหงสาเกล็ดน้ำค้างเติบโตบนเขาน้ำแข็ง เบ่งบานในวันที่เจ็ดกรกฎาคมของทุกปี หากหิมะตก ปทุมหงสาเกล็ดน้ำค้างจึงจะก่อตัวเป็รูปร่าง มิเช่นนั้นจะเป็เพียงดอกบัวสีม่วงไร้มูลค่า ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเพาะปลูกมันได้ หลายคนยังเข้าใจว่าดอกบัวม่วงเป็ยาวิเศษ หรือเปลี่ยนเป็ยาวิเศษเมื่อััน้ำแข็ง”
คำอธิบายของเทียนพี่ทำให้ฮวาชีเยว่กังวลขึ้นมา หมายความว่านางต้องขึ้นเวทีประลองยุทธ์ของสกุลจี้!
“ได้ยินว่าปทุมหงสาเกล็ดน้ำค้างสูงค่านัก จะปรากฏขึ้นทุกหนึ่งร้อยปี มิใช่สกุลจี้จะจัดเวทีประลองยุทธ์หรือ? หากเ้ากำจัดคู่แข่งทั้งหมดได้ เช่นนี้เ้าก็ได้ปทุมหงสาเกล็ดน้ำค้างแล้ว!”
แม้จะเป็หนทางเดียว ทว่าอย่างไรฮวาชีเยว่ก็เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสำเร็จกระบวนการดูดซึมเท่านั้น ยังไม่เข้าสู่ขั้นหน่ออ่อนด้วยซ้ำ
นางทราบว่าฮวาเมิ่งซือและคนในตระกูลต่างก็สำเร็จขั้นหน่ออ่อนแล้ว เช่นนี้นางจะเอาชนะคู่แข่งมากมายได้อย่างไร?
ทันในนั้นดวงตานางก็แวววาวขึ้นมา นางยังมีวิธีแก้ปัญหา แต่ยังต้องอาศัยบุรุษเบื้องหน้าช่วยเหลือ
“อาจารย์ สอนวิชาศาสตร์บงการิญญาให้ข้าเถอะเ้าค่ะ! ข้าอยากเป็ผู้ใช้ิญญา! ข้ารู้ ข้ารู้ว่าหาก้าเอาชนะคู่แข่งทั้งหมด ข้าจำต้องไปให้ถึงระดับเมฆาทะยาน ทว่าข้ามีเวลาไม่มากแล้ว ดังนั้นข้าขอเรียนวิชาศาสตร์บงการิญญาก่อนได้หรือไม่? อย่างไรก็ไม่มีใครทราบวิชาศาสตร์บงการิญญา โลกนี้มีผู้เชี่ยวชาญเพียงแค่สามคนเท่านั้นมิใช่หรือเ้าคะ?”
ั์ตาของฮวาชีเยว่ขยายกว้าง เต็มไปด้วยความปรารถนาและเฝ้าคอย ดวงตาฉ่ำน้ำสะท้อนใบหน้าหล่อเหลายั่วยวนของเทียนพี่ กลายเป็ภาพอันน่าดูชม
“เ้าอยากเรียนวิชาศาสตร์บงการิญญาจริงหรือ?” เทียนพี่ขมวดคิ้ว “หากเ้าเรียนและใช้วิชานี้ในการแข่งขัน ย่อมต้องมีปรมาจารย์ที่จดจำวิชาศาสตร์บงการิญญาได้ กลายเป็สร้างปัญหาให้แก่ตนเอง”
คนพวกนั้นจะไล่ตามฮวาชีเยว่อย่างบ้าคลั่ง ยกยอนาง อ้างตัวเป็ผู้มีพระคุณของนาง ้าให้นางรับเป็ศิษย์
กระทั่งปรมาจารย์เฒ่าบางคนก็ยังต้องยอมลดศักดิ์ศรีคว้าชายกระโปรงฮวาชีเยว่!
หากนางมีลูกศิษย์ลูกหามากมายแล้ว นางจะยัง้าอาจารย์ผู้นี้อยู่อีกหรือ?
ฮวาชีเยว่เป็คนรอบคอบ ในฐานะภรรยาพ่อค้า นางย่อมทราบวิธีเข้าหาผู้อื่นทั้งยังวิธีคว้าความเป็ใหญ่ในการค้าขาย
“อาจารย์ไม่ต้องกังวล ข้าย่อมไม่ลืมท่าน... อย่างไรข้าก็เพียง้าแข็งแกร่งขึ้น...เป็ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรฉางจิง กระทั่งแข็งแกร่งที่สุดในโลก จากนั้นจะได้ไม่มีใครกล้าทำร้ายข้าและเทียนซีอีก” มุมปากฮวาชีเยว่ยกเป็รอยยิ้มเ็า ดวงตาคู่นั้นราวกับผ่านทัณฑ์ทรมานมานับพันปี เปี่ยมด้วยความอาฆาต
เทียนพี่ชะงักงัน สายตาของฮวาชีเยว่ก่อนหน้านี้มีเพียงความบ้าคลั่งและเกลียดชัง ยามนี้นางใจเย็นลงแล้ว ทว่าราวกับผู้ที่ใช้ชีวิตมานานนับพันปี
เขาแตะกระเป๋าตนเอง แล้วจึงดึงเอาทองแผ่นบางออกมา ััตัวอักษรที่สลักอยู่บนนั้นอย่างทะนุถนอม “เช่นนั้น ข้าก็จะสอนมนตรานี้ให้แก่เ้า”
เทียนพี่ส่งมอบแผ่นทอง ฮวาชีเยว่ชะงักไป มิคาดเขาจะตกลงง่ายดายนัก
ก่อนหน้านี้เขายังดูกังวลอยู่บ้าง
อันที่จริง ศาสตร์บงการิญญานี้เป็วิชารุนแรงที่ในโลกมีคนรู้เพียงสามคน หากรวมเทียนพี่แล้วก็เป็สี่
หากนาง้าเรียนศาสตร์บงการิญญา ในอนาคตย่อมต้องประสบาแนับไม่ถ้วน ทว่านางไม่มีทางเลือกอื่นอีก
หากนางไม่เรียนวิชานี้ นางย่อมไม่อาจรักษาคอของเทียนซี
หากยังคงไร้ประโยชน์ จะเกิดใหม่ไปเพื่ออะไรเล่า?
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” ฮวาชีเยว่รับแผ่นทอง ก้มหัวให้เทียนพี่เพื่อแสดงความขอบคุณ
ในดวงตาบุรุษรูปงามเปี่ยมด้วยอารมณ์หลากหลาย ั์ตาเขาดังทะเลลึกที่มีพายุซ่อนอยู่ภายใน ความลึกล้ำเกินหยั่งราวกับสามารถดูดกลืนผู้คนเข้าไปได้
บนแผ่นทองมีเพียงหนึ่งร้อยตัวอักษร ยากจะเข้าใจ ทว่ามีเทียนพี่คอยอธิบายอยู่ข้างๆ ฮวาชีเยว่จึงเข้าใจถ้อยคำเ่าั้
แม้จะมีใครเผยแพร่ถ้อยคำเหล่านี้ออกไป คนที่เข้าใจในโลกใบนี้ก็มีน้อยนิดนัก ทว่าในโลกกว้างใหญ่หากมีอัจฉริยะหนึ่งหรือสองคนเข้าใจได้ขึ้นมา ก็เป็จุดเริ่มต้นของมหาวิบัติแล้ว
“จำเอาไว้ ในฐานะผู้บงการิญญา ก่อนจะถึงระดับห้า แต่ละเดือนเ้าใช้ความสามารถรวมกันได้ไม่เกินหนึ่งเค่อเท่านั้น! หากละเมิดกฎนี้ เ้าจะสูญเสียพลังปราณทั้งหมด ร่างกายะเิและกลายเป็บ่อเื”
เมื่อจบคำอธิบาย เทียนพี่ก็เตือนฮวาชีเยว่อย่างเคร่งเครียด
ฮวาชีเยว่พยักหน้ารัว “แล้วถ้าสูงกว่าระดับห้าล่ะเ้าคะ?”
“จนกว่าจะถึงระดับหกขั้นต่ำ จะใช้ความสามารถได้เพียงสามครั้งต่อเดือน แต่ละครั้งไม่เกินสามเค่อ”
เทียนพี่สีหน้าไร้อารมณ์ นานๆ ครั้งจะแสดงท่าทีเช่นนี้ ปกติเขาเป็คนขี้เล่นเอาแน่เอานอนไม่ได้ คล้ายเด็กน้อยที่ไม่ยอมโต
ทว่าในพริบตานี้ สีหน้าเขาทำให้ฮวาชีเยว่เข้าใจว่านี่เป็เื่เคร่งเครียดเพียงใด
“อาจารย์เ้าหิวแล้ว เอาโสมโลหิตมาให้ข้า” อยู่ๆ เทียนพี่ก็ชี้โสมที่ทอประกายอยู่ไม่ไกลขึ้นมาดื้อๆ
ฮวาชีเยว่ทำตาม ทว่าโสมโลหิตกลับถอยหนีลงใต้ดินทันทีที่ไปถึง
“ขี้ขลาดนัก! กล้าแต่จะอยู่ ไสหัวออกมา!” ฮวาชีเยว่ใช้พลังปราณของนางกระทืบพื้นอย่างหมดความอดทน พื้นสั่นะเืเล็กน้อย เทียนพี่รู้สึกราวกับได้เห็นดอกไม้ผลิบานงดงาม
พลังปราณของฮวาชีเยว่มีมากกว่าคนทั่วไปถึงห้าเท่า พลังปราณในโลกนี้จึงได้ลดลงครึ่งหนึ่งทุกคราวที่นางเข้ามา ทว่าเมื่อจากไปพลังปราณก็กลับมาเต็มอีกครั้ง
อัจฉริยะโดยแท้!
เทียนพี่ยินดีนักที่ศิษย์ตนทรงพลังเพียงนี้ เช่นนี้อีกไม่นานเขาย่อมได้เป็อิสระ
โสมโลหิตถูกฮวาชีเยว่ใช้พลังปราณตบพื้นจนโผล่ออกมา ใบของพวกมันห่อเหี่ยวเริ่มแห้งลงราวกับขาดน้ำเป็เวลานาน คล้ายกำลังจะตาย
ฮวาชีเยว่ดึงโสมต้นหนึ่งออกมา มีขนาดประมาณกำปั้นของนาง
ชาติที่แล้วนางเป็แม่ค้า มีโสมเป็ร้อยพันทว่าไม่เคยมีโสมต้นใดที่ใหญ่โตและแปลกประหลาดเช่นนี้!
โสมโลหิตเป็ที่้าของนักหลอมยา แต่กลับเป็สิ่งหายากที่โลกภายนอกตามหาทั่วทั้งูเาเจอออกมาต้นหรือสองต้นก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
เมล็ดพันธุ์ที่เทียนพี่มอบให้ฮวาชีเยว่ล้วนมีแต่สมุนไพรล้ำค่า หากนางมีความทะเยอทะยานอีกสักนิด เพียงขายสมุนไพรเหล่านี้ก็สามารถอยู่อย่างสบายไปได้ตลอดชีวิต
“ไม่ต้องกังวล อีกไม่นานเ้าก็จะได้เป็โอสถวิเศษแล้ว” ฮวาชีเยว่ยิ้มกล่าว ขณะที่พูดลำต้นโสมโลหิตก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ราวกับได้รับสายฝนชุ่มฉ่ำ
นางถือโสมโลหิตเอาไว้ เดินไปถึงหน้าเทียนพี่แล้วส่งต่อให้เขาอย่างเคารพ “อาจารย์ นี่เ้าค่ะ”
เทียนพี่ยิ้ม ดวงตาสีดำคู่นั้นลุกโชนจนทำให้ฮวาชีเยว่คิดถึงนิสัยร้ายกาจของผู้เป็อาจารย์ขึ้นมา
บัดซบ บุรุษผู้นี้ร้ายกาจนัก!
นางรู้สึกคล้ายกับิญญาถูกดูดกลืนเข้าไปยามได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำ “มากับข้า…”
ฮวาชีเยว่ไม่ลังเล ไม่ขัดขืน เพียงก้าวตามเทียนพี่ไปทางใต้ นางไม่เคยเดินดูโลกใบนี้มาก่อน ยามนี้ทั้งร่างกายและิญญาต่างก็ถูกเทียนพี่นำทาง
แม้นางจะมีสติแต่กลับไม่อาจควบคุมการกระทำ ได้แต่ประหลาดใจอยู่เงียบๆ หรือนี่คือวิชาบงการิญญากันแน่?
ฮวาชีเยว่ทั้งประหลาดใจทั้งชื่นชม แขนขานางล้วนแต่เชื่อฟังคำสั่งเทียนพี่
แต่ตัวนางที่เป็นายของร่างกายกลับไม่มีอำนาจควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองแม้แต่น้อย
เดินไปได้ราวร้อยเมตร เบื้องหน้าก็กลายเป็สายหมอก ที่สุดขอบฟ้า ท้องฟ้าหม่นมัวพลันแตกออก ปรากฏแสงทอประกายลงมาสู่ร่างของฮวาชีเยว่
ฮวาชีเยว่ราวกับจุดกำเนิดแสงในโลกอันมืดหม่นอับชื้น ดวงตางดงามสะท้อนภาพคลื่นน้ำ คิ้วเรียวราวกับภาพวาด ทั่วร่างนางเปล่งประกาย ยามที่หญิงสาวอ้าปากเอ่ยคำ เทียนพี่พลันหัวเราะ ปลดปล่อยฮวาชีเยว่แล้วะโลงสู่บ่อน้ำพุร้อนเบื้องหน้า
เสียงสายน้ำสาดกระเซ็น ในที่สุดนางก็ควบคุมร่างกายตนเองได้แล้ว นางจึงได้ยกมือขึ้นมานวดศีรษะที่รู้สึกหนักๆ ขึ้นมา
นางตามเขามาถึงที่นี่ด้วยจิตใจสับสน ยามนี้นางเห็นชัดเจนแล้ว เห็นบุรุษรูปงามผู้นั้นราวกับเทพผู้เสด็จลงมาจาก์ ในดวงตาเปล่งประกายเริงร่าราวกับสะท้อนท้องฟ้าเอาไว้ ทำให้รอยยิ้มของเขายิ่งลึกลับเหลือเกิน
“ลงมาสิ ที่นี่คือบ่อน้ำพุร้อนิญญา แช่น้ำที่นี่ทำให้พลังปราณของเ้าเพิ่มพูนขึ้นมากเทียบเท่าการฝึกปราณถึงครึ่งปี”
บนเส้นผมเทียนพี่มีหยดน้ำเกาะพราวพราย ส่องประกายสว่างไสวราวไข่มุก สายน้ำทำให้ใบหน้าเขาเปียกชื้น บุรุษงามผู้นี้ดูอ่อนโยนเยือกเย็น จนความร้ายกาจราวกับจะหายไป
ฮวาชีเยว่ส่ายหน้า “ไม่ได้...บุรุษสตรียังมิได้แต่งงาน มิหนำซ้ำ…”
มิหนำซ้ำบุรุษร้ายกาจผู้นี้ยังอยู่ในบ่อน้ำร้อน บุรุษสตรีแช่น้ำร้อนร่วมกัน แม้จะไม่มีผู้ใดเห็น แต่สำหรับนางก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วน
เทียนพี่เลิกคิ้วแล้วยิ้มออกมา “เช่นนี้เ้าจะปล่อยพลังปราณไว้เช่นนี้หรือ? ยอมละทิ้งโอกาสก้าวหน้าเพียงเพราะความเหมาะสมเช่นนี้?”
จิตใจฮวาชีเยว่สั่นไหว ขณะที่นางยังลังเล เทียนพี่ก็ะโขึ้นมาจากสายหมอก กอดนางเอาไว้
จากนั้นจึงะโลงไปในสระอีกครั้ง
ผิวน้ำพลันกระเซ็น ตามด้วยเสียงกระทบสายน้ำ ร่างกายของนางพลันถูกรายล้อมด้วยน้ำร้อนของบ่อน้ำร้อน
นางผงะไปก่อนจะรู้สึกตัว พบว่ายามนี้นางอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเทียนพี่ กลิ่นหอมบางเบาของบุรุษลอยมา ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ นางรีบปัดมือเขาออกจากเอว ดันร่างตนแยกออกจากเขา
เมื่อแยกจากเขาได้ ท่ามกลางสายหมอกเช่นนี้นางก็มิอาจเห็นสีหน้าเขาได้ชัดเจนนัก ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะคล้ายหยอกเย้า ทว่าเทียนพี่มิได้กล่าวสิ่งใด
ฮวาชีเยว่ผ่อนลมหายใจ หัวใจนางเต้นระรัวดังลั่น ร่างกายของเขาอุ่นมากนัก
นางใจเย็นลงแล้วจึงสูดลมหายใจเข้า ััพลังปราณจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลั่งไหลเข้าร่างกาย
เทียนพี่พูดถูก พลังปราณในที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าโลกภายนอกมากมายนัก
นางปล่อยกายไปกับการโคจรลมปราณ เมื่อซึมซับพลังปราณเข้าไปมากพอ นางก็มองดูถ้อยคำบนแผ่นทอง จำคำอธิบายของเทียนพี่ แล้วจึงเริ่มโคจรพลัง
ระหว่างที่กำลังโคจรพลังนั้น เทียนพี่ก็ยกมือเรียวขึ้นจากผิวน้ำ
สายหมอกบนฟากฟ้ามิใช่สีเือีกต่อไป ทว่ากลายเป็สีดำหม่นมัวราวกับวันฟ้าครึ้ม
ทว่าแสงสว่างที่ส่องจากรอยแตกบนฟากฟ้ากลับเข้มข้นขึ้น ตามมาด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าเทียนพี่
เขาโบกมือช้าๆ หมอกเบื้องหน้าจางหาย ตรงข้ามเขาคือฮวาชีเยว่ที่กำลังตั้งสมาธิ
ยามนี้ฮวาชีเยว่ตัวเปียกปอน ชุดสีฟ้าบางเบาแนบผิวกายเผยูเาลูกน้อยบนทรวงอก ทำให้เทียนพี่ขมวดคิ้ว สีแดงจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เขาหลุบตาลง โบกไม้โบกมืออีกครั้งให้สายหมอกกลับมาอยู่ที่เดิม