งานเลี้ยงจัดขึ้นภายในอุทยานบุปผาหลวง คนส่วนใหญ่ต่างเดินไปกันแล้ว ระหว่างทางเดินจึงไม่มีเสียงคุยกระซิบกระซาบกันเหมือนเมื่อครู่นี้อีก เหลือเพียงความงดงามของสีสันยามสารทฤดู ใบเฟิง[1]สีแดงราวกับสะท้อนสีสันของงานมงคล สายลมโบกโบยนำพากลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา[2]ฟุ้งกำจายให้ความรู้สึกสดชื่น
นางยืนอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวา แหงนศีรษะขึ้นสูดหายใจลึก รับรู้ถึงกลิ่นหอมหวานเต็มจมูก แม้แต่ในอากาศก็ยังให้ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สายลมโชยพัดหอมหมื่นลี้ทิ้งกลีบโปรยปรายลงมาบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาประดุจหยก สะท้อนความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี แพขนตายาวกะพริบสองครา กลีบบุปผาอ่อนบางที่ติดอยู่ค่อยๆ ไหลลื่นผ่านใบหน้าให้ความรู้สึกคันยุบยิบ ริมฝีปากสีชมพูนุ่มนวลเอิบอิ่มหยักโค้งขึ้นน้อยๆ อารมณ์เบิกบานยิ่ง
วันนี้โม่เสวี่ยิ่ถูกกระชากหน้ากากออกแล้วจริงๆ
หน้ากากคุณหนูใหญ่สกุลโม่ผู้งามสง่าและนุ่มนวลอ่อนโยน วันนี้ถูกทำลายลงแล้ว ผู้คนมากมายคงจะเริ่มเคลือบแคลงสงสัยในกิตติศัพท์ความมีคุณธรรมน้ำใจของนางแล้วกระมัง วันนี้ตนเองยังไม่คิดจะกระชากหน้ากากจอมปลอมของนางออกทั้งหมด เพราะอาจทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่านางเป็คนตื้นเขิน
แต่แม้จะไม่กล่าวออกมา ทุกคนก็เกิดความระแวงสงสัยในตัวฟางอี๋เหนียงและโม่เสวี่ยิ่ไปแล้ว
รอยปริแตกที่เกิดขึ้นเพียงเส้นบางๆ แม้คิดประสานให้กลับมาเหมือนเดิมก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ต่อให้โม่เสวี่ยิ่ใช้ความพยายามอีกเป็สิบเท่าก็ไม่แน่ว่าจะใช้ใบหน้าอ่อนโยนและใจกว้างมาทำให้คนเห็นความสำคัญได้อีก ขอเพียงมีความระแวงสงสัยเกิดขึ้น ต่อไปหากคิดจะฉีกหน้ากากจอมปลอมของนางออก ก็ไม่ต้องเปลืองแรงมาก
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้สำเร็จภายในวันเดียวคืนเดียว เื่ของชายชราผู้นั้นนางจะส่งให้บิดาจัดการ เชื่อว่าท่านพ่อจะต้องมีวิธีการให้เขาเอ่ยปากแน่นอน
“อุบายของคุณหนูสามโม่ช่างยอดเยี่ยมนัก แค่คำพูดเพียงสองสามประโยคก็สามารถเอาผิดคุณหนูใหญ่ได้แล้ว นี่หรือคือสิ่งที่น้องสาวพึงกระทำ หรือว่าความสง่าผ่าเผยของคุณหนูสามมีเพียงเท่านี้” น้ำเสียงเ็าแฝงความไม่พึงพอใจดังทอดมา
โม่เสวี่ยถงลืมตาขึ้น แววตาลุกวาวจับจ้องไปที่ใบหน้าโหยวเยวี่ยเฉิงที่อยู่ตรงข้าม เขายืนมือไพล่หลัง ใบหน้าเ็าแข็งกระด้างเชิดขึ้นมองนางอย่างถือตัว
“คุณชายผู้นี้ ข้าเคยล่วงเกินท่านมาก่อนหรือไร จึงเอ่ยถามกันด้วยวาจาเยี่ยงนี้ ขอถามหน่อยเถิด ท่านเป็ญาติฝ่ายใดในสกุลโม่มิทราบ” โม่เสวี่ยถงยิ้มบางๆ บุรุษผู้นี้นางเคยพบเขาทั้งเมื่อครู่และก่อนหน้านี้ เขายืนอยู่ข้างกายโม่เสวี่ยิ่มาโดยตลอด แววตาที่มองพี่สาวของนางอ่อนละมุนไม่มีที่เปรียบ แต่คิดไม่ถึงว่ายามที่อยู่ต่อหน้าตนเองกลับวางตัวแข็งกระด้างถึงเพียงนี้ คงเห็นนางแล้วรู้สึกขัดตาสินะ
นางไม่คิดจะเสวนากับคนที่ไร้ความสำคัญเหล่านี้ ดูจากท่าทีของเขาก็หมายมาคาดคั้นเอาผิดกับนางโดยตรง แสดงเจตนาปกป้องโม่เสวี่ยิ่อย่างเห็นได้ชัด
โม่เสวี่ยิ่วางแผนมาไม่เลว เพียงไม่นานก็หาคนมาสร้างปัญหาให้นางได้แล้ว คงคาดการณ์ไว้เสร็จสรรพว่านางเพิ่งเข้าวังครั้งแรก ย่อมไม่กล้าทำสิ่งใดกระโตกกระตาก คนเหล่านี้ล้วนเป็เครื่องมือที่ถูกใช้ให้สาดโคลนมาที่นาง
เมื่อขีดความอดทนสิ้นสุดลง คำพูดก็ย่อมจะหมดความเกรงใจ คนผู้นี้ไม่ทำให้นางเกิดรู้สึกหวาดกลัวอันตรายเหมือนเฟิงเจวี๋ยหร่านกับไป๋อี้เฮ่า ดังนั้น... เมื่อชาวบ้านเห็นนางแล้วไม่ถูกชะตา แล้วไยนางจะต้องยอมให้เขาโขกสับฝ่ายเดียวด้วยเล่า
“เ้า...” โหยวเยวี่ยเฉิงคิดไม่ถึงว่าจะมีสตรีกล้าต่อปากต่อคำกับเขาเช่นนี้ เห็นท่าทางของนางพูดไปยิ้มไป แต่เบื้องลึกในดวงตากลับแฝงไปด้วยความรังเกียจ นั่นทำให้เขารู้สึกฉุนเฉียวอย่างน่าประหลาด ก็แค่หญิงมารยาร้อยเล่ห์คนหนึ่ง ถึงกับกล้าฉีกหน้าโม่เสวี่ยิ่ต่อหน้าธารกำนัล ยามที่เห็นโม่เสวี่ยิ่หลบไปร้องไห้สะอึกสะอื้นเพียงลำพังอยู่ข้างูเาจำลอง โหยวเยวี่ยเฉิงพลันรู้สึกเดือดดาลอยู่ในอก เดินดุ่มๆ มาคนเดียวเพื่อมาเอาเื่กับโม่เสวี่ยถง
ชายหนุ่มคิดไม่ถึงว่าโม่เสวี่ยถงจะก้าวร้าวกับตนเองเยี่ยงนี้ เพียงแค่ประโยคเดียวก็ตอกเขาจนหงายหลัง รอยยิ้มพริ้มเพราใสซื่อบริสุทธิ์ ทำให้ไม่รู้สึกถึงความแข็งกร้าวไม่เหมาะสม แต่คำถามที่เอ่ยมาโดยไม่รู้สึกละอายมีนัยว่าเขามีคุณสมบัติใดมายุ่งวุ่นวายกับเื่ภายในครอบครัวของพวกนาง แล้วจะไม่ให้โหยวเยวี่ยเฉิงโกรธจนเืขึ้นหน้าได้อย่างไร
นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตของโหยวเยวี่ยเฉิงที่ถูกสาวน้อยไม่ประสีประสาคนหนึ่งพูดเสียดสีประชดประชันเช่นนี้
“คุณหนูสามโม่ไม่คิดว่าทำเกินไปเลยหรือ ทางไม่เรียบถูกคนเหยียบซ้ำ คุณหนูสามทำลายชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่ให้ด่างพร้อยเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าเป็การกระทำที่เกินเลยขอบเขตอันสมควรหรือไร หรือว่าคำเล่าลือเกี่ยวกับคุณหนูสามก่อนหน้านี้ล้วนเป็ความจริง” แววตาของโหยวเยวี่ยเฉิงกรุ่นโกรธ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื
“คุณชายรู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่ยุติธรรมเล่า เป็ข้าหรือที่ไปด่าทอพี่หญิงใหญ่ หรือบอกใครๆ ว่านางเป็คนทำลายชื่อเสียงของข้า” เห็นเขาไม่ยอมลดราวาศอก สีหน้าของโม่เสวี่ยถงก็ยังคงรอยยิ้มอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานที่เปล่งออกมา ทั้งยังเต็มไปด้วยความน่ารักไร้เดียงสา
แต่ความเฉียบคมในถ้อยคำกลับเป็สิ่งที่โหยวเยวี่ยเฉิงไม่เคยพบเจอจากที่ไหนมาก่อน
สตรีที่ดูนุ่มนวลอ่อนโยนประดุจสายน้ำแต่กลับมีวาจาเฉียบคมร้ายกาจนัก ทำให้เขาไม่อาจไม่เพ่งมองโม่เสวี่ยถงตรงๆ อีกครั้งได้
นางด่าทอโม่เสวี่ยิ่หรือ? ก็เปล่า นางกล่าวทำลายชื่อเสียงของโม่เสวี่ยิ่หรือ? ก็ไม่เช่นกัน สุดท้ายแล้วนางยังช่วยกล่าวขอร้องแทนโม่เสวี่ยิ่เสียด้วยซ้ำ...
เื่นี้ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ล้วนเป็การเห็นแก่ความเป็พี่น้องทั้งสิ้น
แต่ข้อสรุปเช่นนี้ยิ่งทำให้โหยวเยวี่ยเฉิงรู้สึกหงุดหงิด ในแววตายิ่งเพิ่มความขุ่นเคืองขึ้นอีกหลายส่วน
หากไม่ใช่เพราะตนเองไปได้ยินโม่เสวี่ยิ่ร้องไห้คร่ำครวญกับสาวใช้โม่จิ่น เขาก็คงไม่รู้ว่าสตรีที่ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องเสมือนหยกงามผู้นี้จะมีจิตใจดำมืดขนาดนั้น ไม่เพียงแต่ให้ร้ายมารดารองของตนเองจนต้องถูกักบริเวณ ยังให้บิดาไปดุด่าว่ากล่าวน้องสาวบุตรอนุภรรยา ตอนนี้ก็ยังวางแผนทำลายชื่อเสียงของพี่สาวบุตรอนุภรรยาอีก จงใจบีบคั้นนางต่อหน้าธารกำนัล สตรีผู้นี้จะมีรูปโฉมงดงามล่มเมือง มีเสน่ห์ร้ายกาจล้นเหลือแล้วอย่างไร รูปงามเสียเปล่า แต่กลับมีจิตใจโเี้อำมหิต
สตรีเช่นนี้โหยวเยวี่ยเฉิงไม่นิยมชมชอบเป็ที่สุด
หลังจากข่มความรังเกียจในหัวใจลงได้แล้ว โหยวเยวี่ยเฉิงก็กล่าวเสียงเย็น “คุณหนูสามคิดว่าแบบนี้มันสนุกมากนักหรือ”
“คุณชายคิดว่าสิ่งที่ข้าทำไม่ถูกต้อง?” แม้สีหน้าของนางจะอาบรอยยิ้ม แต่แววตากลับนิ่งลึก หัวคิ้วมุ่นขมวดเล็กน้อยกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
“หรือเ้าไม่รู้สึกว่าตนเองผิด” โหยวเยวี่ยเฉิงยิ้มเย็น จ้องโม่เสวี่ยถงไม่ขยับ แสงตะวันที่สาดลอดช่องว่างระหว่างเงาไม้ลงมาทาบใบหน้าของโม่เสวี่ยถง ใบหน้าเล็กที่งามบริสุทธิ์ถูกพรางด้วยแสงเงาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ทำให้มองไม่เห็นความรู้สึกบนสีหน้าชัดเจนนัก
“คุณชายเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่พี่หญิงกล่าวถึงข้าล้วนเป็ความจริง หากนางกล่าวว่าข้าสมควรได้รับคำครหาเยี่ยงนั้น เท่ากับข้าถูกนางให้ร้ายโดยไม่อาจเลี่ยงได้ แล้วการที่ข้าไม่ยินยอมให้ใครทำร้ายถือเป็ความผิดด้วยหรือ” โม่เสวี่ยถงยิ้มงามตระการตา ทว่าแววตากลับยิ่งเย็นะเืชวนให้รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นเรื่อยๆ
นางไม่ชอบโหยวเยวี่ยเฉิง ย่อมไม่มีความจำเป็ต้องทนการถูกเขาเขม่นราวกับเป็ศัตรู ดูจากการแต่งกายของคนผู้นี้ จะต้องเป็ลูกหลานของคนตระกูลสูง เกรงว่าอำนาจจะมิใช่เบา แต่ถึงจะเป็เช่นนั้นแล้วอย่างไร โม่เสวี่ยิ่กล้าทำลายนาง เพราะมีคนคอยหนุนหลังอยู่ ชาติที่แล้วโม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋นร่วมมือกันทำลายนางทุกอย่าง จนทำให้นางต้องพบกับจุดจบที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส หรือว่าชาตินี้นางจะต้องยอมให้โม่เสวี่ยิ่ทำร้ายนางซ้ำอีกครั้ง
ให้นางต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายกระนั้นหรือ...
หากเป็เช่นนั้นนางจะมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งทำไม หากจะต้องรับความเ็ปขื่นขมอีกครั้ง ไม่สู้ยอมตายไปเสียดีกว่า
คนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้เป็ใคร นางไม่มีใจอยากรับรู้ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองพบเจอเมื่อชาติก่อน เปลวเพลิงร้อนแรงที่แผดเผาในห้องโถงมงคล ความทรมานจากการถูกกรอกสุราพิษ าแในใจฉีกขาดจนรู้สึกหายใจติดขัด นิ้วมือใต้ชายเสื้อขดลงมากำแน่น ไม่อาจแขวนรอยยิ้มไว้บนใบหน้าได้อีกต่อไป
นางก้าวถอยห่างออกไปสองก้าว ซ่อนแววแค้นเคืองไว้ภายใต้ก้นบึ้งดวงตา ก่อนเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเย็นะเื
“หากคุณชายคิดว่าการที่นางทำร้ายข้าเป็สิ่งสมควร ข้าก็หมดวาจาจะเอื้อนเอ่ยและไม่ขอกล่าวสิ่งใดอีก เชิญคุณชายตามสบายเถิด ในเมื่อเชื่อไปแล้วว่าข้าผิด จะมาหาเพื่อสิ่งใด คิดจะทำอะไร หรือจะให้ข้าไปขอโทษ? คุณชายไม่รู้สึกว่าตนเองทำเกินเหตุบ้างหรือ หากมีคนคนหนึ่งจ้องทำลายท่านทุกสิ่ง ไม่ทราบว่าคนใจกว้างอย่างท่านจะยอมให้อภัยผู้อื่นได้ทั้งหมดหรือไม่ ด้วยคุณธรรมอันสูงส่งที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนของท่าน หากมีคนตบแก้มซ้าย ท่านจะยังคงยื่นแก้มขวาให้เขาด้วยหรือเปล่า หากคุณชายสามารถทำได้ ข้าก็คงได้แต่กล่าวคำขออภัย เพราะข้าไม่อาจทำใจให้สุภาพเยือกเย็นกับผู้ที่ทำร้ายข้าอย่างแสนสาหัสได้”
คำกล่าวของนางไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย ไฟโทสะที่ปะทุขึ้นมากะทันหันแผดเผาความสงบนิ่งของนางจนไม่เหลือซาก ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาสร้างความตื่นตะลึงจนคนที่อยู่เบื้องหน้าอึ้งงัน แต่นางก็ไม่นึกเสียใจที่กล่าวออกไป เพราะความทรมานอึดอัดคับข้องใจบัดนี้ได้ถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว
ทุกความกดดันถูกะเิโพล่งออกมาในพริบตา ภายในดวงตานิ่งลึกที่ช้อนมองขึ้นเต็มไปด้วยความแค้นที่ชวนให้หนาวสะท้าน ความเกรี้ยวกราดที่ะเิออกมาทำให้โหยวเยวี่ยเฉิงต้องก้าวถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว นิ่งอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่มองใบหน้าเล็กจ้อยที่เต็มไปด้วยความทะนงที่จ้องมองเขาอย่างเ็า และไม่มีทีท่าอยากจะสนทนากับเขาอีก นางพาโม่หลันเดินผ่านเฉียดไหล่เขาไป ไม่หันกลับมามองอีกเลย
“คุณหนูสามโม่ เ้าไร้มารยาทเกินไปแล้ว” เมื่อเห็นเงาร่างเล็กของโม่เสวี่ยถงก้าวเดินผ่านไป โหยวเยวี่ยเฉิงก็ตะลึงงันแล้วรีบเอ่ยวาจาเสียดสีทันใด
เงาร่างเล็กที่เดินไปข้างหน้าหยุดชะงัก
“หรือว่าคุณชายมีมารยาท? มาขวางทางสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง เพื่อให้นางยอมกล้ำกลืนความไม่เป็ธรรมแทนพี่สาว เคยตระหนักบ้างหรือไม่ว่าการกระทำเยี่ยงนี้หากไปตกอยู่ในสายตาของผู้อื่นก็ถือเป็การเสียมารยาทเช่นกัน คุณชายกล่าวว่าตนเองเป็ผู้มีเหตุผล แต่ผู้มีคุณธรรมย่อมเห็นคุณธรรม ผู้มีปัญญาย่อมเห็นปัญญา แต่ละบุคคลล้วนนานาจิตตัง คุณชายคิดแต่จะให้ความเป็ธรรมกับพี่สาวของข้า แล้วเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหากผู้ที่เป็ฝ่ายถูกต้องที่แท้จริงคือตัวข้าผู้นี้เล่า” โม่เสวี่ยถงไม่หันหน้ากลับไป แต่สีหน้าของนางกลับค่อยๆ อ่อนลงมา
ก็แค่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องคนหนึ่ง ไยนางจะต้องไปเสียเวลาถกเถียงด้วย ไม่ว่าโม่เสวี่ยิ่จะกล่าวสิ่งใดกับเขา ก็ไม่มีความจำเป็ที่นางต้องอธิบายอันใด โม่เสวี่ยิ่ไม่ลดละความพยายาม นางก็มิใช่คนที่จะยอมถูกใครรังแกง่ายๆ ทุกคนต่างมีความสามารถส่วนตัว นางหาบุรุษผู้นี้มาได้แล้วอย่างไร เื่ภายในสกุลโม่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกอย่างเขาจะว่ากล่าวอันใดได้
กล่าวจบก็พาโม่หลันเดินจากไปอย่างสง่างาม โดยไม่แยแสว่าสีหน้าของโหยวเยวี่ยเฉิงซึ่งอยู่ด้านหลังจะยิ่งดำทะมึนขึ้นเพียงใด ดวงตาหวานฉ่ำของนางยามนี้กลับมืดลึกและเย็นะเืยิ่งกว่าทะเลสาบเหมันต์ที่มีอายุนับพันปี
โหยวเยวี่ยเฉิงยืนทึ่มทื่ออยู่ด้านหลัง มองเงาร่างของนางที่ไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่อาจลบเลือนความเคียดแค้นชิงชังที่ะเิออกมาในแววตาของนางเมื่อครู่ออกไปจากใจได้ ความโกรธเกลียดอย่างลึกซึ้งแบบนั้น แม้แต่เขายังอดหนาวสะท้านจับจิตไม่ได้ ความเกลียดชังเพียงนั้นมาจากความแค้นแบบไหนกัน สิ่งใดที่ทำให้หญิงสาวผู้อ่อนหวานคนหนึ่งมีดวงตาแข็งกร้าวเ็าเพียงนั้นได้
แม้จะเป็เพียงชั่วพริบตา แต่เขาก็ยังคงััความเกลียดชังที่ปะทุออกมาอย่างรุนแรงของนางได้ชัดเจน แท้จริงแล้วนางเจอกับอะไรมากันแน่ อะไรที่ทำให้เด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งแสดงความเกรี้ยวกราดและเคืองแค้นจนคิดทำร้ายพี่สาวน้องสาวบุตรอนุภรรยาของตนอย่างไร้ความปรานี ความเคียดแค้นชิงชังคล้ายจะพลิกฟ้าจมธรณีให้พินาศ ร่างเล็กบอบบางอย่างนางไฉนจึงอัดแน่นไปด้วยความโกรธเกลียดมากมายถึงเพียงนี้
ทันใดนั้นเขาพลันตระหนักได้ หรือว่าเื่จะไม่ได้เป็อย่างที่เขาคิดไว้?
ในฐานะิกั๋วกงซื่อจื่อ การกระทำของเขาในวันนี้ถือเป็ความหุนหันพลันแล่นโดยแท้
ปรกติแม้ว่าเขาจะรู้สึกดีกับโม่เสวี่ยิ่ คิดว่านางเป็คนใจกว้างอ่อนโยน แต่เขาก็มิได้คิดสิ่งใดเกินเลยกับนางแม้แต่น้อย บุตรีอนุภรรยาของขุนนางขั้นห้ายังนับว่าห่างชั้นกับเขาเกินไป ดังนั้นแม้ว่าเขาจะชื่นชมนิสัยใจคอของนาง แต่กลับไม่เคยทำสิ่งใดเกินเลยขอบเขตที่สมควร แล้วเหตุใดวันนี้ตนเองจึงกระทำการหุนหันพลันแล่นเยี่ยงนี้
เพราะเป็ถึงิกั๋วกงซื่อจื่อ โหยวเยวี่ยเฉิงจึงมิใช่คนใจร้อนมุทะลุ ยามนี้เมื่อสงบจิตใจลงแล้ว จึงตระหนักได้ว่าวันนี้ตนเองบุ่มบ่ามจนขาดความยั้งคิดอย่างแท้จริง
บุตรสาวของสกุลโม่แล้วอย่างไร ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนเองสักนิด
แต่วันนี้ที่เขากลับผิดไปจากปรกติ อาจเพราะเื่ที่ท่านย่าเสนอขึ้นมาเมื่อสองสามวันก่อน แววตาพลันเปลี่ยนวูบ สีหน้าเย็นเยือกขึ้นในพริบตา สะบัดชายเสื้อหมุนตัวเลี้ยวไปอีกด้าน
เื่ในเรือนหลังบุรุษไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนัก วันนี้เขาด่วนสรุปความเกินไป เพราะถูกเื่ของท่านย่ารบกวนจิตใจโดยแท้
..............................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ใบเฟิง คือ ใบเมเปิ้ล มีลักษณะใบเป็แฉกคล้ายดวงดาว
[2] ต้นกุ้ยฮวา เรียกอีกอย่างว่า ต้นหอมหมื่นลี้หรือสารภีฝรั่ง เป็พืชตระกูลเดียวกับมะลิ ที่ประเทศจีนนิยมนำมาผสมชาหรือทำขนม มีสรรพคุณทางยารสเผ็ดฉุน ช่วยลดการอักเสบ ปวดฟัน รอบเดือนไม่ปรกติ