ภายในห้องเงียบสงัดครู่หนึ่งจากนั้นได้ยินพระสุรเสียงของพระพันปีดังขึ้น“อายเจียก็เข้าวังเมื่อครั้งอายุเท่าเ้าหญิงอายุเท่านี้ล้วนแต่อยากหัวใจของชายอันเป็ที่รักไม่หนีห่างจนเส้นผมขาวโพลน เ้าควรจะรู้เอาไว้ เฉินเอ๋อร์แต่งกับเ้าเพราะพอใจในชื่อเสียงอันดีงามของเ้าในเมื่อเป็เช่นนี้ เ้ายังคิดว่าไม่เป็อะไรอีกหรือ?”
หรงหว่านซีรู้ว่านี่จะเป็คำถามสุดท้ายนางจะต้องคิดหาคำตอบสำหรับรับมือได้ถูกต้อง ในสมองของนางมีสองวิธีวิธีแรกคือบอกความจริงว่านางจำเป็ต้องเลือกภัยที่เป็อันตรายน้อยที่สุดจากหนึ่งในสองอีกวิธีหนึ่งคือบอกไปว่าเป็การ ‘ทดแทนบุญคุณ’
หากเลือกวิธีแรก แม้จะเป็การบอกความจริงแต่ก็เสี่ยงเกินไปหากเลือกวิธีที่สอง... แม้ไทเฮาทรงไม่แสดงออกแต่นางรับรู้ได้ว่าไทเฮาทรงพอพระทัยคำตอบก่อนหน้าของนางในเมื่อเป็เช่นนี้ หากยังคงตอบเอาพระทัยไทเฮา อาจจะทำให้ไทเฮาเข้าพระทัยว่านางกล่าววาจาไพเราะเพื่อประจบสอพลอ
ฉะนั้นหากนางเลือกวิธีที่สองคงพอจะสามารถแสดงให้เห็นถึงความนอบน้อมและจริงใจมากพอไทเฮาทรงเป็ผู้มากประสบการณ์เื่การวางแผนไม่ใช่ผู้ที่ผู้ใดจะสามารถล่วงเกินหรือทำให้ไม่พอพระทัย
หรงหว่านซีปริปากเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลายแม้น้ำเสียงที่เปล่งออกจากริมฝีปากปราศจากการแต่งแต้มสีเชอร์รีจะแ่เบาทว่าฟังดูเด็ดเดี่ยวมากกว่ายามปกติ “ได้รับบุญคุณแต่มิรู้จักตอบแทนไม่ใช่การกระทำของคนดีเพคะ”
เมื่อเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของหรงหว่านซี เฉินอ๋องถึงกับถอนหายใจแ่เบาวาจาเช่นนี้แม้แต่เขายังรู้สึกซาบซึ้งใจ หรงหว่านซีไม่ใช่คนเหลาะแหละเลยกระทั่งเสด็จย่าที่ยากจะรับมือนางยังไม่สะทกสะท้าน
หรงหว่านซีใช้หางตาชำเลืองมองใบหน้ายังคงราบเรียบและก้มหน้ารอฟังสิ่งที่ไทเฮาจะตรัส
ไทเฮาทรงทอดพระเนตรหรงหว่านซี ตามด้วยทอดพระเนตรเฉินอ๋อง...สายพระเนตรพลันฉายแววเข้าใจเหตุผลอย่างลึกซึ้ง
“พวกเ้ากลับไปเถิดอายเจียจะไปหารือกับฝ่าาสักหน่อย ก่อนเวลาอาหารค่ำคงจะมีผลสรุป”
หลังจากทูลลาไทเฮาหรงหว่านซีจึงเดินตามหลังเฉินอ๋องออกมาจากตำหนักสือหนิงกงและมุ่งหน้าไปยังประตูวังทางทิศเหนือ
หรงหว่านซีเอาแต่มองทางเดินโดยไม่ชำเลืองมองเฉินอ๋องที่เดินนำอยู่ด้านหน้าไม่ห่างจากนางแม้แต่นิด
คนทั้งสอง ผู้หนึ่งเดินนำหน้าผู้หนึ่งเดินตามหลังอยู่เช่นนี้จนกระทั่งมาถึงป่าต้นหลิวของอุทยานอวี้ฮวาเฉินอ๋องหยุดฝีเท้าและหันหลังกลับมาเรียกนาง “หรงหว่านซี เ้ามานี่”
ฝีเท้าของหรงหว่านซียังคงสม่ำเสมอเดินไม่ช้าไม่เร็วมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินอ๋องและทำความเคารพ“เตี้ยนเซี่ยมีอะไรหรือเพคะ?”
เฉินอ๋องหันข้างพลางมองพิจารณานางทางหางตาใบหน้าของนางยิ่งแลดูงามล่มเมืองยามอยู่ใต้แสงอาทิตย์ฤดูใบไม้ผลิและใบอ่อนต้นหลิวที่พลิ้วไหวเส้นผมปลิวคลอเคลียข้างใบหน้าขาวดุจหิมะของนาง... เฉินอ๋องเอื้อมมือออกไปหมายจะช่วยเอาผมทัดหูให้นาง
ขณะเฉินอ๋องทำเช่นนั้น หรงหว่านซีกลับเบี่ยงกายหลบเล็กน้อยนางใช้กิริยาท่าทางเพียงเล็กน้อยนี้เพื่อแสดงออกถึงความห่างเหิน
“ฮ่าๆ กลัวอะไรกัน? เปิ่นหวางไม่ได้จะทำอะไรเ้าสักหน่อย?ใช่แล้ว เมื่อครู่เห็นเ้า..คล้ายจะสนใจซุ้มดอกไม้ในตำหนักสือหนิงกงไม่น้อย”เฉินอ๋องยังคงหันข้างพลางชำเลืองมองนางเช่นเดิม
ไม่รอให้หรงหว่านซีตอบอะไร เฉินอ๋องกลับเอ่ยเสียงเบา“ตามที่เล่ากันมา ผู้ที่เสด็จปู่ทรงโปรดปรานมากที่สุดมิใช่เสด็จย่าแต่เป็จิ้งกุ้ยเฟย[1] หรือก็คือจิ้งกุ้ยไท่เฟย[2] ในยามนี้”
หรงหว่านซีรู้ว่าเฉินอ๋องคิดว่านางสนใจซุ้มปลูกดอกไม้เลื้อยเพราะนึกอิจฉาในความรักมั่นคงของฮ่องเต้และฮองเฮา
นางยกยิ้มบางและเอ่ย “เตี้ยนเซี่ยเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะซุ้มดอกไม้นั้นแค่ดูสวยงามเท่านั้น”
เฉินอ๋องกลับไม่สนใจคำตอบของนางยังคงหันข้างมองคล้ายจะจ้องตานางให้ได้
“วันนี้เ้าทำได้ดีมากยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จย่าเปิ่นหวางจะรับปากเ้าอีกเื่หนึ่ง” เมื่อไม่อาจสบสายตานางเฉินอ๋องจึงไม่ดันทุรังและหันหลังให้นาง “หลังเข้าพิธีเเต่งงานหากเ้าสามารถดูแลจัดการเื่ภายในจวนเป็ระเบียบเรียบร้อยเช่นเสด็จย่า ถ้าเ้าอยากได้ความโปรดปรานเช่นซุ้มดอกไม้นั้นข้าก็ให้เ้าได้แต่ยกเว้นหัวใจที่ข้าให้เ้าไม่ได้ ภายในจวนเฉินอ๋องเ้าจะมีตำแหน่งเป็นายหญิงผู้มีอำนาจควบคุมดูแลทุกอย่างภายในจวน”
“เฉินหนวี่ขอบพระทัยเตี้ยนเซี่ยเพคะ”หรงหว่านซีถอนสายบัวทำความเคารพ
เฉินอ๋องโบกมือไปมา “ไม่ต้องเกรงใจเื่พวกนี้เ้าสมควรได้รับทั้งนั้น”
หรงหว่านซีเงยหน้าขึ้นบังเอิญเห็นเฉินอ๋องเดินผ่านต้นหลิวแตกใบอ่อนเข้าพอดีวันนี้เขาสวมอาภรณ์สีขาวนวลทำจากผ้าไหม เมื่ออยู่ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นเช่นนี้อาภรณ์สีขาวนวลดุจแสงจันทร์จึงแลดูคล้ายกับกำลังทอแสงแวววับจับตาบุคลิกอันมีเสน่ห์เช่นนี้เมื่ออยู่ท่ามกลางป่าต้นหลิวจึงยิ่งแลดูงดงามดุจภาพวาด... เพียงแต่ต่อให้คนผู้นี้จะรูปงามเพียงใดก็ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในดวงใจของนาง นางลอบถอนหายใจทว่าบนใบหน้ากลับราบเรียบขณะเดินออกจากวังหลวงพร้อมกับเฉินอ๋อง
หลังออกจากประตูวังทางทิศเหนือจึงตรงกลับจวนก่อนจะถึงเวลาอาหารค่ำ มีพระราชเสาวนีย์หนึ่งม้วนมาถึงจวน
“บุตรสาวตระกูลหรงนามหว่านซีคือสตรีมีสติปัญญาปราดเปรื่อง งามเพียบพร้อมด้วยกิริยาและหน้าตาถือเป็แบบอย่างของกุลสตรีบัดนี้ได้มอบบุตรสาวของตระกูลหรงให้เป็พระชายาเอกขององค์ชายสามนับแต่นี้เป็เวลาครึ่งเดือนจะมีพิธีเสกสมรสในฤกษ์งามเดือนห้าวันที่แปดขุนนางหรงอบรมบุตรสาวได้ดี จึงมีรางวัลเพื่อแสดงความชื่นชมเป็ทองหนึ่งร้อยชั่งผ้าไหมหนึ่งร้อยผืนและม้างามสิบตัว...”
หรงหว่านซีและบิดาน้อมรับพระราชเสาวนีย์ท่านพ่อให้สิ่งของตอบแทนเจี่ยงกงกง[3] และออกไปส่งเจี่ยงกงกงถึงหน้าประตูจวนด้วยตนเอง
เมื่อกลับมาถึงโถงใหญ่และมีเพียงสองพ่อลูกขณะมองพระราชเสาวนีย์สีเหลืองทองที่วางอยู่บนโต๊ะแม่ทัพหรงถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“หว่านซีบุตรของข้า พ่อทำร้ายเ้าเสียแล้ว...”
หรงหว่านซีเก็บพระราชเสาวนีย์พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ“ไม่ได้ทำร้ายข้าเ้าค่ะ ท่านพ่อการได้ออกเรือนกับเฉินอ๋องถือเป็บุญวาสนาของลูกเ้าค่ะ”
หรงหว่านซีคุกเข่าอยู่ต่อหน้าบิดาและจับมือเขาเพื่อปลอบใจ“ท่านพ่อ เื่ราวผ่านพ้นไปแล้ว ท่านกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้วเ้าค่ะพวกเราไม่ต้องเอ่ยถึงเื่นี้อีกแล้ว แท้จริงแล้ว... เฉินอ๋องเป็คนดีมากเพคะวันนี้เขายังสัญญาว่าจะภายหน้าจะดีต่อลูก”
“เฮ้อ...” แม่ทัพหรงถอนหายใจยาวอีกครั้ง
“ท่านพ่อ อย่าได้คิดมากเลยเ้าค่ะพวกเรารีบตั้งสำรับกันเถิด ลูกหิวแล้ว” หรงหว่านซียังคงเอ่ยปลอบบิดาตน
ตลอดการทานอาหารหรงหว่านซีพบว่าบิดาของตนอ้ำอึ้งคล้ายมีบางสิ่งอยากจะกล่าวนางคิดว่าบิดายังคงเป็กังวลเพราะเื่พระราชเสาวนีย์ ในเมื่อท่านพ่อไม่พูดนางจึงไม่เอ่ยถาม เพราะนางรู้ว่าบิดาไม่มีทางทำเื่เหลวไหลเช่นการขัดพระราชเสาวนีย์อย่างแน่นอนยามนี้ที่ท่านพ่อเป็ทุกข์ใจคงเพราะนึกสงสารนาง
เด็กรับใช้ในจวนเก็บสำรับอาหารค่ำหรงหว่านซีอยู่พูดคุยกับบิดาครู่หนึ่งก่อนจะขอตัวกลับห้อง
ยามค่ำชูเซี่ยเข้ามาเตรียมน้ำสำหรับอาบน้ำหรงหว่านซีสั่งให้นางออกไป ทว่าเด็กผู้นี้กลับมีท่าทีลังเลคล้ายกับอยากจะเอ่ยบางสิ่ง
“เป็อะไรไป?”
“ไม่...ไม่มีอะไรเ้าค่ะ” ชูเซี่ยเอ่ยตะกุกตะกัก
เมื่อลองนับวันเวลาดู หรงหว่านซีจึงรู้ว่าเป็เพราะเื่อะไรไม่น่าระหว่างทานอาหารค่ำ ท่านพ่อถึงได้ดูคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างแท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะเื่พิธีสมรสพระราชทานของไทเฮา แต่ท่านพ่อกำลังคิดว่าควรจะเอาจดหมายให้นางหรือไม่ต่างหาก
“เขาส่งจดหมายมาแล้วใช่หรือไม่?” น้ำเสียงของหรงหว่านซีราบเรียบยิ่งนัก
ชูเซี่ยพยักหน้า “เมื่อครู่หนูปี้ออกไปตักน้ำนายท่านจึงมอบให้หนูปี้เ้าค่ะ...”
“เอามาเถิด” หรงหว่านซีเอ่ย
“หนูปี้เกรงว่าคุณหนูอ่านแล้วจะยิ่งเสียใจ”ชูเซี่ยเม้มปาก ภายในใจว้าวุ่นยิ่งนัก
“ไม่เป็อะไร”
เมื่อเห็นคุณหนูหนักแน่นเช่นนี้ชูเซี่ยจึงได้แต่นำจดหมายของหลิงอ๋องส่งให้คุณหนู
ภายใต้แสงเทียน หรงหว่านซีค่อยๆ เปิดจดหมายของเขาออก...
“ซีเอ๋อร์....”
สิ้นเสียงเรียกอันแ่เบา หรงหว่านซีคล้ายกับมองเห็นภาพชายหนุ่มรูปงามควบม้าอยู่ในถิ่นทุรกันดารแถบชายแดน
เขาควบม้าพลางหันกลับมามองนาง รอยยิ้มของเขาช่างอบอุ่นไม่ต่างจากแสงอาทิตย์...
เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ วิชาความรู้สามารถทำนายอนาคตวรยุทธ์สามารถปกป้องบ้านเมือง เขาต้องใช้ชีวิตเป็ทหารจับศัสตราวุธ มีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว แต่ต้องมีความอ่อนโยนและยึดมั่นในความสัมพันธ์แม้ผ่านไปนานปีไม่มีเปลี่ยนผัน...
คนผู้นี้คือคนที่นางรัก ผู้ที่ไม่อยู่ในดวงใจแม้ให้แสดงไมตรีอย่างขอไปทีก็มิยินยอม แต่หากเป็ผู้ที่อยู่ในดวงใจ ย่อมปฏิบัติราวกับเป็ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ต่อจักรพรรดิเมื่อก่อนหรงหว่านซีก็คือคนเช่นนี้ แต่นับจากวันนี้ไป...
ส่งจดหมายสื่อรักพันลี้ไม่อาจสมหวัง
หรงหว่านซีอ่านจดหมายที่เขาส่งมาเขาบอกเล่าถึงเื่ราวที่ชายแดน เขากำชับให้นางพักผ่อนกายใจไปกับฤดูใบไม้ผลิกำชับให้นางรักษาเนื้อรักษาตัว...
ในหัวปรากฏภาพของเขา ในใจได้ยินเสียงเขาดังกึกก้องทว่าบนใบหน้ากลับไม่เผยความรู้สึกใดแม้แต่นิด ยังคงราบเรียบดังเดิม
ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบนิ่งของคุณหนูของตนชูเซี่ยจึงยิ่งรู้สึกปวดใจ เอ่ยโน้มน้าวว่า “คุณหนู ไม่ต้องอ่านแล้วเ้าค่ะจะเป็ทุกข์ใจเอาได้นะเ้าคะ”
[1]กุ้ยเฟย คือตำแหน่งพระสนมที่รองมาจากฮองเฮาและฮวางกุ้ยเฟย
[2]กุ้ยไท่เฟย คือตำแหน่งพระสนมกุ้ยเฟยของจักรพรรดิพระองค์ก่อน
[3]กงกงเป็คำเรียกขันที