“คุณหนู พวกเราจะไม่ตามโหยวซื่อจื่อไปแล้วอธิบาย...” ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกล โม่เสวี่ยิ่กับโม่จิ่นยืนอยู่ที่นั่นบดขยี้ใบไม้ที่ร่วงอยู่ที่พื้นจนแหลกละเอียด
“อธิบายอันใด” โม่เสวี่ยิ่หัวเราะเสียงเย็น ใบหน้าเผยแววร้ายกาจ นางประเมินน้องหญิงสามของตนผู้นี้ต่ำเกินไปจริงๆ นางไม่ใช่โม่เสวี่ยถงที่ขี้ขลาดอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ถึงขั้นกล้าโต้เถียงกับโหยวเยวี่ยเฉิงซึ่งๆ หน้าโดยไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย นางอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างไกล ฟังไม่ชัดว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เห็นแต่โหยวเยวี่ยเฉิงโมโหโทโสจนหน้าแดงจัดยามถูกกล่าวตอกหน้า
“พวกเราไปพูดอีกครั้งก็ได้นี่เ้าคะ ว่าคุณหนูสามเป็คนก่อความไม่สงบภายในบ้าน แล้วก็มีจิตคิดร้ายกับคุณหนู โหยวซื่อจื่อจะได้ไปหาเื่นางอีก” โม่จิ่นเป็สาวใช้ประจำกายของโม่เสวี่ยิ่ ย่อมมีความภักดีต่อนายตน เมื่อเห็นนางมีท่าทางขุ่นเคืองจึงรีบเข้าไปเสนอความคิดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ถ้าไปพูดอีกครั้งก็มีแต่จะทำให้เขาแคลงใจเท่านั้น” โม่เสวี่ยิ่กัดฟันพูด สายตามองไปยังโหยวเยวี่ยเฉิงที่เดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุ งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว ยังมีฮองเฮาอีกหนึ่งด่าน วันนี้โม่เสวี่ยถงไม่มีทางได้สิ่งที่ดีกลับไปแน่นอน
ในงานเลี้ยง ฮองเฮาพาองค์หญิงห้านั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน อีกด้านหนึ่งเป็ที่นั่งของเหล่าองค์ชายซึ่งดึงดูดสายตาผู้คนเป็อย่างยิ่ง คนแรกคือฉู่อ๋องผู้นุ่มนวลสง่างาม คนต่อมาคือเยี่ยนอ๋องผู้สุขุมคัมภีรภาพ ผู้ที่มีเสน่ห์เหลือร้ายเหนือว่าผู้ใดในบรรดาองค์ชายทั้งหมดก็คือเซวียนอ๋อง หรือองค์ชายแปดที่ได้รับความโปรดปรานสูงสุดจากจักรพรรดิจงเหวินตี้ และสุดท้ายยังมีไป๋อี้เฮ่า บุคคลที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะมาปรากฏกายที่นี่
เมื่อชายงามล้ำเลิศทั้งสองคนมานั่งคู่กัน ผู้หนึ่งมีรูปโฉมเย้ายวนราวกับปีศาจเ้าเสน่ห์ อีกผู้หนึ่งงามพิสุทธิ์เพียงจันทร์กระจ่างฟ้า แทบจะดึงลมหายใจจากเหล่าคุณหนูทุกคนไปชั่วขณะ พวกนางก้มหน้าเมียงมองไปที่พวกเขาอยู่เป็ระยะ ทั้งสีหน้าและสายตาเต็มไปด้วยความเหนียมอาย
ตำแหน่งที่นั่งของบุรุษและสตรีอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก มีเพียงระแนงบุปผากั้นระหว่างกลางเท่านั้น ทว่าสามารถมองลอดช่องว่างระหว่างช่อผกาจนเห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ อีกทั้งยังได้ยินเสียงคุยกันเป็ระยะ
ในส่วนที่นั่งของฝ่ายหญิงมีเพียงเสียงคุยหัวเราะกระซิบกระซาบเบาๆ เท่านั้น ส่วนทางด้านฝ่ายชายยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง สายตาโม่เสวี่ยถงมองผ่านม่านบุปผาอันรางชางไปตกอยู่ที่เฟิงเจวี๋ยหร่านซึ่งนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ไม้หนานมู่ตัวใหญ่ นิ้วมือหมุนจอกสุราเล่น ดูเหมือนจะเบื่อหน่ายมากกว่าสนุก ริมฝีปากละม้ายคนคร้านจะยิ้ม หันไปคุยกับคนข้างกายอยู่เป็ระยะ แต่แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันเพียงนั้น นางก็ยังรู้สึกถึงความหงุดหงิดที่อยู่ส่วนลึกในใจเขา
คงคิดอยากจะให้งานเลี้ยงรีบๆ จบโดยเร็วกระมัง ดูจากดวงตาคู่งามที่กลอกไปมาอยู่เป็พักๆ แบบนั้นก็รู้แล้ว
ริมฝีปากงดงามเผยรอยยิ้มบางๆ เสี้ยวหนึ่ง ในดวงตาดั่งมีประกายหยดน้ำกลิ้งวิบวับ
“น้องสามมองสิ่งใดอยู่หรือ จึงดูมีความสุขเช่นนี้” เ้าของน้ำเสียงนุ่มนวลที่อยู่ข้างกายย่อมเป็โม่เสวี่ยิ่คุณหนูใหญ่สกุลโม่ผู้มีชื่อเสียงดีงาม
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็คนจัดตำแหน่งให้พวกนางมานั่งอยู่ด้วยกัน แต่ก็พอจะอนุมานได้ว่าเพราะพวกนางมาจากครอบครัวเดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้โม่เสวี่ยถงทนรับไม่ได้ก็คือตลอดเย็นวันนั้นโม่เสวี่ยิ่พยายามทำตัวเป็พี่สาวที่อบอุ่นแสนดี โดยไม่รู้สึกแม้แต่น้อยกว่าเมื่อครู่พวกนางเกือบจะแตกหักกันอยู่แล้ว
โม่เสวี่ยถงอดนับถือโม่เสวี่ยิ่ไม่ได้จริงๆ เพิ่งถูกคนชี้หน้าตำหนิมาขนาดนั้น แม้กระทั่งบัดนี้ก็ยังมีคนซุบซิบนินทาอยู่ แต่นางยังคงยิ้มระรื่น ปั้นสีหน้าอ่อนโยนแสนดีเหมือนปรกติ ทำให้คนนึกประหลาดใจยิ่ง การแสดงของโม่เสวี่ยิ่นับได้ว่าเป็ยอดฝีมืออย่างแท้จริง มิน่าเล่าชาติภพก่อนตนเองจึงต้องพ่ายแพ้ตกไปอยู่ในกำมือของนางอย่างน่าเวทนาเยี่ยงนั้น
แต่สำหรับคนที่ตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้งอย่างโม่เสวี่ยถง ย่อมสามารถรับมือกับโม่เสวี่ยิ่ได้ในไม่ช้า “พี่หญิงใหญ่ดูต้นจวี๋ฮวา[1] ทางโน้นสิเ้าคะ ไฉนข้าจึงไม่เคยพบเห็นจวี๋ฮวาที่เป็แบบนี้มาก่อนเลย พี่หญิงยังจำวัดที่เมืองอวิ๋นเฉิงได้หรือไม่ ตอนนั้นท่านแม่พาพวกเราไปที่นั่น อี๋เหนียงก็ไปด้วย ต้นจวี๋ฮวาที่นั่นนับว่ามีมากมายแล้ว แต่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนงดงามเช่นนี้มาก่อนเลย”
ตอนนั้นฟางอี๋เหนียงยังเป็เพียงอนุบ่าวคนหนึ่ง ไม่มีศักดิ์ฐานะใดๆ โม่เสวี่ยิ่ที่พยายามล้อมหน้าล้อมหลังเอาอกเอาใจโม่เสวี่ยถง เมื่อถูกรื้อฟื้นที่เื่น่าอับอายที่สุดขึ้นมา ใต้ก้นบึ้งดวงตาก็ฉายแววเกลียดชังออกมาวูบหนึ่ง เกือบจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ ได้แต่สูดหายใจลึกแล้วรีบเปลี่ยนความสนใจไปที่ดอกจวี๋ฮวาด้านโน้น อยู่ในวังหลวง นางยิ่งจำเป็ต้องแสดงความอ่อนโยนและดีงามให้เห็นชัดกว่าปรกติ
โม่เสวี่ยถงชี้ไปที่กระถางดอกจวี๋ฮวาที่อยู่บนชั้นวาง กลีบดอกเป็สีชมพูอ่อน แต่รอบเกสรของมันกลับล้อมด้วยลายจุดสีเหลือง ทำให้กระถางดอกไม้ดูมีชีวิตชีวา ดึงดูดสายตาผู้คนอย่างยิ่ง
โม่เสวี่ยิ่มองไปที่ดอกไม้ตามที่โม่เสวี่ยถงชี้ให้ดู ทำท่าทางราวกับฟังความหมายที่แฝงมาไม่ออก กล่าวพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบดบังรอยยิ้มที่ริมฝีปาก
“แม้ว่าที่อวิ๋นเฉิงจะมีดอกจวี๋ฮวาอยู่มากมายก็จริง แต่จะเทียบกับภายในวังหลวงแห่งนี้ได้อย่างไรเล่า ดอกไม้กระถางนี้นับเป็ยอดบุปผาที่เมืองอวิ๋นเฉิงย่อมไม่มีให้เห็น หากน้องหญิงสามชอบ พรุ่งนี้พี่สาวจะพาไปตลาดบุปผา เลือกซื้อพันธุ์ดีที่สุดมาสักสองสามกระถาง ไปปลูกในสวนของเ้า จะได้ดูงดงามแบบเรียบง่ายหน่อย”
“ตลาดบุปผามีที่งามกว่าในวังหลวงอีกหรือ” โม่เสวี่ยถงกดเสียงลงต่ำกระซิบถามอย่างประหลาดใจ ดวงตาสดใสเผยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาจับจ้องกระถางจวี๋ฮวาต้นนั้นตาไม่กะพริบ
“นั่นก็ยังไม่แน่ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน แม้ว่าของล้ำค่ามากมายจะอยู่ในวังหลวง แต่ก็ไม่แน่อาจจะมีไปตกอยู่ด้านนอกบ้างก็ได้ หากเ้าชอบจริงๆ พรุ่งนี้พวกเราไปด้วยกันดีไหมเล่า” โม่เสวี่ยิ่คลี่ยิ้มน้อยๆ พูดจาฉาดฉานอย่างมีเหตุผล แสดงถึงน้ำใสใจจริง คำพูดเหล่านี้เมื่อไปถึงหูผู้อื่นย่อมรู้สึกว่าพี่สาวผู้นี้คิดเพื่อน้องสาวของตนอย่างแท้จริง
โม่เสวี่ยถงขบริมฝีปากราวกับเอียงอาย เอาแต่จดจ้องดอกจวี๋ฮวากระถางนั้นด้วยความชื่นชอบจนไม่อยากละสายตาไปไหน
“ไปเถอะ ไม่เป็ไรหรอก แม้ว่าท่านพ่อเคยบอกว่าชอบกล้วยไม้ แต่ก็ชอบจวี๋ฮวาที่งดงามเช่นกัน พรุ่งนี้ได้โอกาสพอดีก็ไปเลือกสักกระถางมอบให้ท่านพ่อ พวกเรานำไปมอบให้พร้อมกัน ท่านพ่อจะต้องพึงพอใจเป็แน่” โม่เสวี่ยิ่กล่าวต่อไปเรื่อยๆ
โม่เสวี่ยิ่มีท่าทางกระตือรือร้นแบบนี้เห็นได้ไม่บ่อยนัก ดูท่าคงปรารถนาให้ตนเองออกไปพร้อมกับนางในวันพรุ่งนี้เสียเหลือเกิน โม่เสวี่ยิ่เป็คนเช่นไร อย่างนางหรือจะมาประจบประแจงตนเองเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนางสองคนเพิ่งจะเกิดเื่บาดหมางกันต่อหน้าผู้คนมาหมาดๆ
“พี่หญิงเอ่ยมาเช่นนี้ ทำให้ข้าผู้เป็น้องสาวรู้สึกละอายใจนัก ข้ามัวคิดถึงแต่ตนเอง ทว่าพี่หญิงกลับคิดถึงท่านพ่อ หากว่าข้าไม่ไปก็คงกลายเป็คนไม่มีเหตุผลแล้ว ต้องขอบคุณพี่สาวอย่างยิ่งที่มีน้ำใจคิดถึงท่านพ่อเช่นนี้ เป็สิ่งที่สมควรอย่างยิ่ง วันหลังน้องสาวคงต้องขอเรียนรู้กับพี่หญิงให้มากๆ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้พี่หญิงก็พาข้าไปเลือกซื้อดอกไม้สักกระถางหนึ่งให้ท่านพ่อด้วยกันเถิด” โม่เสวี่ยถงกล่าวอย่างกระดากอายกึ่งละอายใจ
โม่เสวี่ยิ่พูดต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ หากนางไม่ตอบตกลงก็กลายเป็ลูกอกตัญญู แล้วนางจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!
ไม่ว่าพรุ่งนี้โม่เสวี่ยิ่จะมาไม้ไหน นางเพียงรับมืออย่างระมัดระวังก็พอ
พอได้ยินว่านางตอบตกลง โม่เสวี่ยิ่ก็ยิ้มพราย ดึงมือนางขึ้นมาจับและกล่าวอย่างสนิทชิดเชื้อ “พี่น้องบ้านเดียวกันจะกล่าวเช่นนั้นไปทำไม พี่สาวก็มีบางอย่างที่ทำไม่ถูก เมื่อครู่ก็เป็ความผิดของพี่สาวที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจเ้าผิด โชคดีที่เ้าให้อภัยมิเช่นนั้นพี่สาวคงรู้สึกละอายใจชั่วชีวิต”
แสดงให้เห็นถึงความรักใคร่กลมเกลียวระหว่างพี่น้องก่อน แล้วค่อยอธิบายสถานการณ์ในเวลานั้น ดูจากคนที่อยู่รอบข้าง แม้มิได้หันกายมาแต่ย่อมเงี่ยหูฟังพวกนางสองพี่น้องคุยกันอยู่แน่นอน โม่เสวี่ยถงหัวเราะเยาะหยันในใจ โม่เสวี่ยิ่คิดจะยืมโอกาสนี้เพื่อกลบเกลื่อนความผิด หากนางดูเหมือนเป็ผู้บริสุทธิ์จริงๆ ใครจะมาตำหนิได้ คุณหนูใหญ่ผู้แสนดีและอ่อนโยนผู้นี้ช่างหาเหตุผลได้กลมกลืนสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
“พี่หญิงใหญ่ดีกับข้ามากจริงๆ น้องสาวเช่นข้าไหนเลยจะถือโทษโกรธเคืองได้ เื่เมื่อครู่นี้น้องสาวคิดว่าเป็ความเข้าใจผิด แต่ก็ไม่รู้ว่าตนเองเคยไปล่วงเกินใครที่ไหน เพิ่งเข้าเมืองมาแท้ๆ ก็ถูกคนมุ่งร้าย โชคดีที่พี่หญิงเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา พี่หญิงแสนดีถึงเพียงนี้ น้องสาวสมควรต้องจดจำใส่ใจ” โม่เสวี่ยถงยิ้มอย่างไร้เดียงสา ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ
ใครๆ ต่างมองออกถึงความจริงใจที่อยู่ในคำตอบอันนุ่มนวลของนาง
หากฟังอย่างผิวเผินจะรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่โม่ช่างแสนดีกับคุณหนูสามผู้นี้ยิ่งนัก สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็อาจเป็ความเข้าใจผิดจริงๆ แต่หากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนจะได้กลิ่นแปลกๆ หากโม่เสวี่ยิ่ช่วยจัดการแก้ปัญหาเหตุการณ์ที่หน้าประตูเมืองจริง ไฉนเมื่อครู่จึงไม่อาจอธิบายแก้ต่างแทนน้องสาวอย่างชัดเจนได้ แต่กลับตอบอย่างคลุมเครือทำให้ผู้อื่นแคลงใจ และหากนางอยู่ในเหตุการณ์จริง ด้วยปัญญาความสามารถของนาง มีหรือจะอ่านสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กระจ่าง
คุณหนูสามโม่เพิ่งมาถึงเมืองหลวงกลับถูกคนวางหลุมพรางให้ตกไปติดกับ ต่อมาคุณหนูใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยกู้หน้าให้ หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาว่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้ให้คำตอบต่อคำถามที่ชัดเจน ซ้ำยังทำราวกับว่ายอมรับว่าทำผิดจริง แล้ววันนี้คุณหนูใหญ่โม่ที่เดิมทีไม่ควรมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงชมบุปผา ซึ่งเป็งานเลี้ยงของบุตรธิดาภรรยาเอก ก็มาชี้ความผิดของโม่เสวี่ยถงอีกครั้ง เมื่อนำแต่ละเื่ราวมาปะติดปะต่อกัน การกระทำเหล่านี้เป็การช่วยปกป้องน้องสาวเสียที่ไหน...
ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกทะแม่ง!
แต่เด็กสาวผู้นั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มองพี่สาวคนโตของตนเองด้วยความซาบซึ้งใจ...
พี่สาวน้องสาวกันแท้ๆ? พี่สาวน้องสาวที่ดีต่อกัน?
โม่เสวี่ยิ่รับรู้ได้ถึงสายตาเหยียดหยันของคุณหนูที่รายล้อมอยู่เ่าั้ แม้จะนึกขุ่นเคืองโม่เสวี่ยถงอยู่ในใจว่าไม่รู้จักดีชั่ว แต่ใบหน้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ยังคงยิ้มอย่างสนิทสนมอ่อนโยน เพื่อรักษาภาพลักษณ์จึงยังต้องกล่าวปลอบโยนโม่เสวี่ยถงด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนและไม่กล้าเอ่ยถึงเื่เมื่อครู่นี้อีก ได้แต่ชวนคุยเื่สัพเพเหระ พี่สาวถามอย่างนุ่มนวล น้องสาวก็ตอบอย่างใสซื่อ แสดงบทบาทพี่สาวน้องสาวที่รักใคร่กลมเกลียวได้อย่างแเียิ่ง
'จอมปลอมสิ้นดี!' เฟิงเจวี๋ยหร่านเลิกคิ้วขึ้นมอง
ผู้เป็น้องสาวก็แสดงได้แเียิ่ง ผู้เป็พี่สาวก็ยิ่งเสแสร้งได้สมจริงไม่น้อยหน้า ธิดาสกุลโม่คู่นี้นับเป็ของล้ำค่าโดยแท้ แต่ในฐานะที่รู้จักกับโม่เสวี่ยถงก่อน อย่างไรเฟิงเจวี๋ยหร่านก็ยังรู้สึกว่าแม้จะเป็การเสแสร้ง แต่คนน้องก็เสแสร้งได้น่ารัก ตรงข้ามกับคนพี่ที่ดูน่ารังเกียจ
ดวงตาทรงเสน่ห์ร้ายกาจกวาดผ่านเยี่ยนอ๋องที่ตนกำลังพูดคุยด้วยไปสิ้นสุดที่ไป๋อี้เฮ่าซึ่งอยู่ในวงล้อมผู้คน ผู้มีชื่อเสียงก็ย่อมเป็ผู้มีชื่อเสียงอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนย่อมอยู่ในใจคน หากมิใช่เพราะฐานะพิเศษของเขา เกรงว่าหากอยากจะพบเจอตัวคงเป็เื่ยาก เสียงพิณไพเราะพลิ้วมา เสียงคุยรอบกายก็เริ่มเบาบางลง ตั้งใจสดับท่วงทำนองที่ไพเราะจับใจเงียบๆ
ชั่วขณะนั้นมีเพียงเสียงพิณละเมียดละไมราวกับสายน้ำชุ่มฉ่ำที่ไหลรื่นเข้ามาในหัวใจผู้คน
นิ้วมือของไป๋อี้เฮ่าโลดแล่นอยู่บนสายพิณ ทักษะการเล่นพิณของเขาล้ำเลิศไม่แพ้วิชาแพทย์ ยามนี้เพียงเสียงดนตรีเริ่มบรรเลง ทั่วทั้งงานต่างพากันเงียบเสียง นั่งหยัดกายตรงดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรี
เสียงพิณใสกังวานประหนึ่งน้ำพุกลางหุบเขา ให้ความรู้สึกเป็อิสระไร้ทุกข์กังวลเหมือนเมฆาที่ลอยละลิ่วอยู่เหนือนภากาศ ความวุ่นวายในโลกใบนี้ราวกับไหลไปพร้อมกับสายน้ำ หัวใจเสมือนได้รับการชะล้างจนสะอาดผ่องแผ้ว
เพียงแต่ใจคนจะสามารถชะล้างได้จริงหรือ โม่เสวี่ยถงถอนหายใจเบาๆ หลุบตาก้มศีรษะลง หากหัวใจคนเราสามารถชำระล้างได้จริง นางจะตายอย่างน่าอนาถเยี่ยงนั้นได้อย่างไร ไม่ใช่แค่นางชีวิตเดียว แต่ยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องสังเวยอย่างไม่เป็ธรรม เมื่อได้ยินเสียงพิณแว่วมาไกลๆ ในหัวของนางกลับย้อนนึกไปถึงวันที่เปลวไฟลุกโชนเสียดฟ้า ความโเี้เยี่ยงนั้น ความร้ายกาจเยี่ยงนั้น ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่บาดลึกถึงจิติญญา...
ความเ็ปทะลักเข้ามาจนนางหายใจไม่ออก สองมือที่วางอยู่ใต้โต๊ะกำแน่น ใบหน้าที่ราบเรียบสงบนิ่งพลันเปลี่ยนเป็เ็ปทรมาน กระเสือกกระสนดิ้นรน ชั่วเวลานี้เสียงพิณมิได้เป็ความพร่าเลือนอีกต่อไป ทว่ากลับกลายเป็คมกระบี่ที่จ้วงแทงเข้ามากลางหัวใจของโม่เสวี่ยถงจนชุ่มโชกไปด้วยโลหิต
เ็ปไม่มีที่สิ้นสุด เคียดแค้นไม่มีที่สิ้นสุด เสียใจไม่มีที่สิ้นสุด!
ท้ายที่สุดสายตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านก็เลื่อนกลับไปที่โม่เสวี่ยถง เห็นนางนิ่งฟังเสียงพิณเหมือนคนอื่นๆ ก็แค่นเสียงอย่างไม่พอใจ เกิดความคิดจะทำลายบรรยากาศอันงดงามนี้ลงเสีย ทันใดนั้นก็เห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนไปราวกับนึกถึงเื่ที่ทำให้เ็ปแสนสาหัส นางนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเล็กขาวซีด ตัวแข็งเกร็ง เหงื่อเย็นไหลหลั่ง ฟันขบริมฝีปากล่างแน่นจนไร้สีเื แพขนตายาวสั่นกระพือสั่นน้อยๆ ดูคล้ายกำลังเ็ปทรมาน...
หัวคิ้วงามพลันมุ่นขมวด หยิบตะเกียบข้างมือขึ้นมาเคาะสู้เสียงพิณ ดูคล้ายประสานกับท่วงทำนองบ้าง ขัดทำนองบ้าง เสียงพิณพลิ้วหวานถูกเสียงเคาะโป๊กๆ ก่อกวนจนยุ่งเหยิงไปหมด ผู้คนเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจกระสับกระส่าย รู้สึกอึดอัดทรมานอย่างยิ่ง!
…...........................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] จวี๋ฮวา หรือ ต้นเบญมาศ เป็ไม้ดอกที่มีสีสันงดงามทั้งสีเหลือง สีขาว สีชมพู สามารถนำมาทำน้ำสมุนไพรได้