ไท่จื่อเฟยขมวดคิ้ว เดิมก็มิได้มีความหมายใด แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นของหลิงมู่เอ๋อร์ ไม่รู้ว่าเหตุใดแผ่นหลังจึงได้เย็นวาบขึ้นมา
บางที่เพราะคิดถึงว่าการกระทำเมื่อครู่ของหลิงมู่เอ๋อร์ทำให้นางเกือบตายไปครึ่งชีวิต และบางทีอาจเป็เพราะสตรีนางนี้มีราศีของผู้ยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งแต่กำเนิด ในยามปกติยังดี แต่เมื่อสีหน้าเคร่งขรึมลง แม้แต่ไท่จื่อเฟยที่อยู่ในตำแหน่งสูงมาหลายปีเช่นนาง ก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง ยามนี้ นางรู้สึกลำคอตีบตัน จิตใจไหวหวั่นเป็อย่างมาก
“ที่เปิ่นกงนี้มียารักษาาแที่ดีที่สุด หลังจากเ้าทาพรุ่งนี้ก็จะหายดีแล้ว” ไท่จื่อเฟยไม่รู้ว่าตนกำลังพูดสิ่งใด หลังพูดออกมาก็อยากกัดลิ้นให้ขาด
นางเป็ถึงไท่จื่อเฟย ถึงกลับกล่าวคำพูดที่แสดงการอ่อนข้อออกมา สตรีนางนี้มีสิ่งใดน่ากลัวกัน นางจำเป็ต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้หรือ? ไท่จื่อเฟยแสดงออกว่าไม่สบอารมณ์อย่างมาก
ความเคร่มขรึมบนใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์สลายไป ยกยิ้มราวกับกล้วยไม้ที่แสนสง่างามและอ่อนโยนขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยในรางวัลของไท่จื่อเฟยมากเพคะ”
“อื้ม” ไท่จื่อเฟยมองหลิงมู่เอ๋อร์ “เ้า…สนใจจะมาทำงานข้างกายของเปิ่นกงหรือไม่? เปิ่นกงย่อมไม่ทำให้เ้าเสียเปรียบแน่ รอวันใดที่กลายเป็มารดาของแผ่นดิน เปิ่นกงจะให้คนในบ้านของเ้าได้เจริญรุ่งเรือง ดำรงตำแหน่งที่สูงส่ง”
หลิงมู่เอ๋อร์มองไท่จื่อเฟย หัวเราะเยาะความเพ้อฝันของนางอยู่ในใจ สามีของนางหรือก็คือรัชทายาทองค์ปัจจุบัน เป็เพียงองค์ชายที่มีความสามารถสามัญเท่านั้น ที่ฮ่องเต้แต่งตั้งเขาเป็รัชทายาท ก็เป็เพราะความสามารถของเขาธรรมดาจนเกินไป ผู้ที่มีความสามารถเรียบง่ายไม่โดดเด่น จึงจะไม่เป็อันตรายต่อบัลลังก์ของเขา มิใช่เพราะเขาให้ความสำคัญกับองค์ชายพระองค์นี้แต่อย่างใด
น่าขำที่นางยังฝันหวานว่าจะได้เป็มารดาของแผ่นดิน แม้บัลลังก์จะมิได้ตกแก่องค์ชายเจ็ดที่โจวฉี่เยี่ยนให้ความสำคัญ ก็มิมีทางเป็รัชทายาทที่ธรรมดาสามัญและไร้ซึ่งความสามารถไปได้
“หม่อมฉันเป็เพียงสตรีนางหนึ่ง ต่อให้สามารถเข้าวังมาช่วยไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงกระทำเื่ต่างๆ แต่จะมีประโยชน์ใด? ยังมิสู้รั้งอยู่นอกวัง หากเหนียงเหนียงมีคำสั่งใด หม่อมฉันก็สามารถเข้าวังมาถวายการดูแลเหนียงเหนียงได้ทันทีเช่นเดียวกันเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธอย่างอ่อนโยน “นอกจากนี้ ปณิธานของหม่อมฉันมิได้อยู่ที่นี่ หม่อมฉันปรารถนาจะแต่งงานกับสามีที่รักและทะนุถนอมตนเอง และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเพคะ”
สายตาที่ไท่จื่อเฟยมองนางเผยแววดูแคลนออกมา สีหน้านั้นราวกำลังกล่าวว่า มิน่า ชั่วชีวิตนี้ของเ้า จึงเป็ได้แค่เพียงหมอชั้นต่ำเท่านั้น ไม่สามารถนำมาโอ้อวดได้จริงๆ
“ที่นี่ไม่มีเื่ของเ้าแล้ว เ้าสามารถถอยไปได้” ไท่จื่อเฟยไม่อยากเจอหลิงมู่เอ๋อร์ผู้หญิงคนนี้จริงๆไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แค่เห็นนางก็รู้สึกว่าในใจว้าวุ่น บนร่างของนางมีเสน่ห์ชนิดหนึ่ง เสน่ห์ที่ทำให้สตรีริษยาและทำให้บุรุษถูกดึงดูด แต่นางกลับรังเกียจกลิ่นอายนี้บนตัวนาง
ภายใต้การนำของนางกำนัล หลิงมู่เอ๋อร์ออกจากตำหนักของไท่จื่อเฟย ทว่า นางกำนัลผู้นั้นกับโยนนางไว้ที่นอกตำหนัก แล้วก็ไม่สนใจนางแล้ว
“บ่าวเป็คนข้างกายของไท่จื่อเฟย ไท่จื่อเฟยไม่อาจห่างจากบ่าวแม้เพียงเค่อเดียว แม่นางหลิงเป็คนฉลาด คิดว่าคงสามารถออกจากวังเองได้กระมังเ้าคะ!” นางกำนัลผู้นั้นมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างได้ใจ “แม่นางหลิง บ่าวกลับวังไปปรนนิบัติเหนียงเหนียงก่อนแล้ว เชิญท่านตามสบายเ้าค่ะ”
วังหลวงใหญ่เพียงใด นั่นมิใช่แค่ที่ในฉากภาพยนตร์ฉายออกมาเท่านั้น วังหลวงที่แท้จริงนั้น ใหญ่กว่าที่ภาพยนตร์แสดงออกมามากนัก อย่างน้อยสำหรับสถานที่แห่งนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่รู้จักทางจริงๆ
เห็นนางกำนัลผู้นั้นจากไปโดนไม่แม้จะหันกลับมามอง สีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ก็เคร่งขรึมลง แต่ก็มิได้เรียกนางกลับมา
นางมีเป็ร้อยวิธีที่จะจัดการกับนางกำนัลน้อยผู้นั้น เพียงแต่นางไม่้าเสียเวลาของตนเพื่อคนที่ไม่สำคัญอะไร อีกอย่าง นางก็ไม่อยากก่อเื่ในที่แห่งนี้ด้วย
ที่นี่เป็วังหลวง ในที่ลับมีองครักษ์ลับไม่น้อย และยังมีสายลับของคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่แห่งนี้ ก็คือสถานที่ที่สายน้ำลึกและเปลวไฟแผดเผา นางควรรีบจากไป
“แมวน้อยจากที่ใดกัน ดูใบหน้าน้อยๆนี่สิ ช่างทำให้คนรู้สึกรักเอ็นดูจริงๆ” สตรีที่แต่งกายอย่างฉูดฉาดนางหนึ่ง เดินเข้ามาภายใต้การห้อมล้อมของเหล่านางกำนัลทั้งหลาย
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นสตรีนางนั้นก็ยอบกายลง “คารวะเหนียงเหนียง หม่อมฉันเป็แพทย์จากนอกวัง รบกวนความสงบของเหนียงเหนียง ขอเหนียงเหนียงโปรดอย่าได้ตำหนิ หม่อมฉันจะจากไปทันทีเพคะ”
“หมอจากนอกวัง? เ้าเป็เพียงสตรีนางหนึ่ง จะกลายเป็หมอได้อย่างไร? โลกภายนอกนั้นทำให้เปิ่นกงมองไม่ออกแล้วจริงหรือ?” สตรีนางนั้นมองสำรวจหลิงมู่เอ๋อร์อย่างประหลาดใจ
นางกำนัลผู้นั้นกระซิบอยู่ข้างหูสตรีผู้นั้นพักหนึ่ง สตรีนางนั้นก็เผยสีหน้าเข้าใจในที่สุดออกมา “โอ๋ ที่แท้เ้าก็คือเซียนแพทย์ที่กำลังเป็ที่เลื่องลืออยู่นอกวังนี่เอง”
“มิกล้าเพคะ นี่เป็ความรักที่ชาวบ้านมอบให้หม่อมฉันอย่างผิดๆเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างสงบ ผู้น้อยขอลาก่อน
“อย่าพึ่งไป!” สตรีผู้นั้นดึงหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ “เปิ่นกงคือซูเฟยแห่งตำหนักเฟิงหวา เด็กน้อยเช่นเ้าช่างน่าสนใจจริงๆ ข้าเห็นแล้วรู้สึกถูกชะตา มิสู้ไปนั่งที่ข้าสักพัก?”
หลิงมู่เอ๋อร์ก้มหน้ากล่าวอีกครั้งว่า “มิต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันยังต้องออกจากวังไปช่วยเหลือคนไข้อีกเพคะ”
“ก็ไม่รีบในครั้งนี้ครั้งเดียว หรือว่า เ้าให้เกียรติแต่ไท่จื่อเฟย แต่ไม่ให้เกียรติซูเฟยผู้นี้?” สีหน้าแย้มยิ้มของซูเฟยเคร่งขรึมลง มองคนเบื้องหน้าอย่างคมกริบ
หลิงมู่เอ๋อร์ถอนใจว่า วันนี้ช่างออกจากบ้านอย่างโชคไม่ดีจริงๆ ไท่จื่อเฟยผู้หนึ่ง ซูเฟยอีกผู้หนึ่ง ดูแล้วก็คือหญิงงามอสรพิษกลุ่มหนึ่ง ไม่รู้จริงๆว่า ไท่จื่อและฮ่องเต้รับไหวได้อย่างไร? หากนางเป็บุรุษ ก็ไม่มีทางชื่นชอบอสรพิษโฉมงามเช่นนี้
“เพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ตามซูเฟยไปตำหนักเฟิงหวาอย่างไม่เต็มใจ
ซูเฟยผู้นั้น ราวกับเด็กน้อยที่แสนอยากรู้ ถามนางเื่การรักษาโรคช่วยคน หากมิใช่เพราะความประทับใจเมื่อครู่แย่มาก หลิงมู่เอ๋อร์ก็เกือบจะถูกนางหลอกเข้าแล้ว
ทว่า สตรีที่อยู่ในวังลึกแห่งนี้ จะมีสักกี่นางที่ใสซื่อบริสุทธิ์ นางสามารถขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งซูเฟยได้ เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ง่าย นางไม่มีทางปฏิบัติต่อสตรีอสรพิษแสนงามนางนี้อย่างสตรีทั่วไปเด็ดขาด
หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิบัติต่อซูเฟยอย่างระแวดระวังในทุกจุด เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางเชื่อถือในคำพูดของนางจริงๆ ซูเฟยราวกับเข้าใจความระมัดระวังของนาง ก็มิได้นำมาใส่ใจ
“องค์หญิงเสด็จ” เสียงราวกับเป็ดของขันทีดังมาจากด้านนอก
หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นมาอีกครั้ง ยอบกายให้กับหญิงสาวที่วิ่งเข้ามา
ดวงตาเ็าของหญิงสาวนางนั้นกวาดไปทั่ว กล่าวกับคนทั้งหมดว่า “ไสหัวออกไปให้หมด”
ซูเฟยมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหลียนเอ๋อร์ เ้ากำลังเหลวไหลอะไรกัน มิน่า ่นี้เสด็จพ่อของเ้ายิ่งไม่พอใจเ้ามากขึ้นเรื่อยๆแล้ว?”
“เสด็จแม่ ข้าชอบซั่งกวนเซ่าเฉิน ข้าจะรับเขาเป็ราชบุตรเขย” องค์หญิงนางนั้นออดอ้อนซูเฟยติดต่อกัน “เสด็จแม่ ต้องทรงช่วยข้านะเพคะ”
ซูเฟยมองหลิงมู่เอ๋อร์นิ่งๆทีหนึ่ง กล่าวกับองค์หญิงนางนั้นว่า “แบบนั้นไม่ได้ ซั่งกวนเซ่าเฉินมีนางในดวงใจแล้ว เ้าอย่าได้เหลวไหลอีก”
“ข้าได้ยินแล้ว ได้ยินว่าเป็หมอหญิงนางหนึ่ง เหอะ! สตรีนางหนึ่งกลับไปเป็หมอ เห็นได้ชัดว่าเป็พวกไร้ความซื่อสัตย์ไม่สงวนตัว ข้าจะต้องหาหลักฐานที่นางไปยั่วยวนชายอื่นให้ได้ ถึงเวลานั้น ซั่งกวนเซ่าเฉินก็จะเป็ของข้าแล้ว” องค์หญิงนางนั้นพูดไปเป็ชุด จึงได้พบว่าในห้องยังมีหลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งเป็คนนอกอีกคนหนึ่ง นางกำนัลกับขันทีพวกนั้นได้ออกไปแล้ว
องค์หญิงนางนั้นชี้มาที่หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวว่า “เสด็จแม่ นางเป็ผู้ใดกันเพคะ?”
ซูเฟยดื่มน้ำชา เห็นได้ชัดว่าไม่มีความคิดที่จะเปิดปาก
หลิงมู่เอ๋อร์ยอบกายให้องค์หญิงนางนั้นกล่าวว่า “หม่อมฉันเป็หมอที่อยู่นอกวัง รับคำสั่งจากไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงมาตรวจสุขภาพให้พระนางเพคะ ยามนี้ หม่อมฉันเป็หมอประจำตัวของไท่จื่อเฟย ก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะเปลี่ยนพระดำริ หม่อมฉันต้องถวายการตรวจรักษาให้พระนางเพคะ”
“หมอจากนอกวัง? หมอหญิง?” องค์หญิงจ้องหลิงมู่เอ๋อร์ “เ้ารู้จักซั่งกวนเซ่าเฉิน?”
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มมององค์หญิง “รู้จักเพคะ เขาเป็คู่หมั้นของหม่อมฉันเพคะ”
องค์หญิงและซูเฟยมองนางอย่างไม่อยากเชื่อ ที่องค์หญิงกล่าวเมื่อครู่ นางมิได้ยินหรือ? ในเวลาเช่นนี้ยังกล้ายอมรับอีก ที่แท้เพราะใจกล้า หรือว่าโง่งมเกินไปกันแน่
สตรีนางหนึ่งสามารถกลายเป็เซียนแพทย์ผู้โด่งดังในเมืองหลวงอันเป็สถานที่ที่มีทั้งมัจฉาผสมั[1]เช่นนี้ เป็ที่ชัดเจนว่าสมองของนางไม่เขลาแม้แต่น้อย เช่นนั้นจึงกล่าวได้เพียงว่า นางไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ตัวนางในตอนนี้ กำลังรักษาโรคให้ไท่จื่อเฟย เป็คนที่ไท่จื่อเฟยให้ความสำคัญ หรือบางทีนางอาจคิดว่าเพื่อนางแล้ว ไท่จื่อเฟยจะเป็ศัตรูกับพวกนาง?
“ที่แท้ก็เป็เ้า” ทันทีที่องค์หญิงได้ยินก็โมโหเป็อย่างมาก นางหยิบแส้ที่เอวออกมาโบก ฟาดไปที่หลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์จับแส้ยาวของนาง มององค์หญิงอย่างเยือกเย็น “องค์หญิงยังทรงใคร่คววญให้ดีก่อนลงมือเถิดเพคะ เพราะอย่างไรก็มีคนจำนวนมากเห็นหม่อมฉันเข้ามาในตำหนักเฟิงหวา หากเห็นใบหน้าของข้าเต็มไปด้วยาแ หรือ จากไปพร้อมเืโซมกาย ไม่รู้ว่าในหมู่สามัญชน ตามท้องถนนจะลือไปเช่นใดบ้าง ซั่งกวนเซ่าเฉินเมื่อได้ยินเื่พวกนี้แล้ว ยังจะชอบท่านอีกหรือไม่?”
“เปิ่นกงจู่[2] ฆ่าเ้าทิ้ง แล้วเอาร่างของเ้าไปทำเป็ปุ๋ยดอกไม้ ร่องรอยสักนิดก็ไม่เหลือทิ้งไว้ แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเ้าตายในเงื้อมมือของข้า?” องค์หญิงมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างเยือกเย็น สายตาอำมหิต “เปิ่นกงจู่เป็บุตรสาวของฮ่องเต้ เป็องค์หญิงของใต้หล้า เ้าเป็เพียงหญิงสามัญชนตัวเล็กๆ กล้ามาแย่ง
ผู้ชายกับเปิ่นกงจู่?”
“องค์หญิงกล่าวผิดไปแล้วเพคะ หม่อมฉันกับซั่งกวนเซ่าเฉินมีใจตรงกัน องค์หญิงต่างหากที่เป็ฝ่ายที่สาม หากพูดถึงการแย่งชิง ย่อมเป็องค์หญิงมาแย่งชิงจากหม่อมฉันจึงจะถูกต้อง” หลิงมู่เอ๋อร์เล่นแหวนนิ้วโป้งบนนิ้ว เมื่อครู่องค์หญิงกล่าวว่า จะทรงสังหารหม่อมฉันทิ้งไปทำปุ๋ยดอกไม้ นี่น่าจะเป็วิธีการที่เป็ที่นิยมที่สุดของในส่วนลึกของวังแห่งนี้กระมังเพคะ ทว่า ซั่งกวนเซ่าเฉินผู้นี้เป็คนที่สมองดีมาก เขารู้ว่าหม่อมฉันเข้าวัง หากหม่อมฉันไม่อาจมีชีวิตรอดออกไป เขาจะต้องเริ่มลงมือกับไท่จื่อเฟยก่อน จากนั้น ก็จะสามารถตามมาถึงองค์หญิง ซั่งกวนเซ่าเฉินจะชอบผู้ที่ทำร้ายสตรีในดวงใจของเขาได้หรือไม่? กลัวว่าเขาจะแทบอยากฆ่าท่านให้ตายเสียมากกว่า ได้ยินว่าฝ่าาทรงวางพระทัยในตัวเขาเป็อย่างมาก ทรงว่า เขาจะทำอย่างไร?
ที่จริงแล้วองค์หญิงก็ทรงทราบว่าวิธีการนี้ใช้ไม่ได้ นางเพียงแต่อยากขู่หลิงมู่เอ๋อร์เท่านั้น หากเปลี่ยนเป็สตรีนางอื่น ในยามนี้ มิใช่ควรจะหวาดกลัวจนคุกเข่าวิงวอนหรือ?
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งเข้มแข็ง ในใจขององค์หญิงก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี นางไม่อาจเชื่อว่า ตนเองจะพ่ายแพ้ให้กับสาวน้อยสามัญชนผู้หนึ่ง ในใจของนางไม่ยินยอม!
“เหลียนเอ๋อร์ อย่าได้เหลวไหลแล้ว ต่อให้เ้าอยากล้อเล่นกับแม่นางหลิง ก็ไม่อาจเล่นเช่นนี้ได้ เ้าเป็องค์หญิงของแผ่นดิน มิใช่พวกผู้หญิงอะไรจากภายนอก เ้ามีความสูงศักดิ์และความภาคภูมิขององค์หญิง ผู้ชายในใต้หล้ามีมากมายเท่าใด มิได้มีเพียงซั่งกวนเซ่าเฉินเท่านั้น หากเ้าชอบ แม่จะหาที่ดีกว่าให้เ้า” ซูเฟยกล่าวเยาะหยัน
“แต่ว่าข้า…” องค์หญิงอยากพูดว่า ข้าชอบเขานี่นา! ทว่า สายตาเข้มงวดของซูเฟยทำให้นางไม่กล้ากล่าวมากกว่านั้นอีกแม้แต่คำเดียว “ข้าเข้าใจแล้วเพคะ เสด็จแม่”
“แม่นางหลิง เหลียนเอ๋อร์เพียงแต่ชอบเล่นสนุกเท่านั้น ที่จริงแล้ว นางยังเป็เพียงเด็กที่ไม่รู้ความเท่านั้น มีจุดใดที่ล่วงเกิน เ้าก็อย่าได้ถือสากับนางเลย” ซูเฟยคล้ายจะมองนางอย่างอ่อนโยน แต่แท้ที่จริงแล้ว ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความข่มขู่ นางกำลังข่มขู่หลิงมู่เอ๋อร์ มิให้หลิงมู่เอ๋อร์พูดเื่ในวันนี้ออกไป เพื่อป้องกันมิให้ชื่อเสียงของบุตรสาวนางถูกทำลาย
ในวังมิได้มีองค์หญิงเพียงองค์เดียว บุตรสาวของนางก็มิใช่องค์หญิงที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด มีบางครั้ง เพียงแค่สายลมที่พัดยอดหญ้าให้ไหวเอน ก็สามารถส่งผลกระทบต่อฐานะของบุตรสาวนางในวังหลวงได้
“ในเมื่อที่นี่ไม่มีเื่ของหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันก็ขอทูลลา” ครั้งนี้หลิงมู่เอ๋อร์มิได้รอให้พวกนางเห็นด้วย แต่กลับถือกล่องยาสาวเท้ายาวออกจากตำหนักไป
[1] มัจฉาผสมั เป็สำนวนสื่อความหมายว่า มีทั้งคนดี คนเลวปะปนกัน
[2] เปิ่นกงจู่ คือ ข้าผู้เป็องค์หญิง