เฉินอ๋องถอนหายใจแ่เบา คิดในใจว่า หากไม่บอกความจริงทำอย่างไรก็คงหลอกเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ จึงยอมเอ่ยออกไปว่า “ง่ายนิดเดียวเพราะหญิงที่ข้ารักมั่นอยู่ข้างพระวรกายองค์รัชทายาท ส่วนองค์รัชทายาททรงโหยหาเ้าดังนั้นข้าจึงจะแต่งกับเ้าเพื่อถือเป็การแก้แค้นให้ตนเอง”
หรงหว่านซีเคยได้ยินชูเซี่ยนินทามาก่อนคล้ายเฉินอ๋องจะรักมั่นต่อบุตรอนุของจวนอัครเสนาบดีมานานปีแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ภายหลังสตรีนางนั้นกลับไปติดตามองค์รัชทายาทเมื่อเป็เช่นนี้ การที่เฉินอ๋อง้าจะแต่งกับตนก็พอจะสมเหตุสมผล
“เป็อย่างไร? เหตุผลนี้เพียงพอแล้วหรือไม่?”เมื่อเห็นหรงหว่านซีไม่กล่าวสิ่งใด เฟิงเป่ยเฉินจึงเอ่ยถาม
“เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยเพคะ หากท่านสามารถช่วยบิดาของข้าจะให้ข้าตอบแทนท่านเช่นไรย่อมได้ แต่ไม่แต่งงานได้หรือไม่เพคะ?” หรงหว่านซีสามารถสละได้ทุกอย่างเพียงแต่นางไม่อยากเอาความสุขทั้งชีวิตของตนไปพนัน นางอยากใช้ชีวิตนี้อย่างสงบสุขและเดิมทีมิได้อยากถูกผูกพันธนาการไว้ที่เมืองหลวง
“นอกจากสิ่งนี้ เปิ่นหวางยังไม่สนใจสิ่งอื่นท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มแล้ว ข้อเสนอของข้า เ้าก็เก็บไปคิดสักนิด หากไม่อยากจะไปจวนองค์รัชทายาทจริงๆถ้าเช่นนั้นก็ไปหาข้าแล้วให้คำตอบข้าที่จวนเฉินอ๋อง”
กล่าวจบ เฉินอ๋องหันหลังเดินจากไปทันที...
เหลือเพียงหรงหว่านซีที่ยังจิตใจสับสนว้าวุ่น...
ไม่ว่าจะองค์รัชทายาทหรือเฉินอ๋องล้วนไม่ใช่ผู้ที่จะเป็สามีของนางทั้งนั้นคนผู้นั้นที่นางหลงรัก ยามเขาแย้มยิ้มช่างอบอุ่นอ่อนโยนประดุจแสงอาทิตย์
ชายผู้นั้นที่นางหลงรักคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่...
ครั้นกลับถึงจวนแม่ทัพคือยามเที่ยงวัน
“คุณหนู ท่านไม่เป็อะไรใช่หรือไม่เ้าคะ?” ชูเซี่ยรีบรุดเข้ามาหาทันที
หรงหว่านซีส่ายอย่างไร้ิญญา...
“คุณหนู ท่านยังไม่กินอะไร ข้าจะให้จือชิวไปทำขนมในห้องครัวนะเ้าคะ”
“ไม่ต้อง ข้าไม่หิว” หรงหว่านซีนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไร้ชีวิตชีวาเอ่ยถามเสียงเบาว่า “มีข่าวคราวจากกรมอาญาแล้วหรือไม่?”
“จะว่ามีก็มีเ้าค่ะ แต่...?”สีหน้าของชูเซี่ยดูแปลกไปจากปกติและเอ่ยวาจาอ้ำอึ้ง
หรงหว่านซีเงยหน้าปรายตามองหญิงรับใช้เอ่ยอย่างจนปัญญาเล็กน้อย “ชูเซี่ย เ้ากลายเป็คนติดอ่างั้แ่เมื่อใดคล้ายไม่ใช่เ้าเลย”
ชูเซี่ยได้ยินเช่นนั้นจึงกัดริมฝีปากและเอ่ย “มีข่าวจากกรมอาญาว่าโทษทัณฑ์ของนายท่านไม่อาจดิ้นหลุดนับจากนี้เจ็ดวันจะต้องโทษปะาที่นอกประตูอู่เหมิน[1] เ้าค่ะ”
“อะไรนะ?” หรงหว่านซีนั่งไม่ติดเก้าอี้ หยัดกายลุกขึ้นโดยพลัน ใบหน้าขาวซีด
นางสูญเสียมารดาั้แ่ยังเด็กและมีบิดาเป็ที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวบิดาของนางไม่แต่งงานใหม่เพื่อนางมาหลายปี กระทั่งอนุแม้แต่นางเดียวก็ยังไม่ยอมมีแม้ต้องเดินทางไปชายแดนยังพานางไปด้วย ยามนี้ใกล้จะได้อยู่สุขสบายในวัยเกษียณ แต่กลับต้องถูกตัดหัวประจานต่อหน้าผู้คนเมื่อเป็เช่นนี้จะให้นางยอมรับได้อย่างไรกัน
หรงหว่านซีรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามืดมิดร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไม่มั่นคงและทิ้งกายลงบนเก้าอี้...
“คุณหนู คุณหนูเ้าคะ ท่านเป็อะไรไป?” ชูเซี่ยใจนสติกระเจิงนางรีบเข้าไปประคองคุณหนูทันที
“ไม่เป็อะไร” หรงหว่านซีกล่าวสามคำนี้อย่างไร้เรี่ยวแรง
“ชูเซี่ย เ้าไปหาชุดกระโปรงหลากสีมาให้ข้าทีข้าจะออกไปข้างนอก”
“คุณหนู ท่านเดินทางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเถิดเ้าค่ะ” ชูเซี่ยมองเ้านายของตนอย่างปวดใจ
“ข้าไม่อยากชักช้าแม้แต่วินาทีเดียวไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยท่านพ่อออกมาให้ได้” หรงหว่านซีรู้หากนางล่าช้าแม้เพียงหนึ่งนาทีบิดาของนางก็ต้องทนลำบากเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งนาทีเช่นกัน
ท้ายที่สุด หรงหว่านซีดื่มน้ำหนึ่งจอกและผลัดอาภรณ์ไปสวมชุดกระโปรงหลากสีก่อนจะขึ้นรถม้า
“คุณหนู พวกเราจะไปที่ใดกันขอรับ?” สารถีของจวนแม่ทัพเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง
หลังนิ่งเงียบไปนาน หรงหว่านซีถึงเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้าว่า“จวนเฉินอ๋อง”
ถูกต้อง หากให้เลือกหนึ่งในสองท้ายที่สุดนางก็เลือกจวนเฉินอ๋อง ไม่ว่าเฉินอ๋อง้าจะแก้แค้นองค์รัชทายาทก็ดีหรือ้าทำให้ฉินอิ่นเยว่แค้นเคืองก็ดี มูลเหตุเป็เพราะอะไรไม่สลักสำคัญ แต่ที่สำคัญคือระหว่างพวกเขาไม่มีความรักเป็เช่นนี้ย่อมดีที่สุดภายหลังหากเห็นหน้ากันจนเบื่อหน่ายก็อาจจะให้ใบหย่านางสักใบ ถึงยามนั้นยังมีอิสรเสรีทว่าองค์รัชทายาทไม่เป็เช่นนั้นไม่กล่าวถึงเื่นิสัยใจคอขององค์รัชทายาทว่าเป็เช่นไร เพราะภายหน้าหากขึ้นครองราชย์อย่างน้อยนางคงต้องมีตำแหน่งเป็สนม คิดจะหาทางถอนตัวออกมาย่อมเป็เื่ยากสำหรับเหล่าสนมนางในของวังหลังที่พึ่งพิงสุดท้ายหากไม่ใช่สุสานของราชวงศ์ก็คงเป็ตำหนักเย็น
หรงหว่านซีเป็คนฉลาดหลังนางคิดชั่งใจถึงข้อดีข้อเสียจึงรับข้อเสนอของเฉินอ๋อง
ภายในจวนเฉินอ๋อง
ครั้นเฟิงเป่ยเฉินเห็นหน้าหรงหว่านซี เขาไม่มีสีหน้าใแม้แต่น้อย คล้ายกับเขารู้แต่แรกแล้วว่าหรงหว่านซีจะต้องมา
“ข้าคิดดีแล้ว ข้ารับข้อเสนอของท่านท่านรีบช่วยท่านพ่อของข้าออกมาโดยเร็วด้วยเถิด”
“ได้” เฟิงเป่ยเฉินตอบรับอย่างสบายใจ
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปแล้ว รอให้ท่านพ่อของข้าออกมาข้าจะทำตามคำสัญญา”
“เ้าวางใจได้วันพรุ่งนี้พ่อของเ้าจะต้องออกมาอย่างไร้รอยแผลแน่นอน หรงหว่านซีเ้าจงอยู่กับข้าก่อน...” เฟิงเป่ยเฉินยังกล่าวไม่ทันจบ หรงหว่านซีพลันขมวดคิ้ว “เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยข้ารับปากจะแต่งกับท่านแล้ว ท่านรอไม่ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ตอนนี้ข้าคือหญิงที่ยังไม่ออกเรือนหากค้างแรมที่นี่ ต่อให้ภายหน้ามีตำแหน่งเป็พระชายาเฉินอ๋องแต่ก็ต้องถูกครหาถึงยามนั้นท่านก็ต้องอับอายขายหน้าเช่นกัน”
เฉินอ๋องนิ่งอึ้งก่อนจะหัวเราะออกมา “ค้างแรม? เ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าจะบอกว่าให้เ้าอยู่เพื่อร่วมทานอาหารค่ำกับข้าถือเสียว่าเป็การฉลองให้กับการร่วมมืออย่างราบรื่น”
ครั้นหรงหว่านซีได้ยินว่าตนเข้าใจผิดใบหน้าจึงขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะรู้สึกอับอายเป็ที่สุด
แม้นางไม่มีกะจิตกะใจจะอยู่กินข้าวที่นี่ทว่าเฉินอ๋องรับปากแล้วว่าจะช่วยบิดาของนางอย่างไรก็อย่าหักหน้าผู้อื่นให้มากนักก็เป็พอ
ท้ายที่สุด หรงหว่านซีจึงอยู่ทานอาหารค่ำกับเฟิงเป่ยเฉิน
ทางด้านคนในจวนองค์รัชทายาทได้รอจนร้อนใจยิ่งนัก เขาคิดว่าหรงหว่านซีจะต้องมาแน่นอนเพราะนี่คือทางออกเดียวของนาง
ทว่าเขาคิดไม่ถึงว่าหรงหว่านซีจะเอาชีวิตไปเดิมพันกับบุรุษอีกผู้หนึ่งและคนผู้นั้น ไม่ใช่เขา
ถึงแม้นว่าเขาจะมีฐานะสูงส่งและเป็ถึงบุตรที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างตามใจจนเคยตัวแต่ก็ยังมีสตรีที่เขาปรารถนาแต่ไม่อาจ
ขณะเดียวกัน มีเสียงฝีเท้าอันแ่เบาของสตรีเดินเข้ามา...
พระพักตร์ขององค์รัชทายาทฉายแววยินดีครั้นเงยพระพักตร์ขึ้นมากลับพบว่าเป็หญิงรับใช้ของตนสีพระพักตร์ของความยินดีพลันมลายหายไปจนสิ้น
“เตี้ยนเซี่ย ถึงเวลาของเครื่องเสวยแล้วเพคะ”
“ไสหัวออกไป”
องค์รัชทายาททรงพิโรธขึ้นมาเป็เหตุให้ผู้คนทั้งจวนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังเพราะหวาดเกรงว่าท่านชายผู้นี้จะกรุ่นโกรธตน
ครั้นถึงยามตกดึก เมื่อเห็นว่าหรงหว่านซียังคงไม่มาองค์รัชทายาททรงไม่อาจอดกลั้นอีกต่อไป ตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นะเืว่า “หรงหว่านซีข้าให้โอกาสแต่เ้ากลับไม่คว้าไว้ หากพ้นคืนนี้ไป ข้าจะทำให้เ้าต้องมาคุกเข่าขอร้องให้ข้าร่วมรักกับเ้าแน่นอน”
เช้าตรู่วันถัดมา
องค์รัชทายาทพึ่งจะตื่นบรรทมผู้ดูแลจวนกลับรีบร้อนเข้ามากราบทูลว่า “เตี้ยนเซี่ยแม่ทัพหรงออกจากคุกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นองค์รัชทายาททรงได้ยินเช่นนั้นพลันเปลือกพระเนตรกระตุก“ผู้ใดให้เขาออกจากคุก?”
“กล่าวกันว่า...ไทเฮา[2]เหนียงเหนียงเป็ผู้รับสั่งด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็ไปไม่ได้ เสด็จย่าจะก้าวก่ายเื่เช่นนี้ได้อย่างไร?” องค์รัชทายาททรงไม่เชื่อ แม้พระพันปีจะมีตำแหน่งสูงส่งและมากอำนาจทว่าทรงเพิกเฉยต่อเื่ราวภายในวังหลวงมานานปีกระทั่งการคัดเลือกพระสนมยังไม่ทรงเข้าร่วมจึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเื่ภายในราชสำนัก
“หนูฉายได้ยินมาว่า... เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยทรงขอพระเมตตาจากไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าว่าอย่างไรนะ? คือเฟิงเป่ยเฉินงั้นรึ?” องค์รัชทายาทในยามนี้สีพระพักตร์ดำทะมึนจนยากจะหาสิ่งใดเปรียบ
[1]ประตูอู่เหมิน คือประตูใหญ่ทางเข้าพระราชวังโบราณกู้กง
[2]ไทเฮาคือพระพันปีหลวงหรืออัครมเหสีของฮ่องเต้พระองค์ก่อนเหนียงเหนียงเป็คำใช้เรียกพระสนมและฮองเฮา