ป๋อชางโหวหยัดกายยืนตรงทันใด ดวงตาแข็งกร้าวถลึงจ้องจ้าวอี๋เหนียง “จ้าวชื่อ เ้ามีเจตนาอะไรกันแน่!”
เสียงตวาดของเขาครั้งนี้ทำเอาจ้าวอี๋เหนียงทรุดตัวลงพื้นทันที ก่อนช้อนมองเขาด้วยสายตาน้อยใจ “เป็ความผิดข้าเอง ใจข้าเอาแต่คิดเื่คุณหนูใหญ่ แต่กลับลืมไปว่าครานี้เรามาเพื่ออธิษฐานให้พี่หญิงไปสู่สุคติเ้าค่ะ”
นางเอ่ยก่อนขยับตัวบนพื้น นั่งคุกเข่าให้เรียบร้อย “เป็ความผิดข้าเองเ้าค่ะ ท่านโหวได้โปรดลงโทษ”
จ้าวอี๋เหนียงยอมรับความผิดเร็วยิ่ง ทำเอาเฉินจิ้งเจียเป็อันต้องแค่นหัวเราะไร้เสียง นับว่าปรับตัวรับสถานการณ์ได้ดีทีเดียว ต่อให้ยามอยู่หลังบ้านจะโอ้อวดศักดาตนไปบ้าง ทว่าจ้าวอี๋เหนียงกลับสามารถแยกแยะถือสถานะของตนได้อย่างชัดเจนอยู่ดี ช่างเป็ศัตรูที่รับมือยากทีเดียว
“หากเ้าละอายใจจริง เช่นนั้นก็หาวิธีลงโทษเอาเอง ไยต้องให้ถึงมือข้ามาสั่งลงโทษด้วย?”
น้ำเสียงป๋อชางโหวเย็นะเืถึงกระดูก ดวงตาที่มองจ้าวอี๋เหนียงก็เย็นเยียบสุดขีดเช่นกัน ราวกับว่าสตรีผู้นี้มิได้ข้องเกี่ยวกับเขาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อได้ยินดังว่า จ้าวอี๋เหนียงค่อยๆ ยืนขึ้นตัวสั่นระริก ไม่กล้าเงยหน้ามอง “เข้าใจแล้วเ้าค่ะ ข้าจะไปคัดพระคัมภีร์ ถึงเวลานั้นจะเผาไปให้พี่หญิงเ้าค่ะ”
พูดจบ นางไม่คอยให้ป๋อชางโหวทันปริปากก็โค้งกายคารวะแล้วถอยจากไป
เมื่อเห็นบนประตูเบื้องหน้าค่อยๆ ปิดเข้าหากัน บรรยากาศภายในก็คล้ายกับครึกครื้นขึ้นแล้ว จ้าวอี๋เหนียงบีบกำปั้นแน่นจนมือสั่นระริก
แต่งตั้งนางเป็อนุ หลังจากให้กำเนิดเฉินจิ้งโหรวมา นางเคยถูกโกรธแบบนี้มาก่อนเสียที่ไหน?
นางเงยหน้ามองไปยังประตู แววโทสะเคียดแค้นฉายชัดในดวงตาอย่างไม่ปิดบัง เฉินจิ้งเจีย จะปล่อยให้เ้ากำเริบเสิบสานอีกไม่กี่วัน คอยดูก็แล้วกันว่าระหว่างเราใครจะหัวเราะได้ถึงตอนสุดท้าย!
“อี๋เหนียง ท่านควรไปเขียนพระคัมภีร์ได้แล้วเ้าค่ะ”
หนานจือยกของว่างเข้ามา ขณะกำลังจะเข้าประตูก็เห็นจ้าวอี๋เหนียงยืนอยู่หน้าประตู จึงเอ่ยปากขึ้น
“ใช่ ข้ากำลังจะไป” ใบหน้าจ้าวอี๋เหนียงยังคงประดับยิ้มอ่อนโยน มองหนานจือพลางพยักหน้า จากนั้นจึงหันตัวเร้นจากไป
ไม่มีผู้ใดทันเห็นว่าชั่ววินาทีที่นางหันตัว สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็ความชั่วร้าย
ทางฝั่งเฉินจิ้งโหรวที่เพิ่งสืบข่าวมานั้น ขณะมาดหมายนำข่าวไปบอกจ้าวอี๋เหนียง ก็มีคนบอกว่าจ้าวอี๋เหนียงกำลังคัดพระคัมภีร์อยู่ในโถงเล็กของอารามหลวง
รอยยิ้มเฉินจิ้งโหรวมลายหายสิ้นในชั่วพริบตา “ไฉนท่านแม่ข้าถึงไปคัดลอกพระคัมภีร์เล่า?”
แน่นอนว่านางไม่มีทางเชื่อว่าจ้าวอี๋เหนียงจะยินยอมไปคัดเอง เพราะมารดาของนางวันๆ เอาแต่เฝ้าคอยดูมารดาของเฉินจิ้งเจียป่วยตายนี่นา!
“เป็ฝีมือเฉินจิ้งเจียใช่หรือไม่!”
นอกเสียจากว่าเฉินจิ้งเจียทำเสียเื่แล้ว นางก็นึกถึงเหตุผลอื่นไม่ออกอีกต่อไป
เมื่อโพล่งขึ้นมา เด็กสาวรับใช้ข้างกายก็รีบพุ่งมือมาอุดปากนางทันใด พลางส่งเสียงกระซิบเตือนข้างหูหญิงสาว “คุณหนู ท่านลืมที่ท่านอี๋เหนียงสอนแล้วหรือเ้าคะ? อย่าได้ปั้นเื่ใส่ความคุณหนูใหญ่เด็ดขาด!”
เฉินจิ้งโหรวผลักซีหร่านออก ถลึงตาดุร้ายใส่นาง “ข้าจำได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็ต้องให้นางเด็กรับใช้อย่างเ้าคอยเตือนหรอก!”
โวยวายจบก็หันกายปรี่ไปยังโถงเล็ก...
ซีหร่านมองแผ่นหลังเฉินจิ้งโหรว ก่อนยกมือลูบจุดที่ตนถูกผลักออกป้อยๆ
“มัวยืนบื้ออะไร ยังไม่ตามมาอีก? เ้าเป็ใคร ผู้ใดเป็คนใช้ เ้าลืมไปแล้วหรือ?”
เฉินจิ้งโหรวโกรธจัดตวาดเสียงดังลั่นเบื้องหน้า ซีหร่านมิอาจสนใจความเจ็บตรงแขนได้ เร่งรีบตามติดนางไป
เมื่อถึงโถงเล็ก ยิ่งเฉินจิ้งโหรวเดินเข้าไป ก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วยุ่งเหยิง คอยกระทั่งเดินถึงข้างในแล้วก็มองเห็นจ้าวอี๋เหนียงกำลังคุกเข่ายื่นมือไปทางพระคัมภีร์
“ท่านแม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เฉินจิ้งโหรวนั่งยองมองจ้าวอี๋เหนียงที่ยังคงท่าทีปกติเบื้องหน้า
นางหน้าซีดเผือด มือที่ถือพู่กันสั่นระริกและเย็นเยียบ ปลายนิ้วปรากฏริ้วสีเขียวจางๆ
“ความผิดข้าเอง เ้าไม่ต้องสนใจข้า ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ” จ้าวอี๋เหนียงเอ่ยปาก
เฉินจิ้งโหรวคว้ามือจ้าวอี๋เหนียงไว้ เย็นเยียบไร้ซึ่งความอุ่นประหนึ่งนางถือก้อนน้ำแข็งไว้ในมืออย่างไรอย่างนั้น
“หากท่านจะคัดลอกพระคัมภีร์ ดีร้ายอย่างไรก็ควรเขียนในห้อง เพิ่มกระถางไฟอีกสักสองกระถางถึงจะถูก! ที่นี่ลมแทรกผ่านทั้งด้านหน้าด้านหลัง คิดว่าร่างกายท่านจะทนไหวหรือไร!”
เฉินจิ้งโหรวพูดไปพลางจะประคองจ้าวอี๋เหนียงขึ้น
หากแต่จ้าวอี๋เหนียงกลับขัดขืนการกระทำของเฉินจิ้งเจีย “โหรวเอ๋อร์ ฟังแม่ ครานี้แม่ย่ามใจเกินไป อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน แช่ชโลมความเย็นสักนิดจะได้ทำให้ข้ามีสติขึ้นบ้าง”
มีสติขึ้นบ้าง กระนั้นก็ไม่จำเป็ต้องหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ก็ได้ อย่างไรก็ไม่มีทางตกหลุมพรางของเฉินจิ้งเจียอยู่ดี
“แต่ แต่ร่างกายท่าน...” เฉินจิ้งโหรวกังวลใจอยู่ไม่น้อย
ทว่าจ้าวอี๋เหนียงกลับหัวเราะเสียงเย็น “เ้าวางใจเถิด หากข้าตากลมหนาว พ่อเ้าไม่มีทางตามเอาเื่แน่ หากข้าเตรียมตัวพร้อมไปเสียหมดละก็ เช่นนั้นเกรงว่าต้องคัดลอกพระคัมภีร์เป็กองถึงจะจบสิ้น”
คัดพระคัมภีร์ให้ซูเหยาไปสู่สุคติหรือ? ล้อเล่นอะไรกัน!
…
“เจียเอ๋อร์ แม้นเมื่อครู่เ้าจะล้มจ้าวอี๋เหนียงได้ แต่นางไม่มีทางคัดพระคัมภีร์แน่นอน” เฉินอี้เหอบอกเฉินจิ้งเจีย
เฉินจิ้งเจียกลับมิได้ใส่ใจเท่าไร นางยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง “เช่นนั้นก็ดีสิ ข้าเองก็มิอยากให้ท่านแม่เห็นพระคัมภีร์ที่นางคัดให้ จะได้ไม่ต้องแปดเปื้อนสายตา”
“แล้วไฉนเ้าถึงทำเช่นนี้?” เฉินอี้เหอมองน้องสาวตนเองอย่างไม่เข้าใจนัก
“ข้าแค่อยากให้นางพักหลายวันหน่อย อย่าได้โผล่ออกมาขยับกวัดแกว่งต่อหน้าข้าเลย ข้ารับไม่ได้”
เฉินจิ้งเจียเอ่ยจบจึงเงยหน้า ส่งรอยยิ้มสว่างไสวให้เฉินอี้เหอ
รอยยิ้มนี้ไม่เข้ากับประโยคที่นางเพิ่งพูดจบสักนิดเลยนี่!
ป๋อชางโหวกลับเรือนพักของตนด้วยโทสะเดือดดาล จ้าวอี๋เหนียงไม่อยู่ มีเพียงแม่นมซุนคนเดียว
“ไฉนเ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
ป๋อชางโหวมองแม่นมซุน โพล่งถามนางด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟังเช่นกัน
แม่นมซุนโน้มกายคารวะ “เรียนท่านโหว จ้าวอี๋เหนียงให้บ่าวกลับมา ท่านอี๋เหนียงบอกว่านางกำลังคัดพระคัมภีร์ เกรงว่าที่เรือนจะไม่มีใครคอยรับใช้ จึงส่งบ่าวกลับมาเ้าค่ะ”
ครั้นนางบอกมาเช่นนี้ โทสะของป๋อชางโหวก็มลายหายไปบ้างแล้ว เมื่อนึกถึงท่าทางที่จ้าวอี๋เหนียงคอยนึกถึงตนแล้ว ก็ใจอ่อนลงเล็กน้อย
หากแต่จ้าวอี๋เหนียงทำผิดจริง ถึงต้องไปคัดพระคัมภีร์อยู่พักหนึ่ง หากเขาให้เ้าตัวกลับมาตอนนี้ ก็คงดูเหมือนเขาเล่นเป็เด็กอย่างแน่นอน
แม่นมซุนคอยท่าอยู่สักครู่ เห็นป๋อชางโหวเข้าห้องไปทั้งอย่างนั้นไร้ซึ่งวี่แววพาตัวจ้าวอี๋เหนียงกลับมา จิตใจเป็อันคร่ำเครียดแทนเสียมิได้
เฉินจิ้งโหรวพรวดพราดเข้ามาอย่างรีบร้อน แม่นมซุนเห็นนางก็กะพริบตาปริบๆ “คุณหนูรอง มาได้อย่างไรเ้าคะ?”
เมื่อนึกถึงคำสอนของจ้าวอี๋เหนียงเมื่อครู่ เฉินจิ้งโหรวจึงสงบสติลง นางมองแม่นมซุนก่อนจงใจะโเสียงดังลั่น “ท่านพ่ออยู่ในนี้หรือไม่? ข้า้าเจอท่านพ่อ!”
ท่าทีเช่นนี้ของนาง ไหนเลยแม่นมซุนจะดูไม่ออกว่าสื่อถึงอะไร ว่าแล้วจึงตอบกลับทันใด “คุณหนูรอง ท่านกลับไปเถิดเ้าค่ะ ท่านโหวกำลังพักผ่อนเ้าค่ะ”
“แต่ท่านแม่... แม่นมซุนก็รู้นี่ว่าข้างในโถงเล็กของอารามว่างเปล่าไม่มีอะไรสักนิด ท่านแม่คุกเข่าคัดพระคัมภีร์อยู่ที่นั่น เมื่อครู่ข้าไปหา มือท่านแม่เย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง หากเป็เช่นนี้ต่อไปท่านแม่ป่วยโรคเพราะตากลมหนาวขึ้นมาจะทำอย่างไร!”
