เมื่อกลับถึงบ้านสกุลหลิง หลิงมู่เอ๋อร์ดื่มน้ำพุิญญาลงไป จากนั้นก็กินลูกกลอนขจัดพิษลงไปเม็ดหนึ่ง
“หึ! รู้ว่าข้าเป็หมอ ยังกล้าวางยาพิษข้า ไม่รู้ว่าสมองของสองแม่ลูกนั่นโตมาอย่างไรจริงๆ” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างโมโห “”ชอบวางยาพิษใช่หรือไม่? ครั้งหน้าเมื่อพบกัน จะต้องมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พวกเ้าแน่ ให้พวกเ้าได้รู้ว่า พิษควรจะวางอย่างไร จึงจะภูตเทพไม่อาจรับรู้
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกองค์หญิงที่สมองพิการนางนั้นทำให้โกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ นางชอบซั่งกวนเซ่าเฉิน ก็กล้าลงมือกับนาง ที่แท้ดูถูกนางหรือดูถูกซั่งกวนเซ่าเฉินกันแน่?
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ชอบนาง หรือว่าวางยาพิษนางจนตายแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินก็จะชอบคนสมองพิการผู้นางนั้นแล้วหรือ? จากนิสัยของซั่งกวนเซ่าเฉิน ต่อให้ในโลกนี้เหลือนางที่เป็ผู้หญิงเพียงคนเดียว เขายอมฆ่าตัวตาย ก็ไม่มีทางชอบนาง
“นี่เ้าเป็อะไรไป? ผู้ใดทำให้เ้าโมโหถึงเพียงนี้กัน?” ในยามที่โจวฉี่เยี่ยนเข้าประตูมาแล้วเห็นท่าทางของหลิงมู่เอ๋อร์ ในดวงตาก็สาดประกายเยียบเย็น
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้สังเกตพบสีหน้าของโจวฉี่เหยียน เห็นเขาถามขึ้นมา จึงเล่าเื่ที่ประสบมาเมื่อครู่ให้เขาฟัง นางเห็นโจวฉี่เยี่ยนเป็เพื่อน เพียงแต่อยากจะแบ่งปันความอกสั่นขวัญแขวนเมื่อครู่เท่านั้นเอง มิได้มีความหมายอื่นใด ทว่า โจวฉี่เยี่ยนมิได้คิดเช่นนั้น เขารู้เื่ที่หลิงมู่เอ๋อร์ได้ประสบมาแล้ว และได้แอบคิดบางสิ่งอยู่
“เ้ายังคงดึงดูดปัญหาอย่างง่ายดายเช่นเดิมจริงๆ” โจวฉี่เยี่ยนมองนางเรียบๆ “โรงหมอของเ้ายังคงอย่าได้ไปแล้ว องค์หญิงที่เอาพาลเกเรนางนั้นไม่มีทางปล่อยเ้าไปแน่”
“ไม่ได้!” หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหัว “ในโรงหมอมีคนไข้ของข้า ข้าไม่อาจละทิ้งพวกเขาได้ บัดนี้ มีคนจำนวนมากมาจากที่ไกลอย่างไม่รู้ที่ไปที่มา หากข้าปิดโรงหมอแล้ว พวกเขาจะทำเช่นไร? ทั่วทั้งเมืองหลวงแห่งนี้ มีเพียงที่ข้าเท่านั้นที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาต่ำที่สุด ส่วนใหญ่ล้วนเป็คนยากจน โดยพื้นฐานแล้วไม่อาจเชิญหมอท่านอื่นได้”
“ข้าว่าเ้าอย่าเรียกเซียนแพทย์เลย เรียกพระโพธิสัตว์ดีกว่า นิสัยใจอ่อนนี้ ช้าเร็วต้องทำร้ายเ้าแน่” โจวฉี่เยี่ยนมองนางอย่างเป็กังวล
นางจิตใจดีงามเกินไป ใจดีเป็เื่ที่ดี แต่ก็เป็จุดอ่อนเช่นกัน เพื่อจะปกป้องสาวน้อยที่แสนบริสุทธิ์นางนี้ เขาจะต้องส่งคนไปปกป้องนางอย่างลับๆจึงจะได้
“เ้ามาหาข้ามีเื่ใดหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์ระบายความอัดอั้นในใจออกมา ในอกก็พลันปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย
นางเห็นโจวฉี่เยี่ยนเป็พี่ชาย เป็เพื่อน ดังนั้น อะไรก็บอกเขา ทว่า โจวฉี่เยี่ยนผู้นี้มีความในใจมากเกินไป กลับไม่ยินยอมบอกเล่าเื่ของตนเองกับนาง
ที่จริงแล้วนางเข้าใจความหมายของเขา สิ่งที่เขาจะทำในตอนนี้อันตรายอย่างยิ่งยวด เขาไม่บอกนาง เพราะไม่อยากให้นางเสี่ยงอันตรายไปด้วย บุรุษผู้นี้ แท้จริงแล้วอ่อนโยนเป็อย่างมาก
“วันนี้องค์ชายเจ็ดไม่ค่อยสบาย ข้าสังเกตการณ์ตอบสนองของเขา เหมือนจะได้รับพิษแล้ว เ้าสามารถช่วยข้าดูอาการร่างกายของเขาได้หรือไม่” โจวฉี่เยี่ยนมองการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ ขอเพียงหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เต็มใจแม้เพียงน้อย เขาก็จะยกเลิกความคิดนี้ทันที เขาไม่เคยคิดจะบีบบังคับนางมาก่อน แม้จะเพื่อผู้ที่มีความสำคัญก็ตาม
หลิงมู่เอ๋อร์กลับมิได้คิดมากเช่นเขา เพราะอย่างไร ่นี้ราชนิกุลที่มาหานางเพื่อรักษาโรคก็มีไม่น้อย ก็มิได้ขาดเพียงหนึ่งคนหรือครึ่งคนนี้
“ได้ แต่เขามิได้ให้หมอหลวงตรวจอาการหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยปากถาม
โจวฉี่เยี่ยนเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง มองนางกล่าวว่า “เขาไม่เชื่อใจหมอหลวง ในวังมีผู้ที่เขาไม่วางใจ”
“เข้าใจแล้ว เขาไม่ไว้ใจหมอหลวง หมอข้างนอกความรู้ทางการแพทย์ก็ใช้ไม่ได้อีก ดังนั้น เ้าจึงได้คิดถึงข้าขึ้นมา” หลิงมู่เอ๋อร์ค้อนเขาทีหนึ่ง “ข้าสามารถช่วยเ้าได้ พี่น้องแท้ๆก็ต้องคิดบัญชีให้กระจ่าง หนึ่งพันตำลึง ไม่มีปัญหากระมัง?”
“ย่อมแน่นอน หากเ้าสามารถรักษาเขาให้หายได้ อย่าว่าแต่พันตำลึง หมื่นตำลึงก็สมควร” โจวฉี่เยี่ยนเห็นนางมิได้ปฏิเสธ อีกทั้งยังมิได้รู้สึกต่อต้าน ก็ถอนใจออกมา
“เ้าอยากแก้แค้น ข้าไม่ห้ามเ้า แต่ในฐานะเพื่อน ยังคงหวังให้เ้ารักษาตัวให้ดี” หลิงมู่เอ๋อร์ตบบ่าของเขา
“เ้ากับซั่งกวนเซ่าเฉิน…” โจวฉี่เยี่ยนอยากถามอยู่ตลอด แต่ไม่รู้ว่าตนควรใช้ฐานะใดไปถาม ตอนนี้ ถามออกมาแล้ว เมื่อเห็นนางเขินอาย ก็รู้สึกว่าคำถามที่ถามออกมาเมื่อครู่ช่างน่าหัวเราะนัก “เ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”
“เ้าเป็เพื่อนของข้า เขาเป็คนที่ข้าชอบ ข้าไม่หวังว่าให้อนาคตพวกเ้าจะกลายเป็ศัตรูกัน หากเป็เช่นนั้น ข้าจะวางตัวลำบากมาก” หลิงมู่เอ๋อร์มองโจวฉี่เยี่ยน “พวกเ้าจะกลายเป็ศัตรูกันหรือไม่?”
ในใจของโจวฉี่เยี่ยนขมฝาด นับจากวันที่เขาตัดสินใจแก้แค้นเป็ต้นมา เขาก็สูญเสียสิทธิ์ที่จะอยู่ข้างกายของนางไป มีบางครั้งที่เขาคิดว่า หากยามนั้นมิได้จากข้างกายของนางมา บัดนี้ ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายของนาง จะเป็เขาหรือไม่?
น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มีคำว่า ‘ถ้าหาก’ เขาจึงไม่มีโอกาสได้รับคำตอบที่อาจเป็ไปได้
“ไม่มีทาง” โจวฉี่เยี่ยนตอบนางอย่างมั่นใจ “เ้าอย่าได้กังวลไปเรื่อย วันนี้อากาศไม่เลว พวกเราไปเดินหมากในสวนซักกระดานเป็อย่างไร?”
“ดีสิ! เฉินอะไรก็ดี แต่เป็หมากรุกเหม็น[1]ตะกร้าหนึ่ง ในเชิงหมากนั้น มีเพียงเ้าที่สามารถเล่นเป็เพื่อนข้าได้แล้ว ” เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์คิดถึงทักษะในการเดินหมากของซั่งกวนเซ่าเฉิน ก็อดหลุดหัวเราะไม่ได้ ยามที่นางหัวเราะออกมานั้นอบอุ่นมาก แสงสว่างที่สาดส่องออกมานั้นเจิดจ้าจนเขามิอาจลืมตา
เขาอยากกล่าวว่า ต่อให้ทักษะการเดินหมากของเขาแย่เป็พิเศษ เ้ายังมิใช่เต็มใจจะเดินร่วมกับเขาไปชั่วชีวิตหรือ เห็นได้ว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ มิใช่ทำได้ดี ก็จะได้ในสิ่งที่้า
โรงหมอ หลิงมู่เอ๋อร์เขียนใบสั่งยาเสร็จก็มอบให้ซางจือที่อยู่ด้านข้าง เสียงที่เย็นและใสกระจ่างดังขึ้น “คนถัดไป”
ในเวลานั้น ก็มีเสียงร้องด้วยความเ็ปดังเข้ามา “ท่านพี่…ท่านพี่ ท่านตื่นเร็วเข้า…ท่านพี่…”
ซางจือและหลิงมู่เอ๋อร์มองหน้ากัน หลิงมู่เอ๋อร์วางพู่กันในมือลง ยืนขึ้นมาแล้วเดินออกไป
ที่ประตูของโรงหมอ สตรีที่ออกเรือนแล้วนางหนึ่งประคองบุรุษที่กระอักเืสดออกมา ร้องไห้อย่างไม่อาย หลิงมู่เอ๋อร์รู้จักบุรุษผู้นั้น เขามิใช่ผู้ที่พึ่งออกจากโรงหมอหรอกหรือ?
สตรีนางนั้นเห็นหลิงมู่เอ๋อร์เดินออกมา ก็วางบุรุษในอ้อมกอดลง พุ่งไปทุบตีลงบนร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ว่า “เ้ามันเป็ฆาตกร! เ้าทำให้ผู้ชายของข้าต้องตาย ข้าขอเสี่ยงชีวิตกับเ้าแล้ว! เซียนแพทย์อะไรกัน? เป็ภูตผีปีศาจชัดๆ ปีศาจที่ฆ่าคนไม่กะพริบตา เ้าคืนผู้ชายของข้ามา เ้าคืนผู้ชายของข้ามา”
ซางจือผลักสตรีนางนั้นออกไป ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ท่านป้าท่านนี้ ท่านอย่างได้อารมณ์พลุ่งพล่านเช่นนี้ ให้คุณหนูของพวกเราตรวจดูก่อนว่า อาการผู้ชายของท่านเป็อย่างไร?”
“อย่ามาเข้าใกล้ผู้ชายของข้า” สตรีนางนั้นล้มลงบนพื้น เมื่อได้ยินคำพูดของซางจือ รีบมาบังอยู่เบื้องหน้าชายผู้นั้น ถลึงตาใส่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างดุร้าย พวกเ้าทำให้เขาตายแล้ว แล้วยังคิดจะทำสิ่งใดอีก? ที่บ้านข้ายังมีลูกอีกสามคนรอกินข้าว ตอนนี้ผู้ชายตายแล้ว ข้ากับลูกก็ไม่อาจมีชีวิตรอดได้แล้ว
คนที่ได้ยินเสียงต่างล้อมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ มีคนชี้ไปที่สตรีนางนั้นและบุรุษผู้นั้น วิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นา ๆ และก็มีผู้ที่ใช้สายตาแสดงความสงสัยมองมาที่หลิงมู่เอ๋อร์
“แม่นางเซียนแพทย์มีทักษะการแพทย์สูงส่ง จะทำให้ผู้ชายของเ้าตายได้อย่างไร? ผู้ชายของเ้าเองไม่ไหวแล้วหรือเปล่า! แม่นางเซียนแพทย์เป็หมอ ไม่ใช่เทพเซียน อาการป่วยของผู้ชายเ้ารุนแรงเกินไป นางก็ไม่อาจเปลี่ยนคนตายให้ฟื้นคืนชีพ” หญิงชรานางหนึ่งก้าวออกมา เป็คนแรกที่ตั้งคำถามต่อคำพูดของหญิงนางนั้น
“นั่นสิ ร่างกายของข้าทรุดโทรมจนเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย แม่นางเซียนแพทย์ก็รักษาข้าจนหายกลับมาแล้ว ผู้ชายของเ้าไม่ไหวจริงๆแล้วกระมัง!”
“นั่นสิ นั่นสิ เ้าอย่าได้มาใส่ร้ายแม่นางเซียนแพทย์อยู่ที่นี่ ผู้ชายของเ้าตายแล้ว ก็รับไปหาสถานที่ฝังเขาเถอะ อย่าได้มาหาเื่แม่นางเซียนแพทย์ที่นี่”
“ผู้หญิงคนนี้ คงมิได้้าหลอกขูดรีดเงินแม่นางเซียนแพทย์หรอกกระมัง?”
เมื่อสตรีนางนั้นได้ยินคำพูดของคนเ่าั้ ในดวงตาก็มีความลนลานแวบผ่าน นางมองหาคนเมื่อครู่ในกลุ่มฝูงชน ทว่าสิ่งใดก็มองไม่เห็น
ในยามนั้นเอง สตรีนางนั้นขึ้นหลังเสือแล้วยากจะลง จึงได้แต่ฝืนรับมือต่อไปเท่านั้น
“พูดเหลวไหล! ผู้ชายของข้าเพียงเป็หวัดธรรมดาเท่านั้น จะป่วยหนักได้อย่างไร? ความจริงแล้วนางเป็แค่หมอที่ไม่ได้เื่ รักษาผู้ชายของข้าจนตายแล้ว” สตรีนางนั้นเปิดเสื้อของบุรุษออก กล่าวต่อหน้าทุกคนว่า “ท่านดูร่างกายที่แข็งแรงกำยำของเขาสิ มีที่ใดที่เหมือนป่วยหนักกัน? เขาถูกทำร้ายจนตายแล้วจริงๆ!”
“เ้าบอกว่าแม่นางเซียนแพทย์ทำให้ผู้ชายของเ้าตาย เยี่ยงนั้น เหตุใดนางต้องทำเช่นนี้ นางมีความแค้นกับผู้ชายของเ้าหรือ? ”เหล่าคนไข้ต่างก็ได้รับพระคุณจากหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ตลอด แน่นอนว่าย่อมไม่เชื่อคำพูดของสตรีนางนั้น รวมกับสตรีนางนี้น่าสงสัยเกินไปแล้ว ในบรรดาชาวบ้าน ก็มีคนที่เฉลียวฉลาดไม่น้อย พวกเขาพบความผิดปกติของสตรีนางนั้นแล้ว
“ข้านึกออกแล้วว่านางเป็ใคร นางมิใช่เมียของจางต้าแห่งคูน้ำสกุลจางหรือ? พวกเขาสองสามีภรรยาเป็พวกลักพาตัวเด็ก หลายปีมานี้ถูกขังอยู่ในคุกอยู่ตลอด หนึ่งเดือนก่อนฝ่าาอภัยโทษทั่วแผ่นดิน จึงได้ปล่อยพวกเขาออกมา สองสามีภรรยาคู่นี้มิใช่ตัวดีอะไร ทุกคนอย่าได้เชื่อคำพูดของพวกเขา
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว กล่าวกับซางจือว่า “เ้าไปเรียกคนจากที่ว่าการเมืองหลวงมา ข้าไม่อยากเสียเวลาบนตัวคนพวกนี้ คนไข้ของข้ายังต้องให้ข้าตรวจรักษาอีก! ล่าช้าไปอีกหนึ่งเค่อ อาการของผู้ป่วยก็ยิ่งอันตราย”
“เ้าค่ะ” ซางจือก็รู้สึกเหมือนกันว่า ไม่จำเป็ต้องเสียเวลากับคนที่โง่เขลาเช่นนี้ นางสาวเท้าก้าวใหญ่วิ่งไปยังที่ว่าการ ตั้งใจจะใช้ไม้แข็งเพื่อควบคุมสตรีผู้นี้
ในยามนี้ หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดว่าผู้ที่อยู่เื้ัเป็ใคร คนผู้นี้โง่พอจริงๆ เหตุใดจึงคิดวิธีการที่โง่เขลาเช่นนี้มาใส่ร้ายนางได้? อยากรู้เสียจริงว่าคนผู้นั้นเป็ใคร หลังจากนั้นผ่าหัวของเขาออกมา ดูว่าข้างในมีสิ่งใดกัน
“เป็ผู้ใดกำลังก่อเื่กัน?” ความเคลื่อนไหวของซางจือรวดเร็วมาก ผ่านไปเพียงไม่นานก็พาคนของทางการมาแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ชี้ไปยังสตรีที่หวาดกลัวจนสั่นไปทั้งตัวนางนั้น “คนผู้นี้ใส่ร้ายข้า ใต้เท้าใช่ควรจะมอบความเป็ธรรมให้ข้าหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์เป็บุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แม้นางจะมิใช่คุณหนูจากตระกูลใหญ่อะไร แต่ก็เป็ผู้ที่ทางการมิอาจหาเื่ด้วยได้ เพราะอย่างไรก็เป็ผู้ที่ได้รับความนิยมจากเหล่าราษฎร ต่อให้เป็ชาวบ้านธรรมดา คนของทางการก็ไม่กล้าใช้แข็งชนแข็ง หากสถานการณ์พลิกผันทำเกิดความวุ่นวายขึ้นมา หัวของพวกเขาก็ได้แต่ย้ายบ้านแล้ว
“ช่างใจกล้าเหลือเกิน ถึงกลับกล้าใส่ร้ายแม่นางเซียนแพทย์ ใครเข้ามา นำตัวสตรีนางนี้กลับไป ส่วนศพนี้…” คนผู้นั้นลำบากใจแล้ว
คงมิอาจนำศพร่างหนึ่งกลับไปด้วยกระมัง? ส่งไปที่หลุมฝังศพไร้ญาติเสียเลย?
คนผู้นั้นกำลังจะสั่งการเช่นนี้ ก็ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ขัดลงก่อน หลิงมู่เอ๋อร์ก้าวไปหาบุรุษผู้นั้น ฝังเข็มลงไปบนตัวของเขาสองเล่ม
ชายที่กระอักเืสดเมื่อครู่ก็พลันเบิกตาโพลงขึ้นมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย! ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย!” บุรุษผู้นั้นคลานขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว โขกศีรษะให้กับผู้ที่เป็ขุนนางผู้นั้น
“น่ารังเกียจจริง ๆ ถึงกลับแกล้งตายหลอกลวงทุกคน” เหล่าราษฎรโมโหแล้ว
เดิมเมื่อครู่ยังมีกำลังคิดว่าเป็ความเข้าใจผิดหรือไม่ ที่แท้ถึงกลับเป็การวางแผนให้ร้ายฉากหนึ่ง
“จับไว้! จะต้องจับตัวคนผู้นี้ไว้” เหล่าราษฎรต่างก็โมโหเป็อย่างมาก
[1] หมากรุกเหม็น เป็สำนวน หมายถึงผู้ที่มีทักษะการเดินหมากในระดับต่ำ หรือผู้ที่เดินหมากด้วยความประมาทเลินเล่อ