“คุณหนูสามกับคุณหนูใหญ่ช่างผูกพันรักใคร่กันลึกซึ้งยิ่งนัก เช่นนั้น... คนผู้นี้ก็ขอมอบให้คุณหนูสามก็แล้วกัน” น้ำเสียงราวกับคนเกียจคร้านของเฟิงเจวี๋ยหร่าน เพิ่มน้ำหนักความเหนื่อยหน่ายอีกหลายส่วน ดวงตากรุ้มกริ่มพราวระยับ มุมปากหยักโค้งขึ้นเล็กน้อย ลักษณะคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มทำให้คนคาดเดาอารมณ์ไม่ออก แต่กลับทำให้คนที่เขาใช้สายตาจิกตาจ้องขนลุกซู่ หนังศีรษะชาโดยไม่รู้ตัว
ท่านอ๋องผู้นี้ขึ้นชื่อเื่อารมณ์แปรปรวน ไม่มีใครรู้ว่าชั่วเค่อถัดไปเขาจะพลิกสีหน้ามาเป็อารมณ์ไหน
“ลุกขึ้นเถิด คุณหนูสามเอ่ยมาขนาดนี้แล้ว ก็คงเป็เพียงการเข้าใจผิดจริงๆ เื่เข้าใจผิดแบบนี้ก็มีกันเป็ปรกติทุกบ้าน ทุกท่านก็คงเข้าใจได้ไม่ยาก” ดวงตาของสีนิลของเขานิ่งลึกดุจวารี กระดกคิ้วขึ้นและยิ้มอ่อนๆ รูปโฉมที่งดงามหล่อเหลาในอาภรณ์สีม่วงปักดิ้นลายั ยิ่งแลดูมีเสน่ห์เย้ายวนเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
วาจาที่กล่าวเสียดสีเยี่ยงนี้ ทำให้แววตาของผู้คนที่มองโม่เสวี่ยถงลุ่มลึกขึ้นอีก
“คุณหนูสามโม่ ข้านำคนมามอบให้เ้าแล้ว เดี๋ยวจะเอาไปโยนไว้หน้าประตูวัง อย่าลืมบอกใต้เท้าโม่ให้มาพาคนกลับไปด้วย แล้วก็สอบสวนกันให้ดีๆ เล่า” ดวงตาสีนิลกลอกไปรอบหนึ่ง ลูบคางเล่นอย่างเพลิดเพลินขณะเอ่ยวาจาอย่างเรียบง่าย แต่เหตุใดฟังดูคลับคล้าย... กำลังทวงบุญคุณอยู่เลยล่ะ?
“ขอบพระทัยเซวียนอ๋อง” โม่เสวี่ยถงยอบกายคารวะอีกครั้งอย่างจนใจ ระหว่างที่กวาดตามองไป ก็เห็นเขาลอบยักคิ้วให้ตนเองด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง จึงหลุบตาลงทันทีไม่กล้ามองเขาอีก คนผู้นี้ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว เล่นประกาศว่านางติดหนี้น้ำใจเขาต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ แล้วนางจะพูดอะไรต่อได้อีกเล่า เอาเถิด น้ำใจครั้งนี้ก็ถือว่าติดค้างไว้ก่อนก็แล้วกัน
นางไม่คิดว่าเซวียนอ๋องจะเป็คนเรียบง่ายอย่างที่แสดงออกให้ใครๆ เห็น ในดวงตาเ้าชู้กรุ้มกริ่มคู่นั้น มีความเฉยชาบางๆ เจืออยู่ แต่บางครั้งนางก็ััถึงความน่ากลัวอย่างแรงกล้าที่แผ่ออกมาได้ เขาใช้รูปโฉมมาล่อลวงหูตาผู้คนให้ลุ่มหลง จากนั้นก็ฉวยโอกาสขณะที่คนไม่ระวังจู่โจมเอาชีวิตในครั้งเดียว คนแบบนี้จะให้ผู้อื่นวางใจลงได้อย่างไร โม่เสวี่ยถงสร้างปราการป้องกันอยู่ในใจ นางไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเขามากนัก ยิ่งไม่อยากติดค้างน้ำใจเขาด้วย
แต่ต่อหน้าผู้คนมากมายเพียงนี้ นางจะกล่าวสิ่งใดได้หรือ คิดจะแสร้งแสดงตัวว่าเป็ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียหน่อยก็ทำไม่ได้แล้ว วันนี้เขาช่วยนางไว้แท้ๆ แต่นางกลับรู้สึกอึดอัดชอบกล
เห็นโม่เสวี่ยถงฝืนแสดงสีหน้าเคารพนบนอบ ริมฝีปากเล็กเอิบอิ่มเม้มเข้าเล็กน้อย ท่าทางกลัดกลุ้มเต็มประดา เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ยิ่งพึงพอใจ หมุนตัวพาคนเดินจากไปอย่างสง่างาม
นางแมวป่าตัวน้อยซ่อนคมเขี้ยวที่ใช้ขย้ำคนเอาไว้ แล้วแสร้งทำตัวน่าสงสารได้แเีไม่แพ้สตรีใจอำมหิตผู้นั้นแม้แต่น้อย แต่เขากลับชอบดูยิ่งนางนัก
“องค์ชายจะเสด็จไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนสนิทเห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านหยุดชะงักยืนนิ่งอยู่ตรงทางแยก จึงค้อมศีรษะถามอย่างระมัดระวัง
“คุณชายไป๋ก็มาด้วยหรือนี่ ช่างเป็โอกาสที่หาได้ยากจริงๆ” เฟิงเจวี๋ยหร่านไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับหันไปอีกด้านหนึ่งแล้วทักทายอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ใบหน้าเผยรอยยิ้มงดงาม ดวงตาเป็ประกายสดใส เฟิงเยวี่ยที่ติดตามอยู่ด้านหลังเฟิงเจวี๋ยหร่านก้าวถอยไปด้านหลังอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วซ่อนตัวอยู่หลังเงาไม้
บุรุษผู้สวมอาภรณ์ขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ ดูสูงส่งไม่แปดเปื้อนธุลี ซึ่งกำลังเดินมาจากอีกด้านหนึ่งก็คือไป๋อี้เฮ่า
ด้านหลังของเขาก็มีผู้ติดตามสองสามคนเช่นเดียวกัน แต่คนเ่าั้มีตัวตนก็เหมือนไม่มีเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าเขา บุปผางามวิจิตรที่รายล้อมเสมือนหนึ่งผืนแพรที่ปูลาดต้อนรับ บุรุษหยกผู้สง่างามเยี่ยงจันทราย่างเท้าเดินมาอย่างไม่เร่งรีบ ให้ความรู้สึกเหมือนเมฆาลอยละลิ่วอยู่เหนือนภากาศ ส่งเสียงใสเย็นและนุ่มนวลราวกับสายน้ำร้องทักขึ้น
“เซวียนอ๋องยังมา แล้วข้าจะไม่มาได้อย่างไรเล่า” ไป๋อี้เฮ่ากล่าวอย่างสุภาพ มุมปากกระดกยิ้มบางๆ
“ความจริงคุณชายไป๋จะไม่มาก็ได้” เฟิงเจวี๋ยหร่านเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาคมแฝงยิ้มหยอกเย้ายิ่งเพิ่มเสน่ห์อย่างร้ายกาจ
“หากไม่มา กลับรู้สึกวางใจไม่ลง แต่น่าประหลาดใจนัก ไม่ยักรู้ว่าเซวียนอ๋องก็มีเวลาว่างมาสอดส่องเื่จุกจิกของชาวบ้านเทือกนี้ด้วย” ไป๋อี้เฮ่าคลี่ริมฝีปากเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ก็มิใช่เื่หนักหนาอันใด เหตุเกิดในบ้านตน ตนเองก็ย่อมต้องจัดการ มิได้ยื่นมือเข้าไปหยิบฉวยสิ่งของจากถ้วยชามของชาวบ้านก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ คุณชายไป๋คิดเห็นอย่างไรเล่า” เฟิงเจวี๋ยหร่านอมยิ้มมองไป๋อี้เฮ่า ดวงตาคู่งามยกขึ้นเล็กน้อย
“หากเป็สิ่งของในบ้านตนย่อมไม่อาจให้ผู้อื่นมาสอดมือเข้ามาคว้าไปอยู่แล้ว แต่หากไม่ใช่เล่า ก็ไม่อาจนับว่าเป็ของตนได้ เซวียนอ๋องว่าถูกต้องหรือไม่” ไป๋อี้เฮ่ายิ้มบางๆ น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับสายลมวสันต์
ทั้งสองล้วนเป็บุรุษที่มีรูปโฉมงดงามล้ำเลิศ คนหนึ่งดั่งจันทร์กระจ่างบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ที่เปรียบ อีกคนดั่งปีศาจทรงเสน่ห์เหลือร้ายเหนือผู้ใดในปฐี แม้จะเห็นอยู่ว่าพวกเขากำลังสนทนาหยอกล้อกัน แต่กลับทำให้เหล่าบริวารผู้ติดตามรู้สึกขนลุกหนาวสะท้าน ต่างพากันก้มหน้านิ่ง ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจาแม้เพียงประโยคเดียว ในบรรยากาศคล้ายมีกลิ่นควันดินปืนอวลตลบ
“คุณชายไป๋กล่าวได้น่าสนใจจริงๆ ก็ต้องระวังอย่าไปหยิบอะไรของใครเข้า มิเช่นนั้นอาจเกิดหายนะถึงชีวิต ข้ายังมีธุระ วันหน้าคงมีโอกาสได้เสวนากับคุณชายเื่ข้อแตกต่างระหว่างเื่ในบ้านตนเองกับเื่ของบ้านผู้อื่นอีก ข้าขอตัวก่อน” เฟิงเจวี๋ยหร่านหัวเราะลั่น หมุนตัวก้าวยาวๆ พาคนเดินไปอีกทางหนึ่ง ที่นั่นเป็จุดศูนย์กลางของวังหลวง ทั้งยังเป็ที่ประทับของจักรพรรดิจงเหวินตี้
ตรงสุดทางเดินปรากฏร่างขององครักษ์สองนาย เมื่อพบว่าผู้มาคือเฟิงเจวี๋ยหร่าน ทั้งสองก็ถวายคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนจะเร้นหายเข้าหลังเงาไม้อย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเป็ระดับยอดฝีมือชั้นสูงอย่างแท้จริง เพียงเท่านี้ก็รู้ได้แล้วว่าเซวียนอ๋องเป็ที่โปรดปรานของจักรพรรดิจงเหวินตี้เพียงใด แม้แต่ราชองครักษ์ส่วนพระองค์ไม่แม้แต่จะถามก็ปล่อยให้เขาเข้าไปแล้ว
“คุณชาย...” หลินอวี้ซึ่งเดินตามอยู่ด้านหลังไปอี้เฮ่ามองไปทางนั้น อ้าปากจะเอ่ยถามบางอย่าง แต่เขาขัดด้วยเสียงหัวเราะและโบกมือห้าม ก่อนบ่ายหน้าเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งก็คือพระตำหนักฉือหนิงของไทเฮา อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาแล้ว ของขวัญชิ้นนี้ของเขาสามารถถวายให้ไทเฮาก่อนล่วงหน้า
พอเลี้ยวผ่านหัวโค้งมา เขาก็หยุดชะงัก ดูเหมือนว่าจะพบเจอบางอย่างเข้า ชายหนุ่มผินหน้ามองไปยังูเาหินจำลองในสวนอีกด้านหนึ่ง
“คุณชาย...” ขันทีคิดจะถามบางอย่าง แล้วหันศีรษะมองตามสายตาเขาไปที่เขตูเาหินจำลอง
ในเขตูเาหินจำลอง โม่เสวี่ยถงถูกสายตาผู้คนจับจ้อง ยืนสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่ตรงนั้นด้วยความอึดอัดใจ พอเื่ของโม่เสวี่ยิ่จบลง ลั่วิจูก็บอกว่ามีธุระรีบเดินจากไป หลังจากนั้นนางก็พาโม่หลันเดินไปหามุมสงบเพื่อหลบเร้นจากความวุ่นวาย แต่ตรงจุดนั้นกลับมองเห็นฉากที่สองบุรุษกำลังลับคมเขี้ยวกันอยู่พอดี ชั่วขณะนั้นก็ลังเลใจอยู่ว่าจะเข้าไปคารวะหรือแกล้งทำเป็ไม่เห็นดี
พอเห็นไป๋อี้เฮ่าหันศีรษะมา ดูท่าไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้วจริงๆ ถึงอย่างไรก็นับว่าเขาเคยช่วยเหลือนางมาก่อน วันนั้นในพิธีเซ่นไหว้บรรพชน หากไม่มีเขาผลลัพธ์คงไม่ออกมาราบรื่นเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนท้ายที่เขาเป็คนดึงเข็มหนอนไหม์จากข้อมือของนางออกมา ทำให้สามารถซัดทอดความผิดไปที่ฟางอี๋เหนียงได้
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากเื่นี้ เขาก็เป็ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อนางอย่างแท้จริง
เห็นเขายิ้มอ่อนๆ หยุดนิ่งอยู่ที่นั่น คิดว่าคงรอให้นางเข้าไปหา หากนางไม่ไปก็แสดงว่ากำลังหวาดกลัว ซึ่งถ้ากล่าวกันตามจริงแล้ว นางก็รู้สึกแบบนั้นจริง ลักษณะภายนอกที่ดูสูงส่ง แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่หาใช่ความนุ่มนวลราวกับแสงจันทร์หรือเยือกเย็นเหมือนหิมะ ยามพบหน้ากันครั้งแรกที่จวนฝู่กั๋วกง เจตนาสังหารเข้มข้นยังประทับอยู่ในหัวใจของนางชัดเจน ตอนนั้นรู้สึกได้ว่าเขาคิดจะปลิดชีพนาง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดต่อมาจึงยอมให้ความช่วยเหลือ
ตำราพิชัยาเล่มนั้นไม่น่าจะเป็เหตุผลที่ทำให้เขายอมปล่อยนาง อีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือในที่สุด
โชคดีที่นางไม่ได้เข้าไปพัวพันกับเื่นี้
นางพาโม่หลันเดินอ้อมูเาจำลองเข้าไปหาเขา ร่างน้อยเพรียวบางงามสง่า เอวคอดกิ่วถูกรัดด้วยสายคาดเอวเส้นเล็กอันประณีต ชุดกระโปรงแพรเนื้อเบาพลิ้วลมในขณะย่างก้าว ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของดรุณีน้อยคือเสน่ห์เย้ายวนทำให้หัวใจคนสั่นไหวอย่างไม่อาจพรรณนาได้
สองตาของไป๋อี้เฮ่าเป็ประกายวาววับ จับจ้องพิจารณาหญิงสาวั้แ่หัวจรดเท้าโดยไม่รู้ตัว ภายใต้แสงตะวัน เขาเห็นเ้าของเรือนร่างอ้อนแอ้นผู้นี้ได้ชัดเจน ใบหน้าของนางขาวซีดเล็กน้อยเจือไปด้วยความเหนียมอาย ขบริมฝีปากด้วยท่าทางไร้เดียงสา ดวงตาเป็ประกายระยิบระยับงามพิลาสอย่างสุดประมาณ
มิใช่ความงามฉูดฉาดเช่นบุปผาที่บานสะพรั่ง แต่เป็ความสง่างามที่มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง
ความงามเยี่ยงนี้มิได้ถูกลดทอนด้วยร่างกายที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ของนาง ตรงกันข้ามกลับยิ่งโดดเด่นเป็ธรรมชาติ มีชีวิตชีวา ดูมีจิติญญาสูงส่งเหมือนเทพเซียนที่ไม่แปดเปื้อนธุลี ยิ่งพิศก็ยิ่งงามซึ้งตรึงใจ
ภายใต้รูปลักษณ์เช่นนี้ นางยังมีความเฉลียวฉลาดและมีความคิดลึกซึ้งยิ่งกว่าสตรีในหอห้องผู้งดงามเ่าั้
ไป๋อี้เฮ่ามองพินิจอยู่เงียบๆ จนกระทั่งนางเดินมาถึงเบื้องหน้า
“คารวะคุณชายไป๋ เื่วันนั้นข้าต้องขอขอบคุณคุณชายเป็อย่างยิ่ง” ดวงตากลมหลุบลง ผลิยิ้มงามพริ้มเพราพลางยอบกายคำนับด้วยน้ำใสใจจริง
“ในจวนมักเป็เช่นนั้นเสมอเลยหรือ” ทันทีที่นางกล่าวจบ ไป๋อี๋เฮ่าก็หัวเราะและกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้นกะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจความหมายของเขา เมื่อเห็นใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของชายหนุ่ม จึงพอเดาความหมายของเขาได้ นางทนรับสายตาวับวาวคู่นั้นไม่ไหว จึงรีบก้มหน้าลงและลากปลายเท้าถูกับพื้นสองครั้งโดยไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยด้วยความลังเล “อาจเป็เพราะว่าเพิ่งมาถึง บางเื่ก็ยังไม่อาจ...”
เื่ของสกุลโม่เป็เื่ภายในครอบครัว สถานการณ์เช่นนั้นหากโม่เสวี่ยิ่เสียหน้า ตัวนางไหนเลยจะมีหน้ามีตาได้ นางต่างหากที่เป็บุตรภรรยาเอกอย่างแท้จริง ดังนั้นนางจึงไม่คิดจะพูดชี้แจงรายละเอียดกับผู้อื่นรับรู้ นอกจากนี้นางไม่คิดว่าไป๋อี้เฮ่าจะเป็คนที่อยากรู้อยากเห็นเื่ราวหยุมหยิมของบ้านผู้อื่น นับั้แ่ที่นางถูกเขาข่มด้วยรังสีสังหารในวันนั้นเป็ต้นมา นางก็รู้ว่าความนุ่มนวลอ่อนโยนภายนอกมิได้สะท้อนถึงตัวตนภายในที่แท้จริงของเขา ซึ่งจะต้องมีแต่ความคิดเข่นฆ่าสังหารและเต็มไปด้วยความกระหายเือย่างแน่นอน
หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชาติภพก่อน ใครจะคาดคิดว่าบุรุษรูปงามดั่งจันทราที่อยู่เบื้องหน้านางผู้นี้ ในที่สุดแล้วสองมือของเขาจะเต็มไปด้วยโลหิต มงกุฎจักรพรรดิที่สวมอยู่บนศีรษะของเขาแลกมาด้วยการเข่นฆ่าสังหารที่เหี้ยมโหด จนสายธารโลหิตหลั่งนอง
หัวใจของเขาเป็ดั่งร่องน้ำลึกที่เซาะบนูเา แล้วจะมาใส่ใจกับเื่ราวเล็กน้อยของชาวบ้านโดยไม่มีที่มาที่ไปได้อย่างไร
เห็นนางตอบอย่างระแวดระวัง ริมฝีปากของไป๋อี้เฮ่าก็ยิ่งคลี่ยิ้มอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ ยื่นมือเข้ามาัักับเรือนผมของนางเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
“หรือเ้า้าให้ข้าช่วยอีก” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามอย่างผ่อนคลาย ในขณะที่นางเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
การกระทำของเขาอยู่เหนือความคาดหมายของโม่เสวี่ยถง นางไม่อยากเชื่อว่าจู่ๆ เขาจะถือวิสาสะเช่นนั้น ชายหนุ่มเก็บมือกลับไป ซ้ำยังคลี่ยิ้มคล้ายไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าการกระทำของตนเองเมื่อครู่ไม่ถูกกาลเทศะ และไม่เหมาะสมเพียงใด
โม่เสวี่ยถงขบริมฝีปากเบาๆ ถอยห่างออกไปสองก้าว ยอบกายเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างมีมารยาท แต่ให้ความรู้สึกห่างเหิน “ขอบพระคุณคุณชายไป๋มากเ้าค่ะ”
นางกล้าขอความช่วยเหลือจากเขาที่ไหนกันเล่า คิดแต่อยากจะไปให้ไกลเสียมากกว่า นางไม่้าให้เื่ภายในบ้านดึงดูดความสนใจของไป๋อี้เฮ่า หัวใจของเขาเปี่ยมไปอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ เพื่อแว่นแคว้นและใต้หล้า คนเช่นเขามิใช่คนที่นางจะไปล่วงเกินได้
นางคิดแค่อยากแก้แค้นส่วนตัวเท่านั้น เื่อื่นๆ ล้วนไกลตัวเกินไป
นางไม่รู้ว่าไป๋อี้เฮ่าผู้มีชื่อเสียงเกริกก้องทั่วใต้หล้าไฉนจึงกล่าววาจาเช่นนั้น
จิตใต้สำนึกบอกนางเพียงว่าให้หลีกหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่ว่าจะเป็เฟิงเจวี๋ยหร่านหรือไป๋อี้เฮ่าล้วนไม่ใช่คนที่นางควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ต้องอยู่ให้ห่างเข้าไว้ ยิ่งไกลยิ่งดี
โลกของพวกเขาไม่ควรมีนาง และโลกของนางก็ไม่ควรมีพวกเขาเช่นกัน
เมื่อเห็นนางปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ไป๋อี้เฮ่าก็มิได้มีทีท่าไม่พอใจแม้แต่น้อย กลับยังคงมองนางด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พาคนเดินจากไปเงียบๆ สายลมพัดพาอาภรณ์สีขาวราวกับหิมะปลิวสะบัด ในความสง่างามแฝงไปด้วยความสุขุมเยือกเย็น คนแบบนี้ควรจะนุ่มนวลอ่อนโยนดั่งจันทร์กระจ่างฟ้า แต่มีเพียงนางที่รู้ว่าเขาไม่ใช่
“คุณหนู ทางโน้นเรียกให้คนกลับไปแล้วเ้าค่ะ บอกว่างานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว” โม่หลันเห็นนางยืนใคร่ครวญอยู่นิ่งนานจึงเอ่ยเตือนขึ้นเบาๆ
เหล่าคุณชายคุณหนูที่พักผ่อนตามอัธยาศัยอยู่ในสวนต่างทยอยเดินไปทางนั้น
งานเลี้ยงชมบุปผาใกล้จะเริ่มต้นแล้ว...