ต้านเสวี่ยใจเต้นระรัว แต่ยังคงแสร้งทำหน้านิ่งเฉย “แน่นอนว่าเถาเซียงต้องเก่งกว่าอยู่แล้วเพคะ ถ้าให้หม่อมฉันฆ่าห่านฆ่าไก่ยังพอไหว หากให้ลงมือกับคน เกรงว่าแม้แต่ขันทีน้อยก็คงสู้ไม่ไหว”
ชิงอีชำเลืองมองอย่างมีเลศนัย ก่อนจะหันไปมองเถาเซียงที่กำลังกระสับกระส่ายอยู่ “เสี่ยวเถา เ้าคิดว่าอย่างไร?”
เถาเซียงกัดริมฝีปากแน่น แล้วคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุ้บ “องค์หญิงที่จริงแล้ว หม่อมฉัน...”
“ลุกขึ้นเถอะ” ชิงอีไม่รอให้นางพูดจบ พลางยืดแขนบิดี้เี “เมื่อคืนเ้าทำได้ดีมาก พยายามต่อไปล่ะ”
เอ๋...
ไม่ต้องพูดถึงเถาเซียงและต้านเสวี่ยที่ตอนนี้มีสีหน้าสงสัย แม้แต่หลิงเฟิงเอง ก็เดาทางไม่ถูกว่าองค์หญิงใหญ่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
การซักถามดำเนินมาจนถึง่สุดท้าย จู่ๆ นางก็หยุดถามไปเสียอย่างนั้น?
กระนั้น ความกระวนกระวายของทั้งสามยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก ทุกคนที่อยู่ภายในห้องต่างรู้สึกแบบเดียวกันว่า บางที...องค์หญิงใหญ่น่าจะทรงรู้อยู่แล้ว?!
ภายในตำหนักพลันเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง พอทั้งสามคนเห็นสีหน้าของชิงอีก็เหมือนจะได้คำตอบหมดแล้ว
ต้านเสวี่ยกัดริมฝีปากแน่นพลันเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “องค์หญิงเพคะ เมื่อวานเกิดเื่ใหญ่เช่นนั้น ฮองเฮาทรงไม่ทนดูอยู่เฉยๆ เป็แน่เพคะ”
“แล้วยังไงล่ะ?” ชิงอียังคงมีท่าทีี้เีและเฉื่อยชาเช่นเดิม
“พวกเรา...ควรคิดหาทางรับมือเอาไว้ก่อน ดีหรือไม่เพคะ?”
“งั้นให้เสี่ยวเถาไปตำหนักอี้คุณกง จัดการฮองเฮาให้หนัก นางจะได้ไม่มีแรงมาวุ่นวายกับข้าอีก เ้าคิดว่าแผนนี้เป็อย่างไรบ้าง?”
คำพูดของชิงอี ทำให้คนฟังรู้สึกใอย่างมาก เถาเซียงกลัวจนต้องรีบคุกเข่า พร้อมใบหน้าซีดเผือด “องค์ องค์หญิง...หม่อมฉันกลัวตายเพคะ...”
หลิงเฟิงที่อยู่ข้างๆ อดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่ได้ ท่านแม่ ทำไมองค์หญิงใหญ่ผู้นี้ถึงไม่เกรงกลัวสิ่งใดเลย หรือว่านางเป็บ้าไปแล้ว?”
ต้านเสวี่ยตัวแข็งทื่อเหมือนหิน นางกลัวจนลืมกระทั่งกะพริบตา
ทว่า คนต้นเื่กลับหัวเราะชอบใจ “ดูพวกเ้าสิ ใกลัวอะไรขนาดนั้น ข้าก็แค่ล้อพวกเ้าเล่น”
หลังจากหยอกล้อทั้งสามคนไปแล้ว ชิงอีก็หยัดกายขึ้นช้าๆ หลิงเฟิงรีบยืดหลังตรงขึ้นทันที ในที่สุดองค์หญิงใหญ่ผู้นี้ก็สนใจมองมาทางเขาสักที
“ตอนนี้ศพของตู้ิเยวี่ยและเสาเหย้าอยู่ที่ไหน?”
“ทูลองค์หญิง อยู่ที่จวนท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“พาข้าไปดูหน่อย”
“ได้...อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?!” หลิงเฟิงที่ตั้งใจฟังคำสั่ง แต่หลังจากที่ได้ยินเขาก็ต้องร้องเสียงหลงออกมา พลางทำหน้ายู่ “องค์หญิง พระองค์จะเสด็จออกนอกวังไปจวนเซ่อเจิ้งอ๋องหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เ้ามีปัญหาหรือไง?”
“กระหม่อม มิ...มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ...”
“เช่นนั้นก็หุบปาก แล้วนำทางซะ”
หลิงเฟิงคิดว่าชิงอีคงแค่ล้อเล่น กระทั่งออกจากวังหลวงมาแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าองค์หญิงพูดจริง...
ณ จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง
ยามที่ชิงอีมาถึง เป็่เดียวกับที่เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่สองสามคนเดินออกมาจากจวนพอดี
พวกเขามองชิงอีที่กำลังลงมาจากรถม้าด้วยท่าทางอ้อยอิ่งถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำสีหน้าแปลกประหลาด หลังจากถวายบังคมชิงอีเสร็จ ก็รีบร้อนจากไปทันที
เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนในตำหนักเชียนชิวเลื่องลือไปถึงราชสำนัก การปรากฏตัวของชิงอีที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋องนั้น เป็เื่ยากที่จะไม่ให้ผู้คนคิดเตลิดไปไกล ถึงแม้นางจะหมั้นหมายกับเซียวเจวี๋ยอยู่ ทว่า ยังมิได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส กลับมาหากันถึงจวนเสียแล้ว อย่างไรเสียก็ยังเป็การทำผิดจารีตประเพณีอยู่ดี ดังนั้น การกระทำของนางจึงเป็ที่จับตาของผู้ที่ได้พบเห็น
องครักษ์จวนอ๋องเห็นนางเดินมุ่งเข้าไปด้านใน โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จึงตั้งใจจะเข้าไปขวางไว้ ทว่า หลิงเฟิงกลับขยิบตาให้ จึงไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด
หลังจากชิงอีเดินเข้าไปในจวนได้ไม่นาน ก็มีชายชราลักษณะคล้ายพ่อบ้านปรี่เข้ามาต้อนรับ
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงใหญ่”
“เซียวเจวี๋ยล่ะ?” ชิงอีเอ่ยขึ้น โดยไม่หยุดฝีเท้า และเดินตรงเข้าไปข้างในราวกับอยู่ในสวนของบ้านของตน
ลุงจงยังไม่ทันได้ตอบกลับ ก็ััได้เพียงลมหอมฟุ้งที่พัดผ่านข้างกายไป พอหันไปชิงอีก็เดินผ่านเขาไปเสียแล้ว ลุงจงยิ้มแหยๆ พลางมองหลิงเฟิงซึ่งมีสีหน้าที่ยากจะอธิบาย
ชิงอีเดินเข้ามาถึงภายในห้องโถงใหญ่ ก็ตรงไปนั่งบนที่นั่งของเ้าบ้านทันที โดยมีเถาเซียงและต้านเสวี่ยคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา
ลุงจงและหลิงเฟิงรีบตามเข้าไปติดๆ เห็นนางทำตัวราวกับเป็เ้าของบ้าน ทั้งที่เป็เพียงแขกก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ท่านอ๋องกำลังติดพันงานอยู่ ขอพระองค์โปรดรอสักครู่” ลุงจงกล่าวพร้อมก้าวมาด้านหน้า และเมื่อเอ่ยจบก็สั่งให้คนรีบยกชามาถวาย
“ไม่เป็ไร ข้าเองก็รู้สึกเพลียพอดี” ชิงอีหาวอย่างเกียจคร้าน พลางตบเ้าแมวอ้วนบนบ่า
เ้าแมวตัวอวบอ้วนจนมองไม่เห็นคอร้องออกมา ก่อนจะะโลงมาและวิ่งหายไปโดยไม่เห็นแม้แต่เงา
“องค์หญิง เ้าแมววิ่งไปแล้วเพคะ...” เถาเซียงเอ่ยขึ้นด้วยความใ
“ไม่เป็ไร มันจำเ้านายได้ ไปเดินเล่นสักรอบเดี๋ยวก็กลับมาเอง” ชิงอีหาวขึ้นมาอีกครั้ง แม้กระทั่งเปลือกตาก็แทบจะยกไม่ขึ้นแล้ว เห็นลุงจงกับหลิงเฟิงยังนิ่งไม่ไหวติงอยู่นาน จนนางต้องเงยหน้ามองอย่างรำคาญ “ไม่เห็นหรือว่าข้าเพลียแล้ว? ยังไม่รีบไปหาห้องหับให้ข้าพักอีก”
ลุงจง: “...”
หลิงเฟิง: “...”
นี่ท่านคิดว่าจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง คือตำหนักเชียวชิวหรืออย่างไร เดินทางมาไกลถึงที่นี่ เพื่องีบหลับงั้นหรือ?
ลุงจงเดินนำชิงอีไปยังเรือนชิงชิวย่วนห้องทางปีกฝั่งตะวันตกเพื่อพักผ่อน ทั้งยังสั่งคนของจวนอ๋องมารอปรนนิบัติอยู่นอกประตูอีก จากนั้นจึงปลีกตัวออกไป หลิงเฟิงเองก็ตามเขาไปเช่นเดียวกัน
เมื่อทั้งสองคนเดินห่างจากลานที่พักพอสมควร แล้วก็หันมามองหน้ากัน
“องค์หญิงใหญ่ทรงมาทำอะไรที่นี่กันแน่?” ลุงจงถามอย่างไม่เข้าใจ
หลิงเฟิงถึงกับปาดเหงื่อครั้งแล้วครั้งเล่า “ข้าไปพบท่านอ๋องก่อนละ ทางนี้ลุงจงก็คอยดูไว้ให้ดีก็แล้วกัน องค์หญิงใหญ่...ทรงไม่ค่อยเหมือนคนอื่นสักเท่าไร”
ภายในห้องหนังสืออบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้กฤษณา
มือของเซียวเจวี๋ยที่กำลังจรดปลายพู่กันชะงักไปชั่วครู่ ในขณะที่หมึกสีดำกำลังจะหยดลงมา เขาก็วางพู่กันกลับไปบนจานหินฝนหมึกเช่นเดิม ส่วนใบหน้าระบายยิ้มยากจะคาดเดา “นางกำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนชิงชิวย่วนอย่างนั้นหรือ?”
หลิงเฟิงพยักหน้าตอบด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย “ท่านอ๋อง องค์หญิงใหญ่พระองค์นี้ช่างแปลกประหลาดนัก เมื่อคืนเกิดเื่เช่นนั้นขึ้น นางยังสามารถนอนหลับได้ วันนี้กว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปตะวันสายโด่งแล้ว” หลิงเฟิงที่ไปอยู่ตำหนักเชียนชิวได้แค่ครึ่งวัน แต่กลับมีเื่ให้ใไม่น้อย “วันนี้นางยังพูดอีกว่าจะให้เถาเซียงไปตำหนักอี้คุนกงสั่งสอนฮองเฮาให้ลุกไม่ไหว เพียงเท่านี้ฮองเฮาก็จะมารบกวนนางไม่ได้อีกแล้ว! ท่านอ๋อง องค์หญิงใหญ่องค์นี้ สมองนางมีปัญหาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เซียวเจวี๋ยเงยหน้าขึ้น นอกจากจะไม่มีทีท่าใแต่อย่างใดแล้ว กลับหัวเราะออกมาเสียงดัง สร้างบรรยากาศที่แลดูเจิดจ้าและมีเสน่ห์ไม่ต่างจากแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิที่มีสายลมอ่อนๆ พัดพาเอาดอกท้อให้ร่วงหล่นเต็มพื้น ยามหัวเราะ หางตาราวกับถูกวาดขึ้นอย่างประณีตด้วยพู่กันชั้นเลิศคู่นั้นยกขึ้นน้อยๆ ส่วนขนตายาวคล้ายกับแปรงที่คอยกำบังแสง
หล่อเหลาถึงขั้นทำให้ผู้คนหวั่นไหวจนไม่อาจลืมตา
“ก็เป็คำพูดที่เหมาะสมกับนางดี”
หลิงเฟิงหาจุดที่น่าขันของเื่นี้ไม่เจอ และยังคงกังวลแทนผู้เป็นาย “ท่านอ๋องไม่รู้สึกว่าองค์หญิงใหญ่เปลี่ยนแปลงไปมากจากแต่ก่อนหรือขอรับ? อีกอย่าง กระหม่อมรู้สึกว่านางคงรู้แล้ว ว่าเถาเซียงกับต้านเสวี่ยเป็คนที่พวกเราส่งไป”
เซียวเจวี๋ยเพียงยิ้ม ไม่พูดอะไรสักคำ ลึกเข้าไปในดวงตามีคลื่นลูกเล็กที่เดาไม่ออกปรากฏขึ้น ทันใดนั้น เขาก็เดินไปที่หน้าต่าง ก่อนจะหยุดอยู่ครู่หนึ่ง พลันเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
คนหนึ่งคนกับแมวหนึ่งตัว ดวงตาสี่ดวงประสานกัน
บนขื่อนอกชายคานั้น มีแมวอ้วนตัวหนึ่งกำลังขนลุกซู่
เหมียว
เซียวเจวี๋ยกระตุกยิ้มมุมปาก “เจอกันอีกแล้วนะ เ้าเดรัจฉานตัวน้อย”