เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูตำหนักสือหนิงกงนางกำนัลข้างพระวรกายของพระพันปีนามจิ้งิ่ได้เข้ามาต้อนรับทันที“เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ย คุณหนูหรง ไทเฮาไม่ทรงทราบว่าพวกท่านจะมาเร็วถึงเพียงนี้เมื่อครู่พระนางพึ่งจะบรรทมกลางวัน เกรงว่าคงจะอีกครู่ใหญ่กว่าจะตื่นบรรทมเชิญเตี้ยนเซี่ยกับคุณหนูตามหนูปี้[1] ไปรอที่ตำหนักหลักเถิดเพคะ”
หรงหว่านซีพยักหน้าจากนั้นยกชายกระโปรงเดินตามนางกำนัลและเฉินอ๋องเข้าไปในตำหนักสือหนิงกง
ลานพระตำหนักมีแสงอาทิตย์สาดส่องกำลังพอดีด้านหนึ่งคือกระถางไม้เลื้อยงอกงามสีเขียวชอุ่มโดยเฉพาะเครือเถาวัลย์บริเวณเก้าอี้ตัวยาวยิ่งเจริญงอกงามได้ดียิ่งนักอีกด้านหนึ่งคือโต๊ะหินอ่อนที่มีม้านั่งทรงกลมจำนวนสี่ตัวไม่ไกลนักมีอ่างเลี้ยงปลาขนาดเล็ก ภายในอ่างมีปลาว่ายน้ำอยู่
หรงหว่านซีพบว่าตำหนักหลักเชื่อมติดกับห้องบรรทมเพราะเกรงว่าจะรบกวนการบรรทมกลางวันของพระพันปีหลวงจึงเอ่ยขึ้นว่า“จะดีหรือไม่หากพวกเราไปรอที่ลานพระตำหนัก จะได้ถือโอกาสอาบแดดไปด้วยเพคะ”
จิ้งิ่หันมองเฉินอ๋อง เฉินอ๋องบิดเอวไล่ความเกียจคร้าน“ก็ดี”
ขันทีผู้น้อยเช็ดม้านั่งหินอ่อนสองตัวที่อยู่ติดกันด้วยชายแขนเสื้อของตนหลังจากนั้นถึงเชื้อเชิญให้หรงหว่านซีและเฉินอ๋องนั่งลง
สายตาของหรงหว่านซีจับจ้องไปยังกระถางไม้เลื้อยที่อยู่ตรงหน้า จิ้งิ่มองตามแล้วเอ่ยเสียงเบา“ได้ยินหมัวหมั่ว[1] บอกว่าเมื่อหลายปีก่อนขณะไทเฮาเหนียงเหนียงยังทรงเป็ฮองเฮาเพราะพระนางทรงโปรดการอ่านตำราท่ามกลางชั้นวางกระถางดอกไม้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจึงมีพระกระแสรับสั่งให้นำพรรณไม้เลื้อยมาประดับประดาที่ลานพระตำหนักคุนหนิงกงฝ่าาทรงมีความกตัญญู หลังพระองค์ทรงทราบว่าไทเฮาทรงคิดถึงฮ่องเต้พระองค์ก่อนจึงมีพระกระแสรับสั่งให้ย้ายพรรณไม้เลื้อยมาไว้ที่นี่เพียงแต่หลังเคลื่อนย้ายพรรณไม้เ่าั้มายังตำหนักสือหนิงกง ไทเฮากลับไม่เคยประทับนั่งที่นี่แม้แต่ครั้งเดียว”
เฉินอ๋องเอ่ยหยอกเย้า “เ้าช่างรู้มากนักมากเสียจนสามารถเปิดร้านเล่านิทานในวังหลวงซ่ะแล้ว!”
หรงหว่านซีเห็นเช่นนี้จึงรู้ว่าเฉินอ๋องมักแวะเวียนมายังตำหนักสือหนิงกงเป็ประจำถึงได้แลดูสนิทสนมกับเหล่านางกำนัลในวังยิ่งนักหรือที่นางกำนัลพูดมากเช่นนี้เป็เพราะอยากให้เฉินอ๋องได้ยิน
เมื่อมองชั้นวางกระถางดอกไม้เหล่านี้หรงหว่านซีคล้ายกับกำลังนึกคิดบางสิ่ง...
นางเลือกถูกแล้ว หากสตรีได้ย่างกรายเข้ามาอยู่ในวังหลวงต่อให้ได้รับความโปรดปรานมากมายเพียงใดท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นความเศร้ารันทดของวังหลวงแห่งนี้
ทว่าพระชายาอ๋องกลับต่างออกไป โดยเฉพาะพระชายาของเฉินอ๋อง
ครั้นนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง นางกำนัลจากด้านในออกมารายงานว่า“พี่จิ้งิ่ ไทเฮามีรับสั่งให้มาเชิญเตี้ยนเซี่ยกับคุณหนูเข้าไปพูดคุยข้างในเ้าค่ะ”
หรงหว่านซีกับเฉินอ๋องจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในตำหนักหลัก
ไทเฮาทรงตื่นจากการบรรทมกลางวันพระเกศาของพระนางถูกหวีจนเรียบร้อยและประทับนั่งอยู่บนพระที่นั่งหลักของตำหนักโดยมีปั๋วหมั๋วหมั่วผู้เป็หัวหน้านางกำนัลยืนอยู่ข้างพระวรกาย
ยามนี้พระชนมายุของพระพันปีล่วงเลยห้าสิบพรรษาแต่เพราะบำรุงรักษาพระวรกายและผิวพรรณมานานปีทำให้พระนางแลดูคล้ายยังพระชนมายุสี่สิบพรรษา
“บุตรสาวตระกูลหรงจงเงยหน้าขึ้นให้อายเจีย[3]ดูสักหน่อย” พระพันปีตรัสอย่างเชื่องช้า
“เพคะ” หรงหว่านซีขานรับและเงยหน้าขึ้นทว่าสายตากลับจดจ้องพื้นตรงหน้า ไม่กล้าทำตัวล่วงเกินแม้แต่นิด
พระพันปีทรงพอพระทัยหลังได้ทอดพระเนตรใบหน้าที่เงยขึ้นมาของหรงหว่านซีทว่าบนพระพักตร์กลับไม่แสดงออกและตรัสเพียงแค่ว่า “บุตรสาวตระกูลหรงเมื่อวานเฉินอ๋องมาร้องขอเมตตากับอายเจียถึงในวังบอกว่าพวกเ้ามีใจตรงกันและอยากสู่ขอเ้ามาเป็ภรรยา”
คำกล่าวของฮองเฮาไม่ได้แฝงความหมายอื่นใดไม่ได้เอ่ยถามอย่างโจ่งแจ้งและเป็เพียงคำกล่าวหยั่งเชิงเพื่อรอดูปฏิกิริยาของหรงหว่านซี
ครั้นหรงหว่านซีได้ฟังคำกล่าวไม่ชัดเจนนักของพระพันปีหลังขบคิดครู่หนึ่งได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ทูลไทเฮา หากนับรวมวันนี้ที่ได้พบกันในตำหนักสือหนิงกงเฉินหนวี่กับเฉินอ๋องพึ่งจะพบกันเพียงสามครั้งเพคะทั้งสองฝ่ายยังรู้จักกันไม่มากพอแต่หากได้ออกเรือนเป็พระชายาของเฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยย่อมเป็บุญวาสนาของเฉินหนวี่เพคะ”
“บิดาของเ้าได้กลับจวนแล้ว หากเ้าไม่ยินยอมก็จงบอกกับอายเจียอายเจียจะเข้าข้างเ้า” พระสุรเสียงของพระพันปีอ่อนโยนและฟังดูอบอุ่นยิ่งนัก
ทว่าภายในใจของหรงหว่านซีรู้ดี แม้ไทเฮาจะตรัสเช่นนี้ ทว่านางไม่อาจคล้อยตามเหตุที่ไทเฮาตรัสเช่นนี้เป็เพราะพระนางทรงทราบว่าตนกับเฉินอ๋องใช้การแต่งงานเป็ข้อแลกเปลี่ยนเื่ทำข้อแลกเปลี่ยนเช่นนี้ยังไม่สำคัญเท่าใดแต่หากนางกลับคำก็เท่ากับปั่นหัวองค์ชาย และการดูิ่ราชวงศ์ย่อมมีโทษสถานหนัก
ยิ่งไปกว่านั้นเื่มาถึงขั้นนี้แล้วไม่ว่าจะเป็ภัยจากองค์รัชทายาทหรือเฉินอ๋อง นางก็ต้องเลือกหนึ่งภัยที่เบาที่สุด
หรงหว่านซีแสดงท่าทีนอบน้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่อบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิ“แม้เฉินหนวี่จะเป็เพียงสตรีต้อยต่ำแต่รู้จักสำนึกในพระคุณและรู้ว่าคำพูดต้องมีสัจจะ การกระทำต้องบรรลุผลเฉินหนวี่ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของไทเฮา ทว่าเฉินหนวี่ไม่นึกเสียใจ และไม่เคยเสียใจเพคะ”
เฉินอ๋องที่เดิมทีทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้อยู่ด้านข้างถึงกับหันไปมองนางด้วยแววตาเปลี่ยนไป
“อายเจียกล่าวเช่นนี้ไม่ใช่เพราะไม่เห็นด้วยกับเ้าแม้อายเจียจะอยู่ในวังหลวงมานาน แต่ก็รู้ว่าชื่อเสียงของเฉินอ๋องไม่ดีนักทว่าเ้าคือสตรีผู้มีพร์อันดับหนึ่งของเมืองหลวง หากอายเจียยกเ้าให้เฉินเอ๋อร์ภายหน้าอาจมีคำครหาของผู้คนตามมาว่าอายเจียจับคู่ไม่ดูความเหมาะสมทำให้บุตรสาวที่ดีของผู้อื่นต้องด่างพร้อย”
หลังไทเฮาตรัสจบได้ทอดพระเนตรหรงหว่านซีและรอให้นางเอ่ยตอบ
หรงหว่านซีไม่บ่ายเบี่ยงและเอ่ยอย่างสุภาพอ่อนน้อม “ไม่ปิดบังไทเฮาเฉินหนวี่รู้เื่คำวิพากษ์วิจารณ์ในทางไม่ดีนักที่ประชาชนมีต่อเตี้ยนเซี่ยเช่นกันเพคะ”
“แต่เมื่อเอ่ยถึงคำวิจารณ์เ่าั้ล้วนเป็เพียงการประณามเื่ความมากรักหลายพระทัยของเฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยเท่านั้นไม่มีผู้ตำหนิว่าเตี้ยนเซี่ยไร้คุณธรรมและบกพร่องเื่ความซื่อสัตย์กตัญญูแม้แต่นิดเฉินหนวี่ไม่ฉลาดนัก แต่ก็รู้ว่าหยกงามย่อมมีตำหนิเป็ธรรมดาเพคะ”
ทันใดนั้นสายตาที่เฉินอ๋องใช้มองหรงหว่านซียิ่งฉายแววลึกซึ้งกว่าเดิม
“ในเมื่อเ้าไม่รังเกียจ อายเจียก็ไม่มีความเห็นอื่นใดเพียงแต่บิดาของเ้า... รักบุตรสาวดังชีวิต อีกทั้งยังเป็คนหัวแข็งองค์รัชทายาทอยากอภิเษกสมรสกับเ้า บิดาของเ้าก็ยังไม่ยินยอมแล้วจะนับประสาอะไรกับเฉินอ๋องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเื่มากรักหลายใจไม่ต่างจากองค์รัชทายาท?นอกจากนั้นองค์รัชทายาทคงจะหัวแข็งไม่น้อยเกิดเขาก่อเื่วุ่นวายขึ้นมา ทำอย่างไรถึงจะเป็การดี?”
หรงหว่านซีเอ่ยอย่างสุขุม“ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยคือมกุฎราชกุมารของราชวงศ์ ทรงรักและเคารพฝ่าาและไทเฮาเื่นี้ผู้คนต่างรู้กันโดยทั่ว หากไทเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์ลงมา แม้ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยจะไม่พอพระทัยแต่ก็ไม่อาจขัดขืนเช่นกันเพคะ...”
หลังนิ่งเงียบครู่หนึ่งเพื่อใช้ความคิดนางจึงเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “หากไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงกระทำเื่ไม่สมควรหากสามารถรับมือได้ เฉินหนวี่ก็จะพยายามรับมืออย่างสุดความสามารถจะไม่ให้ฝ่าาและไทเฮาต้องเป็กังวลพระทัยเพคะ”
นางไม่ได้พูดออกมาอย่างตายตัว บอกเพียงแค่ว่าตนนึกคิดเช่นนี้ ไทเฮาทรงมีปฏิภาณไหวพริบย่อมต้องเข้าใจความหมายที่นาง้าจะสื่อและไม่ถือสาหาความ เพราะสิ่งที่ไทเฮาทรงอยากได้ยินมีเพียงความพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาของนางเท่านั้น
ภายในพระทัยของไทเฮารู้ดีว่าปัญหาเล็กจะต้องตามมาอย่างแน่นอนแต่องค์รัชทายาทคงไม่กล้าสร้างปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นนางไม่ต้องยุ่งยากอะไรมากนักและในมุมมองของเชื้อพระวงศ์ก็ไม่ได้ถือเป็ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด หากนางจะต้องออกหน้าก็แค่เอ่ยเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น
ครั้นให้เวลาไทเฮาทรงคิดทบทวนครู่หนึ่ง หรงหว่านซีจึงเอ่ยต่อ“ส่วนเื่ของท่านพ่อ ท่านพ่อรักใคร่เอ็นดูเฉินหนวี่แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือคำว่า ‘ภักดี’ เพคะ หากเป็พระราชประสงค์ของฝ่าาและไทเฮา ท่านพ่อจะต้องไม่คัดค้านอย่างแน่นอนยิ่งไปกว่านั้นท่านพ่อรักใคร่เฉินหนวี่ ย่อมต้องฟังคำกล่าวของเฉินหนวี่แน่นอนเพคะเฉินหนวี่จะเป็ผู้รับมือกับท่านพ่อเพคะ ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงเป็ห่วงเฉินหนวี่ ขอไทเฮาโปรดวางพระทัยเพคะ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หรงหว่านซีกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาเฉินอ๋องหันมองนางด้วยสายตาฉายแววขบขันเล็กน้อย เด็กผู้หญิงคนนี้ฉลาดยิ่งนักมากเสียจนบุรุษสิบคนก็ยังสู้ไม่ได้หากมีผู้ที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีเช่นนี้อยู่ในจวนคาดว่าภายในจวนคงจะสามารถสงบสุขอย่างแน่นอน
[1]หนูปี้เป็คำใช้แทนตัวข้ารับใช้เช่นเดียวกับหนูฉาย
[2]หมัวหมั่ว เป็สรรพนามที่ใช้เรียกนางกำนัลรับใช้าุโที่เคยแต่งงานแล้วทางราชสำนักจะคัดเลือกแม่ม่ายที่ไม่มีลูก อายุประมาณ 40-50 ปีเข้ามาเป็นางกำนัลรับใช้เชื้อพระวงศ์ที่มีตำแหน่งสูงอย่างฮองไทเฮา ฮองเฮา พระชายาหรือเป็แม่นมให้กับพระโอรสพระธิดาที่เกิดแต่องค์จักรพรรดิกับฮองเฮาและพระชายานอกจากนี้ยังสามารถควบคุมดูแลสั่งสอนเหล่านางกำนัลรับใช้ทั่วไปได้รวมถึงสอนเื่การแต่งตัวแต่งหน้า อบรมมารยาทและพิธีการในวังหลวง
[3]อายเจียคือคำแทนตัวของพระพันปีหรือไทเฮา