ระหว่างที่ชิงอีกำลังหลับสบาย
วังหลวงมีพลังหยางอุดมสมบูรณ์ สถานที่เช่นนี้เหล่าภูตผีล้วนเกลียดชัง ไม่ต้องพูดถึงตัวนางที่เป็ถึงราชินีแห่งภูตผีก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทว่า จวนเซ่อเจิ้งอ๋องกลับให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เพราะทันทีที่นางย่างเท้าเข้ามาที่นี่ก็รู้สึกเย็นสบาย
ประตูถูกผลักเข้ามาอย่างเบามือ แต่ชิงอียามนี้เหมือนกำลังจมอยู่ในห้วงฝันอันแสนหวาน ปอยผมที่แตกออกจากจอน พากันเคลื่อนตัวมาปรกบนใบหน้าขาวดั่งหยกของนางอย่างซุกซน ทั้งที่นางเกิดมามีใบหน้างดงามและดูเรียบร้อยแท้ๆ ทว่า เหนือคิ้วคมสวยมักปรากฏท่าทีง่วงซึม แลดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล ยามหลับตาก็มิอาจซ่อนความเย้ายวนที่แผ่ออกมาได้เลย
“ดูดีใช่ไหมล่ะ?”
น้ำเสียงที่ติดง่วงซึมของชิงอีดังขึ้น พร้อมค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาคู่นั้นจับจ้องไปยังร่างกายของชายหนุ่มเบื้องหน้า
เซียวเจวี๋ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณตรงข้ามเตียง ชายหนุ่มอยู่ในชุดผ้าแพรสีขาวราวกับถูกห่อหุ้มด้วยแสงจันทร์ ผิวขาวดูเย็นตาประหนึ่งหยกเย็นที่ถูกนำออกมาจากชั้นใต้ดิน บุคลิกคล้ายน้ำแข็งแกะสลักอย่างวิจิตรตระการตาบนหิมะใต้แสงแดดฤดูใบไม้ผลิ ยากนักที่จะเชื่อว่าคนเดียวกันนี้จะเป็คนโเี้ ไร้ความปรานี โดยมือชุ่มโชกไปด้วยเืจากสมรภูมิรบ
ชิงอีเป็คนช่างเลือก แล้วรูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มตรงหน้าก็เยี่ยมยอดที่สุดในสามโลก ต่อให้เทียบกับเหล่าปิศาจที่บำเพ็ญเพียรมานานหลายปี เขาก็ยังเหนือชั้นกว่าหลายขุม
ถ้านางจะพ่ายแพ้ ก็คงจะเป็แค่เื่นี้เพียงเื่เดียว!
เ้าไก่อ่อนนี่ ดันหน้าตาดีกว่านาง!
“รูปลักษณ์ภายนอกในสายตาองค์หญิงแล้ว มันสำคัญมากขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“พูดราวกับท่านไม่สนใจเื่ความงามหรืออัปลักษณ์เช่นนั้นแหละ” ชิงอีหัวเราะเยาะเย้ย พลันหยัดกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง “หากคืนนั้น หญิงสาวที่ร่วมเตียงกับท่านเป็หญิงสาวหน้าตาอัปลักษณ์ เซ่อเจิ้งอ๋องจะยังมีเวลาว่างมานั่งคุยไร้สาระอย่างสบายอารมณ์กับข้าเช่นนี้อยู่อีกงั้นหรือ? ”
“ในใต้หล้า ทุกคนล้วนชอบความสวยความงาม แน่นอนว่าข้าเองก็มิอาจหลีกหนีเื่นี้ได้ ทว่า ดูองค์หญิงจะรับรู้เื่ของข้าเพียงด้านเดียว ช่างไม่เป็ธรรมสักเท่าไร” เซียวเจวี๋ยยิ้มออกมาอย่างไม่สนใจนัก เป็จังหวะเดียวกับที่แสงแดดลอดเข้ามาทางหน้าต่างฉลุลายจีนเื้ัของชายหนุ่ม มันคงจะเป็ทิวทัศน์ที่งดงามและรอยยิ้มก็อาจดูเหมือนรอยยิ้มทั่วไป หากเพิกเฉยต่อตาเย้ยหยันที่ส่งให้อย่างไม่ปิดบังนั่น
เหมียว
แมวร้องเสียงแหลม ขัดจังหวะทั้งคู่ที่กำลังเชือดเฉือนกันให้หยุดชะงักลง สายตาของชิงอีเคลื่อนจากใบหน้าของชายหนุ่มมาข้างล่าง มีเ้าแมวโง่ตัวหนึ่งนั่งอยู่บนตักเขาราวกับรูปปั้นหิน มันถูกชายหนุ่มจับหนังบริเวณหลังคอไว้จนไม่กล้าขยับตัว
ดวงตาของชิงอีเย็นะเืขึ้นเล็กน้อย ‘เ้าตัวไร้ประโยชน์’
“ฮ่ะฮะ” เซียวเจวี๋ยหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือ เ้าแมวอ้วนราวกับเพิ่งพ้นโทษรีบวิ่งอย่างอิสระกลับมาอยู่ข้างกายชิงอี ั์ตาสีเขียวนั้นหันกลับไปถลึงใส่เซียวเจวี๋ยอย่างแค้นเคือง
“เ้าแมวที่อยู่ข้างองค์หญิงตัวนี้ช่างฉลาดนัก ข้าพบมันบนขื่อนอกชายคาของห้องหนังสือ หากมันมิใช่เพียงเดรัจฉานคงจะถูกสงสัยว่าจงใจมาแอบฟังเป็แน่”
“หากท่านมิได้ทำเื่ไม่ดี จะกลัวโดนแอบฟังไปทำไมล่ะ?”
พอเริ่มเปิดปากทั้งคู่ก็กลับมาเชือดเฉือนกันอีกครั้ง
ชิงอีลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก เมื่อมาถึงประตูก็เห็นแค่ต้านเสวี่ยเฝ้าอยู่ที่ประตู “เ้านายกำลังพักผ่อนอยู่ด้านใน แต่เ้ากลับให้ผู้อื่นบุกเข้าไปเนี่ยนะ? หากคนที่เข้ามาเป็ผู้ชายหื่นกามละก็ ข้าไม่ถูกพรากความบริสุทธิ์ไปแล้วหรือ?”
ต้านเสวี่ยรีบคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความกลัว พลันเงยหน้ามองเซียวเจวี๋ยโดยไม่รู้ตัว
เซียวเจวี๋ยที่เดินออกมาเห็นว่านางกำลังคุกเข่าอยู่ก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉย ทำเพียงมองแผ่นหลังของชิงอีอย่างใช้ความคิด
“องค์หญิง...ตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ! ต้านเสวี่ย...นี่ เ้าทำอะไรน่ะ? ” เถาเซียงที่เดินยกถ้วยชาเข้ามา แต่พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็วิ่งแทน และเตรียมคุกเข่าอีกคน ชิงอีกลับยืดมือไปผลักที่หน้าผากของนาง ทำให้หญิงสาวที่กำลังงอเข่ารีบเด้งตัวขึ้นทันที
“เป็บ่าวที่มาจากที่เดียวกันแท้ๆ คนหนึ่งน่ารักน่าเอ็นดู ทว่า อีกคนกลับโง่เขลานัก เซ่อเจิ้งอ๋อง คราวหน้า หากท่านอยากจะส่งคนเข้ามาจำไว้ว่าเลือกคนฉลาดๆ หน่อย”
พลันต้านเสวี่ยหน้าซีดเผือด เงยหน้าขึ้นอย่างหวาดหวั่น
ั้แ่ต้นจนตอนนี้ เซียวเจวี๋ยไม่มองนางเลยแม้แต่น้อย
เถาเซียงที่อยากจะคุกเข่า แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงไม่สามารถคุกเข่าลงได้ ทำได้เพียงย่ำเท้าไปมาอ้อนวอนอย่างร้อนรน “องค์หญิงโปรดไว้ชีวิตต้านเสวี่ยด้วยเพคะ นางมิได้มุ่งร้าย พวกเรา...พวกเราไม่เคยคิดทำร้ายองค์หญิงเลยเพคะ”
“พวกเ้าจะเป็คนของใคร ข้าก็ไม่สนใจหรอก ถ้ามองแล้วไม่เกะกะลูกตาและใช้งานได้ แค่ให้ข้าวพวกเ้าสองคนกิน ใช่ว่าจะทำไม่ได้” ชิงอีพูดพลางยิ้มกริ่ม “แต่หากไม่เชื่อฟังแล้วละก็ เสี่ยวเถาเอ๋อร์ เ้าว่าข้าจะเก็บคนเช่นนี้ไว้ข้างกายเพื่ออะไรกันล่ะ?”
เถาเซียงสบตานางด้วยปากเล็กที่เผยอขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี
หลิงเฟิงที่มองอยู่ข้างๆ ได้แต่เคร่งเครียด
หลังจากที่ฝ่าาพระราชทานอภิเษกสมรส จวนอ๋องก็ได้ส่งคนสองคนแฝงตัวเข้าไปยังตำหนักเชียนชิว นั่นคือเถาเซียงกับต้านเสวี่ย เมื่อคืนพวกนางทำตัวมีพิรุธ ชิงอีจึงเดาที่มาของพวกนางได้ไม่ยาก ทว่า กลับไม่ได้จัดการพวกนางในทันที วันนี้นางตั้งใจมาจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ใช่ว่านางอยากจะมาดูศพ แท้จริงแล้ว ้าจะแสดงความเก่งกาจให้ท่านอ๋องเห็นต่างหาก!
มีคำกล่าวเอาไว้ว่าจะตีหมาก็ต้องดูเ้าของ วันนี้นางเลยตั้งใจพาสุนัขรับใช้มาให้เ้าของมันดูโดยเฉพาะ ไม่เพียงตี แต่ยัง้าให้เ้าของดูด้วยตาตนเองว่านางจะตีพวกมันอย่างไร!
ต้านเสวี่ยเหมือนอยู่ในสภาพอยู่ใต้พื้นน้ำแข็ง จนไม่มีเวลามาขบคิดเื่อื่น สถานการณ์ในตอนนี้ หากนางถูกขับไล่กลับมาจวนอ๋องละก็มีแต่ตายสถานเดียว จึงได้แต่เอาหัวโขกพื้นอ้อนวอนขอความเมตตา “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ขอองค์หญิงโปรดอย่าไล่หม่อมฉันไปไหนเลยนะเพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะซื่อสัตย์และจงรักภักดี รับใช้แต่องค์หญิงคนเดียว ไม่กล้าคิดเป็อื่นอีกแล้วเพคะ!”
ชิงอีไม่มองนางเลยแม้แต่น้อย แต่ชายตามองเซียวเจวี๋ย และยิ้มยั่ว “เซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านว่าข้าควรจะเก็บคนผู้นี้ไว้ หรือไม่เก็บไว้ดีล่ะ?”
เซียวเจวี๋ยมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย ตอนที่เขาเตรียมจะเอ่ยปาก ลุงจงก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ท่านอ๋อง องค์หญิง ฮองเฮาส่งคนมามอบพระราชเสาวนีย์ให้องค์หญิงเสด็จกลับวังเป็การด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”
ชิงอีหัวเราะออกมา ก่อนจะหันไปมองต้านเสวี่ย “ถือว่าเ้าโชคยังดี มีที่ที่ข้าจะใช้ประโยชน์จากเ้าได้แล้ว ลุกขึ้นเถอะ”
ต้านเสวี่ยลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และมายืนอยู่เบื้องหน้านางอย่างเจียมตัว
“องค์หญิง เช่นนั้นตอนนี้พวกเราคือ...”
“กลับวัง” ชิงอีตัดบทเสียงเย็น แล้วหันกลับมามองชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลัง ก่อนแย้มยิ้มอย่างร้ายกาจ “ท่านว่าถ้าข้าทูลฮองเฮาตู้ว่าท่านส่งคนไปสังหารหลานชายผู้โง่เขลาของพระนาง พระนางจะทรงมีปฏิกิริยาอย่างไรกันนะ?”
หลิงเฟิงที่อยู่ข้างๆ ทำท่าฮึดฮัด จ้องนางด้วยความขุ่นเคือง นี่องค์หญิงใหญ่ทรงเป็บ้าไปแล้วหรือ?! จำเป็ต้องหาเื่กันขนาดนี้เชียว?!
เซียวเจวี๋ยกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่ยี่หระ “องค์หญิงจะลองดูก็ได้”
ชิงอีเลิกคิ้ว พร้อมสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
“ท่านอ๋อง นาง...นี่นางกำลังจะใส่ร้ายท่านนะ!” หลิงเฟิงพูดด้วยความโมโห
เซียวเจวี๋ยไม่ได้ตอบคำถาม ทำเพียงชำเลืองมองเขา แล้วเอ่ยว่า “ยังไม่รีบตามไปอีก”
ด้วยเหตุนี้ หลิงเฟิงถึงดึงสติกลับมาได้ว่าตนอยู่ในสถานะใด เขาได้แต่ขบฟันแน่น ก่อนตามชิงอีออกไปอย่างไม่เต็มใจ
เซียวเจวี๋ยหยุดฝีเท้าอยู่ตรงลานบ้านครู่หนึ่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกขัน สตรีนางนี้ดูท่าจะไม่ใช่คนเ้าคิดเ้าแค้นธรรมดาเสียแล้ว...
“ท่านอ๋อง องค์หญิงใหญ่ผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย” ลุงจงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นพลางส่ายหน้า “ช่างแตกต่างจากคำเล่าลือกันราวกับเป็คนละคน”
“แน่นอน ราวกับเป็คนละคน” เซียวเจวี๋ยเอ่ยเสียงต่ำ และหมุนตัวเดินจากไปทันที
“ท่านอ๋อง ท่านจะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ทวงหนี้”
...
ชิงอีเพิ่งขึ้นไปนั่งบนรถม้าเพื่อกลับวัง นางรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งไปชั่วขณะ ม่านของรถม้าถูกเปิดออก แล้วเงาของร่างสูงก็เข้ามานั่งอยู่ด้านใน
นางขมวดคิ้วเข้าหากัน “เซ่อเจิ้งอ๋อง นี่ท่านทำอะไร?”
นาทีต่อมา ชิงอีก็ถูกดึงตัวเข้าสู่อ้อมแขนแกร่ง จากนั้นเสียงแคว่กดังขึ้นพร้อมกับบริเวณหัวไหล่ของชุดนางก็ถูกฉีกขาด
เ้าแมวอ้วนขนลุกซู่ ‘คุณพระช่วย! นี่ท่านอยากจะไปเกิดใหม่ไวๆ หรือไง? ถึงได้กล้าล่วงเกินท่านพญามัจจุราช!’