หลังคลื่นลมสงบ
เหล่าข้าหลวงในตำหนักเชียนชิวต่างมองหน้ากัน นานแค่ไหนแล้วที่ตำหนักอันเงียบสงบราวกับตำหนักเย็นแห่งนี้ไม่ได้มีเสียงโหวกเหวกแบบนี้? ช่างหายากจริงๆ ทั้งยังสามารถทำให้องค์รัชทายาทและเซ่อเจิ้งอ๋องมาถึงที่นี่ได้
แต่เหตุใดพวกเขาถึงอยากจะร้องไห้กันเล่า?
เหล่าข้าหลวงในตำหนักเชียนชิวดูจะเห็นภาพหัวของตนหลุดจากบ่า และถูกแขวนประจานไว้หน้าประตู อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย เหตุการณ์ในวันนี้ ทำให้พวกเขาถูกเหมารวมกับองค์หญิงใหญ่เป็ที่เรียบร้อยแล้ว...
ชิงอีหาวหวอด หันไปทางฉู่จื่ออวี้ที่ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แล้วเลิกคิ้ว “ยังไม่ไปอีกหรือ?”
ฉู่จื่ออวี้หันมามองนางอย่างพินิจพิจารณา ทั้งยังมีทีท่าเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่อาจพูดออกมา เขารู้สึกว่าชิงอีเปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคน ไม่สิ...ควรพูดว่ากลับไปเป็เหมือนสมัยเด็กเสียมากกว่า...
“เหตุใดในตำหนักของท่านจึงไม่มีองครักษ์สักคน” ฉู่จื่ออวี้ขมวดคิ้ว พลางหันไปเรียกคนเข้ามาสองคน “ชิวอวี่ ฉีเฟิง นับแต่วันนี้ไปพวกเ้าสองคนคอยอารักขาอยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่”
“ช้าก่อน ข้าไม่อยากได้เ้าสองคนนี้...”
“ฉู่ชิงอี!” ฉู่จื่ออวี้ตวาดเสียงดัง ยามนี้ฮองเฮาตู้คงวางแผนที่จะจัดการนางแล้ว คราวนี้นางจะทำอะไรได้?
“หน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ เ้ายังจะกล้าส่งมาที่ตำหนักข้าอีกหรือ?”
ฉู่จื่ออวี้พูดไม่ออกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอ ส่วนองครักษ์พากันสะดุ้ง สมัยนี้หน้าตาน่าเกลียดก็ผิดด้วยหรือ?
ดวงตาคู่สวยของชิงอีกวาดตามองด้วยแววตาเมินเฉย ก่อนจะหยุดอยู่ที่ด้านหลังของเซียวเจวี๋ย พลันแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าว่าเด็กคนนี้หน้าตาใช้ได้ ข้าเอาคนนี้ก็แล้วกัน...”
ั์ตาของหลิงเฟิงเบิกกว้าง เมื่อตกเป็เป้าสายตาของทุกคน ซึ่งจับจ้องมาที่เขาเป็ตาเดียว ชายหนุ่มทำได้เพียงอ้าปากค้าง ก่อนจะใช้นิ้วชี้มาที่จมูกของตัวเอง
“หุบปากของเ้าซะ ดูแล้วโง่ชะมัด” ท่าทีของชิงอีเปลี่ยนเป็รังเกียจทันที
บรรยากาศที่ดูเงียบสงบ พลันเปลี่ยนเป็ตึงเครียด เสียงกัดฟันกรอดๆ ที่แม้แต่ฉู่จื่ออวี้ก็ยังรู้สึกว่าหากนางไม่ได้มีฐานะเป็ถึงองค์หญิงใหญ่ละก็ ป่านนี้คงถูกใครตีจนตายไปแล้ว!
ทำไมนางถึงได้พูดจาสามหาวเช่นนี้?
“เซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าอยากจะขอคนของท่านหน่อย ท่านคงจะไม่เสียดายหรอกใช่ไหม?”
เซียวเจวี๋ยหัวเราะอย่างมีเลศนัย หลิงเฟิงที่อยู่ข้างๆ หันไปมองด้วยความรู้สึกประหม่า ราวกับตนอ่อนแอ น่าสงสาร และอับจนหนทาง จากนั้นเขาถึงกับหน้ามืดเพราะเซียวเจวี๋ยพูดว่า “การที่องค์หญิงใหญ่สนใจหลิงเฟิง นับเป็วาสนาของเด็กคนนี้ จากนี้ข้าจะให้เขาคอยติดตามท่าน”
หลิงเฟิงคิดในใจ ท่านอ๋อง...
ส่งสายตาน้อยใจราวกับภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้งก็ไม่ปาน!
ฉู่จื่ออวี้มองทั้งสองคนสลับไปมา และอยากจะพูดบางสิ่ง แต่เข้ากลับเลือกที่จะปิดปากเงียบ จนกระทั่งออกมาจากตำหนักเชียนชิว เขาจึงสบโอกาสถาม “พี่เซียวเจวี๋ย ท่านเคยพบกับพี่หญิงมาก่อนหรือ?”
สีหน้าของเซียวเจวี๋ยที่กำลังเล่นจี้หยกในมือทอประกาย พร้อมยิ้มบางๆ “ไม่เคยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่จื่ออวี้ยิ่งทวีความสงสัย หรือว่าเขาจะคิดมากเกินไป เขามักรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเซียวเจวี๋ยและชิงอีนั้นแปลกๆ
“แต่คำพูดของท่านในคืนนี้ คือการผลักนางไปยืนอยู่ปากเหวชัดๆ จากนี้ไป ฮองเฮาอสรพิษนั่นต้องคิดว่านางเป็พวกเดียวกับเราแน่ ไม่แน่อาจจะป้ายความผิดเื่การตายของตู้ิเยวี่ยให้นาง”
หลังพูดจบ ฉู่จื่ออวี้ก็เงยหน้าขึ้น เห็นเซียวเจี๋ยวที่มองมาทางตนเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม ั์ตาลุ่มลึกราวกับว่ามองเห็นสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“องค์รัชทายาททรงเป็ห่วงนางหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ท่าทีของฉู่จื่ออวี้ราวกับแมวโดนเหยียบที่หาง โต้กลับว่า “ข้าจะเป็ห่วงนางทำไมกัน”
งั้นหรือ? แต่ตอนที่ท่านได้ยินว่าเกิดเื่กับนาง ก็รีบพาคนไปทันที
เซียวเจวี๋ยไม่ได้เย้าแหย่อะไรต่อ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “มีหลิงเฟิงอยู่ด้วย เขาจะคุ้มกันนางได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่องค์รัชทายาทตรัสผิดไปนะพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม?”
เซียวเจวี๋ยกล่าว “นางคือว่าที่ชายาเซ่อเจิ้งอ๋อง ถือเป็พวกเดียวกับเราอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่จื่ออวี้ถึงกับชะงักไปชั่วครู่ ราวกับโดนพายุฝนลูกใหญ่ซัดโหมเข้ามาจนมึนงงไปหมด พอได้สติก็รีบเดินตามเซียวเจวี๋ยไป “ท่านยอมรับการแต่งงานนี้แล้วหรือ? ไม่ ไม่ใช่สิ...พี่เซียวที่ท่านมาครานี้ มิใช่ว่าจะมาปฏิเสธการแต่งงานหรอกหรือ?”
“กระหม่อมบอกเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เซียวเจวี๋ยกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าหล่อเหลาประหนึ่งรูปวาดขยับยิ้มอย่างโอบอ้อมอารี ราวกับไม่รู้ว่าชายหนุ่มพูดเื่อะไร “พระองค์คงจำผิดแล้วละพ่ะย่ะค่ะ”
...
ฮองเฮาตู้ที่รอฟังข่าวอยู่ในตำหนักมานาน แต่ก็ไม่เห็นหวังซุ่นพาคนกลับมาเสียที จนรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี จึงสั่งให้ข้าหลวงในตำหนักไปสืบดู
“ฮองเฮาเกิดเื่ใหญ่แล้วเพคะ พวกหวังกงกงถูกคนของเซ่อเจิ้งอ๋องคุมตัวไปที่กรมอาญาแล้วเพคะ!”
“อะไรนะ?” สีหน้าของฮองเฮาตู้เข้มขึ้น “เ้าเซียวเจวี๋ยไม่ได้เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยสินะ!”
บรรดาข้าหลวงต่างพากันกลั้นหายใจ กลัวว่าหากพูดอะไรออกไป จะยิ่งเป็การจุดไฟเผาตัวเอง
“พวกหวังกงกงถูกคุมตัวไปกรมอาญาด้วยเหตุใด?” ฮองเฮาตู้ถามพลางหรี่ตามอง
“ได้ยิน ได้ยินว่าเกี่ยวกับเื่คุณชายตู้เพคะ” นางกำนัลตอบเสียงเครือ “เซ่อเจิ้งอ๋องเป็คนตรัสเองว่าหญิงสาว ที่ถูกสังหารพร้อมกับคุณชายตู้ คือนางกำนัลนามว่าเสาเหย้า เมื่อคืนองค์หญิงใหญ่ก็ทรงอยู่ใกล้ๆ กับศาลาชุนชิวอาจเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด การที่คืนนี้หวังกงกงพาคนไปที่นั่น เพราะ้าฆ่าปิดปากเพคะ!”
“ฆ่าปิดปากงั้นหรือ? ช่างน่าขันนัก!” ฮองเฮาตู้เค้นหัวเราะด้วยความโมโห แต่ไม่นานก็สงบลง “ที่แท้ เมื่อคืนฉู่ชิงอีก็อยู่ที่นั่น ฮึ...ไหนจะฉู่ชิงอี! ไหนจะเซียวเจวี๋ย! นี่ข้าโดนเ้าพวกนั้นเล่นงานหรือนี่!”
“ฮองเฮาเพคะ เดิมทีเซียวเจวี๋ยก็เป็คนทรยศอยู่แล้ว แต่องค์หญิงใหญ่...นางจะกล้าเพียงนั้นเชียวหรือเพคะ?”
“นางไม่กล้า แต่ฉู่จื่ออวี้ล่ะ? เซียวเจวี๋ยเองก็ไม่กล้าด้วยหรือไง?” ฮองเฮาตู้ยิ้มอย่างเยือกเย็น “สมกับเป็พี่น้องสายเืเดียวกันเสียจริง พอคับขันก็ดันสามัคคีกันขึ้นมาเชียว”
“ฮองเฮา ทางด้านหวังกงกง...หากไปถึงกรมอาญาเช่นนี้ คงปริปากพูดเป็แน่เพคะ”
“หวังซุ่นรู้ว่าควรทำเช่นไร หากเขาไม่อยากให้ตระกูลต้องจบสิ้นละก็ รีบตายแล้วไปเกิดใหม่เร็วๆ ซะ” ฮองเฮาตู้หรี่ตาลงแล้วพูดต่อ “อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำอะไรสิ้นคิด ยังไงก็ส่งคนไปเตือนเขาสักหน่อยจะดีกว่า”
“ฮองเฮา แล้วทางด้านองค์หญิงใหญ่...”
“เฮอะ นางคงคิดว่าถ้าไปเข้าร่วมกับเซียวเจวี๋ยแล้ว ข้าจะทำอะไรนางไม่ได้อย่างนั้นสินะ? วังหลังแห่งนี้ คำพูดของข้าถือเป็คำขาด! หลานชายข้าต้องไม่ตายเปล่า!” ั์ตาของฮองเฮาตู้เป็ประกาย จู่ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะยิ้มเลศนัย “จะว่าไปแล้ว ในวังหลวงยังมีอีกคนที่เกลียดคู่พี่น้องฉู่ชิงอีอยู่นี่ หากนางรู้ว่าหญิงชั่วนั่นกับเซียวเจวี๋ยเป็พวกเดียวกัน นางคงเป็คนแรกที่นั่งไม่ติดแน่!”
...
วันต่อมา
หลังจากที่หลิงเฟิงถูกท่านอ๋องของเขา ‘ทอดทิ้ง’ พยายามทำตัวฮึกเหิมแต่เช้าตรู่ โดยการ ‘จงรักภักดีและมุ่งมั่นในหน้าที่’ คอยคุ้มกันอยู่นอกประตูตำหนักของชิงอี
จนกระทั่งตะวันสายโด่ง ในที่สุดองค์หญิงของตำหนักนี้ก็ตื่นบรรทมเสียที เถาเซียงและต้านเสวี่ยรีบเข้าไปปรนนิบัติให้นางทันที พร้อมเตรียมเครื่องเสวยเข้าไปถวายด้วย
ระหว่างที่กำลังเสวยอยู่นั้น หลิงเฟิงถูกเรียกเข้าไปในตำหนัก เขายังคิดว่าชิงอีคง้าจะตั้งกฎกับเขา ทว่า อีกฝ่ายกลับให้เขาเข้ามายืนอยู่เฉยๆ
หรือว่า ้าให้เขายืนดูนางเสวยพระกระยาหาร...
ไม่นานนัก ชิงอีก็กินเสร็จ ต้านเสวี่ยยกชามาถวายเพื่อให้นางจิบล้างปาก
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ต้านเสวี่ยมักจะรู้สึกว่าแววตาของชิงอียามมองนางนั้นยากจะคาดเดา โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ราวกับเมฆบนท้องฟ้าที่เคลื่อนที่อย่างไร้จุดหมาย จนคาดเดาไม่ได้เลยว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่?
“หากไม่ใช่เพราะเื่คืนนั้น ข้าก็คงจะไม่รู้ว่าข้างกายมียอดฝีมืออยู่ด้วย” ทันใดนั้นชิงอีก็เอ่ยขึ้น พลางหัวเราะคิกคัก
ต้านเสวี่ยคิดว่านางกำลังพูดถึงเถาเซียงอยู่ จึงตั้งท่าจะยกถ้วยชาออกไป
ทว่า ประโยคต่อมาของชิงอี ทำให้นางถึงกับตัวสั่นเทิ้ม และเป็หลิงเฟิงที่มือไวตาไวรับถ้วยชาที่ร่วงเอาไว้ทัน
“ต้านเสวี่ย เ้าว่าวิทยายุทธ์ของเ้ากับเถาเซียง เมื่อเทียบกันแล้ว ใครแข็งแกร่งกว่ากัน?”