แต่ก่อนเว่ยจวินหยางไม่เคยเชื่อเื่ความรักหรืออะไรแนวนี้มาก่อน
นับั้แ่ที่เว่ยจวินหยางเติบโตมาจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยได้รับความรักจากใครเลยสักครั้ง
เว่ยจวินหยางนั้นเกิดในพรรค เขามีบิดาที่ไม่เหมือนบิดา มีมารดาที่ไม่เหมือนมารดา และมีพี่น้องที่ไม่เหมือนพี่น้อง ไม่ต้องกล่าวถึงเื่ความอบอุ่น เพราะภายใต้ใบหน้าของทุกคนนั้น ต่างก็ซ่อนความชั่วร้ายต่างๆ นานาเอาไว้
ซึ่งความชั่วร้ายเหล่านี้นี่เองที่สอนให้เขาใช้ชีวิตให้อยู่รอดท่ามกลางความวุ่นวายเช่นนี้ได้ ทั้งยังเป็สิ่งที่คอยกระตุ้นให้เขาปลดปล่อยความชั่วร้ายเหล่านี้แก่ผู้อื่น เพื่อให้ความเ็ปของผู้อื่นมาทดแทนความเ็ปของตนเอง
แต่หลังจากที่ผ่านเื่เช่นนี้ไป อวี๋มู่ก็เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาััถึงสิ่งที่เรียกว่าความหวังดีผ่านการกระทำอย่างต่อเนื่อง และทำให้ตัวเขาผู้ที่ไม่เคยเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดนอกจากตัวเอง เริ่มที่จะเชื่อทั้งในตัวเองและตัวอวี๋มู่
และยังบอกให้เขา
บอกกับเว่ยจวินหยางที่ชั่วช้าเห็นแก่ตัวคนเดิม
ว่าตัวเขาเองก็ได้รับความใส่ใจ และได้รับความรัก…เช่นนี้
เว่ยจวินหยางยอมรับกับตนเองว่าสิ่งนี้คือความรัก ทว่าอวี๋มู่กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เว่ยจวินหยางััได้ แต่เขาก็ไม่มีหนทางอื่นใด
เขารู้ว่าอวี๋มู่ไม่เคยมีความคิดที่จะสังหารตัวเขาแม้แต่วินาทีเดียว แต่เขาก็เดาจุดประสงค์ของอวี๋มู่ไม่ออก
ในเมื่อไม่รัก แล้วเหตุใดต้องทำดีกับเขาถึงเพียงนี้?
ที่อีกฝ่ายทำอยู่นั้นเป็เพียงความภักดีระหว่างนายกับข้ารับใช้จริงหรือ?
เขาไม่อยากเชื่อการคาดเดานี้?
ไม่อยากแม้แต่นิดเดียว
*
เว่ยจวินหยางกำจัดวรยุทธ์ของคุณชายทั้งสี่ แล้วปล่อยเหล่าคุณชายพวกนั้นลงูเาไป จากนั้นก็จัดการวางระบบให้สำนักชิงอีใหม่ทั้งหมด โดยใช้วิธีการบางอย่างที่ให้ศิษย์ในสำนักเหล่านี้น้อมรับคำสั่งแต่โดยดี แต่ด้วยความเหลือเชื่อ เขากลับไม่ได้เลิกจ้างพวกนายบำเรอที่ตัวเองเลี้ยงไว้
กลับกัน เขาชอบไปยังที่พักของเหล่านายบำเรออยู่บ่อยครั้ง
เดี๋ยวเย้าหยอกกับคนนั้นที หัวร่อต่อกระซิกกับคนนี้ที ทั้งยังแกล้งให้น้ำหอมเหล่านายบำเรอติดตัวของตัวเอง จากนั้นก็วิ่งไปหาอวี๋มู่กลางดึกแล้วเดินไปเดินมา เพื่อรอดูปฏิกิริยาของอวี๋มู่
แต่อวี๋มู่กลับมองดูเว่ยจวินหยางนิ่งๆ แม้ว่าสายตาของอวี๋มู่จะถูกปิดบังไว้อย่างดี แต่เว่ยจวินหยางก็ััได้ว่าแววตาของอวี๋มู่นั้นคล้ายกำลังมองคนโง่เขลาอยู่
และก็เป็ไปตามที่อวี๋มู่คิดไว้ไม่มีผิด
ระบบเล่าเื่การกระทำของเว่ยจวินหยางกับอวี๋มู่ อีกฝ่ายยกย่องความรัก แต่อีกฝ่ายกลับะเิหัวเราะออกมาเสียงดัง
แน่นอนว่าคนที่ยกย่องความรักก็คือระบบ ส่วนคนที่หัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจก็คืออวี๋มู่
หากกล่าวกันตามจริงแล้ว การที่เว่ยจวินหยางแสร้งทำเื่เช่นนี้ขึ้นมา เขาไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่นิดเดียว
ตอนที่เพิ่งมาถึงโลกนี้ เขารู้สึกเพียงว่าเว่ยจวินหยางคือคนไม่ปกติที่หมดหนทางเยียวยา แต่ตอนนี้เขาค่อยๆ เข้าใจ และพบว่าแม้จะเป็คนที่ไม่ปกติ แต่ก็มีจุดที่น่าชมเชย
แม้ว่าเว่ยจวินหยางจะวรยุทธ์สูงส่งและสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้อย่างง่ายดาย แต่ในบางแง่มุมก็ดูซื่อบื้ออย่างไร้เดียงสา ซึ่งการกระทำที่เหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ ทำเอาอวี๋มู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาทุกครั้ง และยิ่งรู้สึกว่าเว่ยจวินหยางดูน่ารักมากขึ้น
แน่นอนว่าพอตกดึก เ้าลูกสุนัขนี่ก็เปลี่ยนเป็เ้าสุนัขเท็ดดี้ที่ยกตัวเขาบดบี้ไปมา ซึ่งดูไม่ได้น่ารักขนาดนั้น
“ทำไมไม่มองหน้าข้า? ” เว่ยจวินหยางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงที่ควรจะเป็ของอวี๋มู่ แล้วกอดอวี๋มู่จากด้านหลัง เขาใช้คางเกยบนไหล่ของอวี๋มู่ พลางบดเบียดไปมา “ข้าดูไม่น่ามองอย่างนั้นหรือ? ”
เว่ยจวินหยางถอนหายใจ แล้วเอ่ยต่อ “ตอนที่อยู่เมืองผิง เ้าบอกว่าชอบใบหน้าของข้า แต่ตอนนี้กลับไม่ค่อยมองหน้าข้าเลย ข้าเสียใจยิ่งนัก”
???
นายเสียใจยิ่งนัก?
อวี๋มู่ตกตะลึง พลางขนลุกตั้งตรงแถวลำคอ
มารดาเ้าเถอะ เ้าลูกสุนัขนี่ ที่แท้ก็อ้อนเป็เหมือนกันนี่นา?
เป็ผู้ชายแต่แสร้งมาทำตัวน่าเอ็นดู ไม่รู้สึกอายเลยหรืออย่างไร?
แต่ในสายตาของเว่ยจวินหยางไม่มีคำว่าอายหรือไม่อาย นี่เป็สิ่งที่นายบำเรอสอนเขามา หากอยากให้คนที่ชอบหันมาชอบเรา ในตอนเริ่มต้นก็ต้องหัดพูดจาละเอียดอ่อนกับเขาให้มาก
เว่ยจวินหยางสนทนากับเหล่านายบำเรอได้อย่างน่าประหลาด
ในตอนแรกเหล่านายบำเรอต่างหวาดกลัวเว่ยจวินหยาง ทว่าในเวลาต่อมา พวกเขากลับพบว่านายท่านเหมือนเป็คนละคน ใบหน้ารูปงามนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความโหดร้าย ดังนั้นเหล่านายบำเรอจึงเริ่มกล้าพูดคุยมากขึ้น
เมื่อได้ยินว่าเว่ยจวินหยางอยากรู้เื่การเอาใจคนที่รัก เหล่านายบำเรอจึงเริ่มคิดหาแผนการให้กับเว่ยจวินหยาง
พวกเขาคิดว่าหากเว่ยจวินหยางมีความสุข พวกเขาถึงจะได้กินดีอยู่ดี และปกป้องชีวิตน้อยๆ นี้เอาไว้ได้
เว่ยจวินหยางที่เพิ่งฝึกได้เคล็ดลับมาก็รีบมาทดสอบกับอวี๋มู่ทันที เขาลังเลอยู่พักใหญ่ ถึงตัดสินใจประนีประนอมต่อความชั่วร้าย
อวี๋มู่มองเว่ยจวินหยาง พลางเอ่ยปลอบใจ “นายท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ข้าน้อยมองท่านอยู่นี่แล้วอย่างไร ท่านอยากให้ข้ามองท่านนานแค่ไหน ข้าน้อยก็จะมองนานเท่านั้น”
ซี๊ด——
รู้สึกยุบยิบในใจเกินไป
ฝ่ายเว่ยจวินหยางกลับรู้สึกดีใจ เขายื่นใบหน้าไปให้อวี๋มู่ดู ทั้งยังคว้ามืออีกฝ่ายมาแนบไว้กับใบหน้าตัวเอง ความนวลผ่องั้แ่หน้าผากลงมาจนถึงคิ้ว ขนตาที่เรียงเป็แพยาว จมูกโด่งเป็สัน และสุดท้ายหยุดอยู่ที่ริมฝีปากบางเบาสีชมพูระเรื่อ
เว่ยจวินหยางจุมพิตเข้าที่ปลายจมูกของอวี๋มู่ แล้วเอ่ยถามคนตรงหน้า “เป็อย่างไร? ยังชอบอยู่หรือเปล่า? ”
อวี๋มู่หลุบตาลง แล้วกัดฟันเอ่ย “ชอบ”
เว่ยจวินหยางเขยิบเข้าใกล้อีกนิด แล้วบังคับอวี๋มู่ให้มองเขา “เช่นนั้นเ้าจูบข้าได้หรือไม่? ”
“…”
อวี๋มู่เริ่มทนไม่ไหว
เขาช้อนตามองเว่ยจวินหยาง ั์ตามีความโกรธแฝงอยู่เล็กๆ แต่จู่ๆ เว่ยจวินหยางกลับผลักเขาลงเตียง ตามด้วยการประทับจูบของชายหนุ่ม และมือข้างที่ถูกเว่ยจวินหยางจับไว้ ถูกวางคั่นตรงหน้าอกเขา แม้มีผ้ากั้นอยู่ก็รับรู้ถึงจังหวะเต้นของหัวใจอีกฝ่าย
มันเต้นเร็วและแรงมาก
เว่ยจวินหยางไม่พอใจจึงกัดริมฝีปากอวี๋มู่ เส้นผมค่อยๆ ปรกลงมา และใบหน้านั้นยิ่งดูงามเกลี้ยงเกลายามต้องแสงเทียน
เขาเอ่ยกับอวี๋มู่ “อวี๋มู่ เ้ารู้สึกได้หรือไม่? เวลาที่ข้าอยู่กับเ้า หัวใจมักจะเต้นเร็วเช่นนี้เสมอ”
“อันที่จริงข้ากลัวความรู้สึกเช่นนี้ เพราะข้าไม่เคยเป็เช่นนี้มาก่อน”
“แต่ในทางกลับกัน ข้าก็ชื่นชอบความรู้สึกเช่นนี้ เพราะมันทำให้ข้ารู้สึกได้ว่าตัวเองยังเป็คนที่มีชีวิตอยู่”
“นี่คือสิ่งที่เ้าให้กับข้า มันมากพอที่จะทำให้ข้าตกหลุมพรางความรัก”
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมเ้าถึงทำดีกับข้าเช่นนี้ แต่ในเมื่อเ้าสะกิดข้าเอง เช่นนั้นอย่าได้ปล่อยมือข้าอีกได้หรือไม่? ”
“รับปากข้า” เขาซุกหน้าเข้าต้นคออวี๋มู่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงซึมเซา “อย่าจากข้าไปตลอดชีวิต ดีหรือไม่? ”
มาอีกแล้ว…
อวี๋มู่มองดูเว่ยจวินหยางที่เป็แบบนี้ จู่ๆ ก็คิดถึงตอนนั้นที่เหลียงหานกอดอวี๋มู่ที่โรงพยาบาล คำพูดที่เขากล่าวในวันนั้น “ครูฮะ ผมมีเพียงครูแล้วนะ…”
ความรู้สึกที่เป็โลกทั้งใบของอีกฝ่ายเช่นนั้น
ทำเอาหัวใจเขาเริ่มเ็ป
เป็ความเ็ปแบบทื่อๆ
อวี๋มู่หลับตา ผ่านไปนานกว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ได้ เขายื่นมือไปลูบผมเว่ยจวินหยางเบาๆ แล้วกระซิบข้างหูเขา
“นายท่าน โปรดมองหน้าข้า…”
เว่ยจวินหยางเงยหน้าขึ้นมอง แต่ใบหน้านั้นชัดว่าเขินอาย คงเพราะรู้สึกว่าเมื่อครู่ตัวเองนั้นต่ำต้อยเกินไปหน่อย จึงไม่ค่อยกล้าสู้หน้า
อวี๋มู่ถอนหายใจ เขาดึงคอเสื้อของเว่ยจวินหยางเพื่อโน้มตัวของอีกฝ่ายลงมา เป็ครั้งแรกที่เขาจูบเว่ยจวินหยางโดยที่ไม่ได้ถูกบังคับ
เขาไม่ได้ตอบคำถามเว่ยจวินหยางโดยตรง เพราะเขาไม่อาจรับประกันอะไรได้
แต่เมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้น ก็เห็นชัดแล้วว่าเขาใจอ่อน
แม้ว่าเริ่มต้นเว่ยจวินหยางจะชั่วร้ายอย่างไร แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปราวกับคนที่อ่อนแอเหมือนคนทั่วไป
เ้าลูกสุนัขเว่ยที่อ่อนแอแบบนี้ทำเอาอวี๋มู่หงุดหงิดในใจ
ดังนั้นจึงอยากปลอบโยนอีกฝ่าย หากว่าการจูบช่วยได้ เขาก็จะยอมละเมิดเพื่ออีกฝ่าย
เว่ยจวินหยางไม่คาดคิดว่าอวี๋มู่จะทำเช่นนี้
จังหวะนั้น เขาตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อน
จวบจนอวี๋มู่ปล่อยเขาออก แล้วเอียงหน้าไปด้านข้าง เขาถึงรู้สึกตัวว่า ทั้งหมดเมื่อครู่เป็เื่จริง
นี่คือครั้งแรกที่อวี๋มู่จูบเขาเอง
เป็เพราะชอบอย่างนั้นหรือ?
อวี๋มู่ชอบเขาอย่างนั้นหรือ?
ชอบใช่ไหม?
ต้องชอบแน่นอน
เว่ยจวินหยางเลียริมฝีปาก หนที่หนึ่งและหนที่สอง แล้วฉีกยิ้มกว้าง จากนั้นก็พลิกลงมาจากตัวอวี๋มู่ พลางเกี่ยวคอของอวี๋มู่ และกอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมอกตัวเอง พร้อมกับยิ้มร่าออกมา
ยิ้มเหมือนเด็กน้อย
ยิ้มอยู่อย่างนั้นสักพักใหญ่
จนอวี๋มู่อดใจไม่ไหวส่งเสียงขัดขึ้น เว่ยจวินหยางจึงยอมหยุด แต่ต่อมาก็กอดคนในอ้อมอกแน่นกว่าเดิม แล้วกล่าวกับเขา “อวี๋มู่ ข้าไม่เสียใจแล้ว ตอนนี้ข้ามีความสุขมาก”
มีความสุขมากจริงๆ
เขามีความสุขมากกว่าครั้งไหนๆ
คืนนี้เขาไม่ได้ทำอะไรอวี๋มู่ เพียงแต่กอดเขานอนแบบนี้ทั้งคืน ในฝันทุกอย่างช่างดีงาม
*
วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ร่างกายของอวี๋มู่ก็แย่ลงทุกวัน ตอนนี้เขาเหมือนกับคนแก่ที่ชอบตากแดด
เว่ยจวินหยางทำเก้าอี้นอนให้เขาที่สวน ให้เขาได้นอนอย่างสบายตัว ด้านข้างวางโต๊ะไว้หนึ่งตัว บนโต๊ะมีของว่างชั้นสูงกับชาชั้นยอดวางอยู่ เป็ชนิดที่คนทั่วไปไม่อาจได้ลิ้มรส
อวี๋มู่ใช้ชีวิตดั่งเซียน ได้รับการปรนนิบัติอย่างดี และมีบางครั้งที่เว่ยจวินหยางจะเรียกคนมาดีดฉินให้เขาฟัง
กระบี่เมฆาวิสุทธิ์ถูกเว่ยจวินหยางเก็บไปแล้ว เขาคิดว่าหากอวี๋มู่ไม่ได้เห็น จิตใจคงรู้สึกดีขึ้นบ้าง
ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจทีหลัง รู้สึกผิดที่ทำร้ายและทดสอบอวี๋มู่ไปต่างๆ นานา
มีบางคืนที่เขากอดอวี๋มู่ไว้แน่น จูบนิ้วที่สั้นกุดและรอยแผลในร่างกายของอีกฝ่าย จากนั้นก็เอ่ยถามอวี๋มู่ว่ายังเจ็บอยู่หรือเปล่า
แน่นอนอวี๋มู่ตอบเหมือนเดิม : เพื่อนายท่าน ข้าน้อยไม่เสียใจ และไม่รู้สึกเ็ป
แต่จู่ๆ เว่ยจวินหยาง ก็รู้สึกว่าการเรียกนายท่านกับข้าน้อยนี้เป็กำแพงที่ขวางกั้นระหว่างเขาทั้งสองคนอยู่ เขาไม่อยากเป็เช่นนั้น
เขาอยากได้ยินอวี๋มู่เรียกชื่อเขา
เขาบอกความตั้งใจนี้กับอวี๋มู่ แต่อวี๋มู่กลับเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหลุบตาลง ก่อนจะเอ่ยกับเขา : ข้าน้อยมิกล้า
แต่ก่อนนายยังกล้าอยู่นี่นา
เว่ยจวินหยางไม่ใช่คนโง่ เขาจำได้ว่าอวี๋มู่เคยต่อว่าเขา
แต่ตอนนี้กลับแกล้งทำเป็หวาดกลัว เหมือนกับกลัวเขาจริงๆ กระทั่งชื่อก็ยังไม่กล้าเรียก
อวี๋มู่นั้นดูเหมือนตั้งใจรักษาระยะห่าง
ซึ่งเขารับรู้ได้แล้ว
และรับรู้ได้อย่างชัดเจน
แต่ในเมื่อจะรักษาระยะห่าง แล้วทำไมคืนนั้นถึงจูบเขาเสียเองล่ะ?
เว่ยจวินหยางรู้สึกถึงความย้อนแย้งเป็อย่างมาก
เขาััถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง ในใจรู้สึกเหมือนว่ากำลังจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น
อวี๋มู่นอนอยู่บนเก้าอี้นอน พลางชำเลืองมองเว่ยจวินหยางที่กำลังปอกแอปเปิ้ลให้เขา ความในั้นยังไม่จางหาย
เขาบ่นกับระบบในใจ : เ้าระบบ นายว่าเว่ยจวินหยางยังจำได้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็ถึงประมุขพรรคมาร ท่าทางว่าง่ายแบบนี้ที่เห็นอยู่มันคืออะไรกันแน่? ฉันรู้สึกขนลุก…
[โฮสต์ คุณแค่รู้สึกขนลุกอย่างนั้นหรือ?] ระบบถอนใจ [คุณไม่มีความรู้สึกอะไรแม้แต่นิดเลยหรือ? อย่างเช่น เริ่มชอบเขาบ้างแล้ว?]
อวี๋มู่หรี่ตา เอามือขึ้นบังแดด : ไม่
[...] ระบบถามต่อ [ถ้าอย่างนั้น คืนนั้นคุณจูบเขาทำไม?]
อวี๋มู่เงียบไปพักหนึ่ง แล้วค่อยเอ่ย : เพราะรู้สึกผิดกับเขา อยากให้เขาเหลือความทรงจำไว้บ้าง
[โฮสต์ มีบางครั้งที่ผมไม่รู้จะพูดว่าคุณอ่อนโยนดี หรือ โหดร้ายดี] ระบบเอ่ยเสียงต่ำ [ความอ่อนโยนของคุณจุดนี้ ผมรู้สึกว่ามันจะกลายเป็ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับเว่ยจวินหยาง]
อวี๋มู่ใ ตอบเขา : …อย่างนั้นหรือ?
ท่ามกลางความมึนงงนี้ เขาย้อนนึกถึงแฟนเก่าสมัยมหาวิทยาลัย ตอนที่หญิงสาวบอกเลิกเขา เธอบอกว่า ‘อวี๋มู่ คุณดีมาก ดีกับทุกคน แต่ฉันเป็แฟนของคุณ ฉันอยากได้รับความพิเศษจากคุณบ้าง แต่คุณไม่เคยให้ฉันเลย’
พอตอนนี้มาย้อนคิด ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นเขาก็แทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาจำได้แต่คำพูดของอีกฝ่าย
ตอนที่เขาเหม่อลอย เว่ยจวินหยางก็ปอกผลแอปเปิ้ลเสร็จแล้ว เขาหั่นออกมาชิ้นเล็กๆ หนึ่งคำ แล้วยื่นให้ข้างปากอวี๋มู่ “เ้าเป็ข้ารับใช้คนแรกที่ข้าปอกผลแอปเปิ้ลให้เชียวนะ รีบกินอย่างสำนึกบุญคุณเสีย”
ความคิดของอวี๋มู่ถูกดึงกลับมา แล้วถูกคำพูดที่ว่าให้รีบกินอย่างสำนึกบุญคุณทำเอารู้สึกขบขัน ตรงหางตามีแววของรอยยิ้มปนอยู่
เขานึกถึงเมล็ดที่ตัวเองฝังไว้ที่ถ้ำ อ้าปากกำลังจะกินแอปเปิ้ล แล้วเอ่ยอย่างไม่มีที่มาที่ไป “นายท่าน ผ่านมาจะร่วมเดือนแล้ว ข้าอยากไปที่ป่าฟางหยวนเพื่อดูว่าเมล็ดนั้นงอกออกมาแล้วหรือไม่…”
เว่ยจวินหยางทำเสียงฮึ่ม “จะงอกได้อย่างไร? เลิกคิดได้แล้ว”
เขาเห็นอวี๋มู่กินหมด ก็หั่นให้อีกชิ้น กำลังจะยื่นให้ชายหนุ่ม
แต่พอมองกลับไปอีกหน กลับพบว่าสีหน้าอวี๋มู่ซีดขาว และมีเืกำเดาไหลออกมาทางจมูก แล้วหยดลงบนเสื้อเขาทีละหยด
อวี๋มู่ยื่นมือออกไปเช็ด แต่เช็ดอย่างไรก็ไม่สะอาด กลายเป็เปื้อนไปทั้งมือ
“อวี๋มู่?” เว่ยจวินหยางเริ่มกังวล เขาคว้าไหล่อวี๋มู่ไว้ หยิบกระดาษม้วนบนโต๊ะมาปิดจมูกเขา “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงไม่หยุด…”
เกิดอะไรขึ้น อวี๋มู่รู้ดี
ครั้งนี้เขาคงต้องตายแล้วจริงๆ
และไม่รู้ว่าใครจะช่วยเขาได้อีก
ร่างกายเขาตอนนี้ย่ำแย่เกินไป กอปรกับเสียเืจำนวนมาก ทำให้อวี๋มู่หมดสติไปอย่างรวดเร็ว
ในแววตาเห็นเพียงภาพใบหน้าของเว่ยจวินหยางที่มีดวงตาแดงก่ำ
พลางคิดไปว่า
ที่แท้ เ้าลูกสุนัขเว่ยนี่ก็กลัวเป็นี่นา
ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
----------------------------------------------------------------------------------------------