อาจเป็เพราะคำพูดของผู้เฒ่าฮั่วมีอิทธิพลต่อความคิดของอันเจิงอย่างมากดังนั้นเขาจึงมักจะรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายเขาเสมอ
คนส่วนใหญ่หลังจากที่รู้ว่าตัวเองกำลังประสบกับอันตรายพวกเขาก็มักจะคิดมากและหวาดระแวง ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ก็ห้ามความคิดที่ว่าไม่ได้
อันเจิงมองโลกในแง่ดีกว่านั้นมากอย่างไรเสียเขาก็มีประสบการณ์และความยึดมั่นที่คนธรรมดาส่วนใหญ่ไม่มี
อันเจิงพบว่า การสวมสร้อยลูกประคำโลหิตจริงๆ แล้วส่งผลกระทบต่อร่างกายไม่มากแต่สำหรับความคืบหน้าของการบ่มเพาะกลับได้รับผลกระทบไม่น้อย
แม้ว่าจะมีศักยภาพร่างกายเพียงแค่ครึ่งดาราแต่การกินสมุนไพรระดับขั้นสีขาวจำนวนมากทุกวันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการดื่มยาชูกำลังตามหลักการแล้วร่างกายสมควรได้รับการปรับสภาพใหม่ไม่น้อย แต่ในความเป็จริงอันเจิงรู้สึกว่าประตูทะเลปราณที่เปิดออกก็ยังเป็เพียงรอยแยกเล็ก ๆ เหมือนเดิม
ตกดึกอันเจิงแอบไปทดสอบที่แท่นนวดาราอีกครั้ง ผลคือระดับศักยภาพของเขายังคงมีเพียงแค่ครึ่งดาราเท่านั้น
หลังจากร่างกายฟื้นตัวได้พอสมควรแล้วอันเจิงก็กำหนดการฝึกซ้อมอย่างละเอียดให้กับตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆ จากนั้นก็มอบสมุนไพรให้กับชวีหลิวเอ๋อไม่น้อยเพื่อนำไปหลอมยาสำหรับยกระดับศักยภาพของทุกคนส่วนตัวเขาอาศัยจังหวะที่คนอื่น ๆ เข้านอนกันหมดแล้ว แอบเข้าไปฝึกในตราประทับท้าทาย์
ผู้เฒ่าฮั่วเคยกล่าวเอาไว้ว่า เวลาในตราประทับท้าทาย์ค่อนข้างเสถียรดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ข้างในนานเท่าไหร่ เมื่อออกมาก็จะยังเป็เวลาในตอนที่เขาเข้าไปกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อันเจิงมีเวลามากเกินพอสำหรับการฝึกฝนสำหรับบุคคลที่มีศักยภาพร่างกายต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นเขา นี่อาจเป็สิ่งที่ดีที่สุดและถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยเป็ธรรมเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่จำเป็ต้องมาคิดมากเื่เวลาในการบ่มเพาะอีกด้วยเหตุนี้อันเจิงจึงระลึกถึงความเมตตานี้ของผู้เฒ่าฮั่วอยู่ในใจเสมอบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ของเขาต่อให้ใช้ทั้งชีวิตก็ยังยากที่จะทดแทน
ผู้เฒ่าฮั่วเป็คนใจกว้างและซื่อสัตย์มากแม้เขาจะบอกว่าร่างกายของเขาพิการไปแล้ว ไม่สามารถกลับมาบ่มเพาะได้อีกแต่อันเจิงเชื่อว่าอิทธิพลของเขาในหอสถิตดารายังคงมีอยู่ และด้วยสถานะของเขาการจะได้มาซึ่งสมบัติวิเศษระดับขั้นสีแดงสองสามชิ้น หรือกระทั่งสมบัติวิเศษระดับขั้นสีทองไม่ใช่เื่ยากอะไรเลยหากผู้เฒ่าฮั่วมีใจคิดล้างแค้นมู่ฉางเยียนจริง ๆก็สามารถสร้างปัญหาให้เขาได้ไม่ยาก อาศัยสมบัติวิเศษพวกนี้เป็ตัวล่อก็สามารถทำให้มู่ฉางเยียนวุ่นวายไปตลอดชีวิตได้แล้ว
แม้ว่าจะฆ่ามู่ฉางเยียนไม่ได้แต่ก็ทำให้ชีวิตของเขาไม่สงบสุขได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่าฮั่วเข้าใจดีว่าการตายของฮั่วอู่ฟูนั้นไม่เกี่ยวข้องกับมู่ฉางเยียนโดยตรงฮั่วอู่ฟูเคยท้าประลองกับเ้าเมืองคนก่อนจนได้ตำแหน่งเ้าเมืองมาดังนั้นสถานการณ์เดียวกันนี้จึงเป็สิ่งที่เขาต้องเผชิญ ในการประลองต่อสู้กันการทำให้อีกฝ่ายได้รับาเ็นั้นเป็เื่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า มู่ฉางเยียนแค่ทำให้ฮั่วอู่ฟูได้รับาเ็เท่านั้นเขาไม่ได้ลงมือฆ่า ดังนั้นในสายตาของผู้เฒ่าฮั่วจึงมองว่า มู่ฉางเยียนมิได้เลวร้ายหรือเืเย็นถึงเพียงนั้นนี่เป็เหตุผลที่ว่าทำไมผู้เฒ่าฮั่วไม่ได้รู้สึกเกลียดชังมู่ฉางเยียน
ในทางตรงกันข้ามเขารู้สึกเกลียดตัวเองมากกว่า เกลียดที่ตัวเองไม่ได้อบรมสั่งสอนบุตรชายให้ดี
บางครั้งอันเจิงรู้สึกว่า ผู้เฒ่าฮั่วกำลังถ่ายโอนความรักที่มีต่อฮั่วอู่ฟูมาให้กับเขานั่นจึงเป็เหตุที่อันเจิงไม่อยากทำให้ชายชรารู้สึกผิดหวัง
หักลบเวลาที่ใช้ในการสอนตู้โซ่วโซ่วเสี่ยวชีเต้าและชวีหลิวเอ๋อออก เวลาที่เหลือของอันเจิงก็หมดไปกับการบ่มเพาะฝึกฝน
พื้นที่ในมิติของตราประทับท้าทาย์นั้นน่าอัศจรรย์เป็อย่างมากผู้เฒ่าฮั่วบอกกับอันเจิงว่ามันคือโลกเล็ก ๆ อีกใบหนึ่ง ทุกสิ่งที่อยู่ในโลกใบนี้จะหยุดนิ่งและไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนไหวได้ตอนที่อันเจิงเข้าไปข้างใน เขาเห็นดอกไม้เบ่งบานสะพรั่งเต็มทุ่งไม่มีวันแห้งเหี่ยวและไม่มีทางเฉาตาย อันเจิงเดินไปตามถนนเส้นเล็ก ๆก้มมองดูมดบนพื้น แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่เห็นมันขยับ
ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ ทุกสิ่งที่อยู่ในนี้ไม่ใช่ของปลอมทั้งหมดล้วนเป็ของจริง มดก็เป็มดที่มีชีวิตจริง ๆ ดอกไม้ก็มีชีวิตจริง ๆ ทั้งยังสดใหม่อยู่อีกต่างหาก
สมกับเป็สมบัติวิเศษระดับตำนานอำนาจของมันท้าทาย์โดยแท้ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่
เนื่องจากเวลาในตราประทับท้าทาย์นั้นขยับช้ามาก หลังจากที่เข้ามาในนี้เืที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจึงแทบจะหยุดนิ่งตามไปด้วยส่งผลให้ความเร็วในการบ่มเพาะค่อนข้างช้า แต่นั่นก็ไม่นับว่าเป็อันใดมาก
อันเจิงและผู้เฒ่าฮั่วเข้าสู่โลกเล็ก ๆในตราประทับท้าทาย์ด้วยกัน ผู้เฒ่าฮั่วไม่ได้เร่งให้อันเจิงทำการฝึกฝนทันทีแต่ให้เขานั่งลงและพูดคุยกันก่อน
“เ้าใจร้อนเกินไปแล้ว”
ผู้เฒ่าฮั่วเอ่ยเตือน “ยิ่งใจของเ้ากระวนกระวายมากเท่าไหร่ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น”
อันเจิงตอบกลับไป “จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไรเล่าขอรับในเมื่องานประลองกับหอสมุดมายาใกล้เข้ามาทุกทีแล้วนี่ก็เหลืออีกไม่ถึงสี่เดือนด้วยซ้ำ แต่ระดับการบ่มเพาะของข้ายังไม่แตะขั้นแรกเลย”
ผู้เฒ่าฮั่วหันไปหยิบน้ำเต้าที่จุเหล้าไว้จนเต็มขึ้นมาแล้วยื่นมันให้กับอันเจิง“เ้าตั้งใจฟังที่ข้าพูดก่อน...ตราประทับท้าทาย์นี้สาเหตุที่มันถูกเรียกว่าท้าทาย์ ก็เพราะมันสามารถแย่งชิงเวลามาจาก์ได้ เ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าทุกสิ่งที่อยู่ในนี้หยุดนิ่งแน่นอนว่านี่เป็เพียงความสามารถพื้นฐานของมันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพราะเวลาในนี้หยุดนิ่งอัตราการบ่มเพาะจึงได้ช้าตามไปด้วยเนื่องจากร่างกายไม่ได้ถูกเผาผลาญหรือใช้งานไปเท่าที่ควรไม่แปลกที่ระดับการบ่มเพาะจะไม่คืบหน้า ดังนั้นแล้ว หากข้าปล่อยให้เ้าบ่มเพาะแบบนี้ต่อไปโดยไม่อธิบายอะไรเลยเ้าคงไม่ได้ประโยชน์อันใด คิดอยากจะใช้สมบัติวิเศษให้ได้อย่างสมบูรณ์ก่อนอื่นเ้าต้องเรียนรู้ถึงคุณสมบัติของสมบัติวิเศษแต่ละชิ้นเสียก่อน”
เขาหัวเราะเล็กน้อย ชี้ไปที่อันเจิงพลางพูด“ตอนนี้เ้าก็เหมือนกับเศรษฐีใหม่เ้าของที่ดิน มีสมบัติวิเศษระดับสีม่วงถึงสามชิ้นอยู่กับตัวแต่กลับใช้ไม่เป็สักอย่าง”
“ก่อนอื่นให้ข้าบอกเ้าก่อนว่า ทำไมสมบัติวิเศษระดับขั้นสีม่วงถึงได้ถูกเรียกว่าเป็ศาสตราวุธชั้นสูงนั่นเพราะมันสามารถเติบโตและปรับตัวให้เข้ากับผู้ถือครองได้นั่นเองสมบัติวิเศษระดับสีม่วงสามารถปรับสถานะให้เข้ากับระดับการบ่มเพาะของผู้ถือครองได้ด้วยตัวมันเองทำให้ผู้ถือครองสามารถดึงพลังของมันออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ที่สุด ไม่ว่าจะใช้กับการโจมตีหรือป้องกันก็ตาม”
“เหนือสิ่งอื่นใดคือ ผู้ถือครองจะต้องแข็งแกร่งพอที่จะใช้งานมันด้วยเ้าในตอนนี้ที่ยังไม่แตะแม้กระทั่งขั้นแรกของขอบเขตจุติ์ บอกเลยว่าไม่ได้รับการยอมรับจากพวกมันแน่นอนนี่ก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไมสมบัติวิเศษระดับสีม่วงถึงได้ไร้ค่าเมื่ออยู่ในมือเ้าตราประทับท้าทาย์ถึงแม้จะให้เวลาที่เพียงพอแก่เ้าแต่นี่กลับไม่ใช่เื่ดีอันใด ข้าอธิบายให้เ้าฟังแบบนี้แล้วกัน เมื่อใดก็ตามที่เ้าสามารถทำให้เวลาในตราประทับท้าทาย์เริ่มเดินได้นั่นจะพิสูจน์ว่าเ้าได้แข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว”
อันเจิงชะงักไปเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไรกัน?”
ผู้เฒ่าฮั่วกล่าวต่อ “ข้าเพิ่งบอกเ้าไปเองไม่ใช่หรือว่าความแข็งแกร่งของเ้าในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะเปิดใช้งานตราประทับท้าทาย์ได้เพราะเ้าอ่อนแอเกินไป เวลาในนี้มันถึงได้เดินช้าจนแทบจะไม่ขยับและเพราะเวลาไม่อาจขยับ อัตราในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะจึงลดน้อยลงตามไปด้วยกล่าวคือ รอให้เ้าบ่มเพาะถึงขอบเขตจุติ์ขั้นแรกก่อนค่อยเข้ามาเ้าดูมดที่อยู่บนพื้นข้างหน้าเ้า เห็นหรือไม่ว่ามันเดินช้าขนาดไหน เทียบขนาดตัวของมันกับความยาวของถนนคิดอยากจะไปให้ถึงอีกฝั่งบางทีอาจต้องใช้เวลานานมาก ๆ”
“เ้าก็เช่นกันตราบใดที่เ้ายังไม่เข้าสู่ขั้นแรกของขอบเขตจุติ์ไม่ว่าเ้าจะฝึกซ้อมในตราประทับท้าทาย์นานแค่ไหนก็คงไม่อาจก้าวขึ้นไปถึงขั้นแรกได้แต่หากความแข็งแกร่งของเ้าเพิ่มมากขึ้นเวลาในตราประทับท้าทาย์ก็จะยิ่งเดินเร็วขึ้น ข้าเคยคำนวณเอาไว้ว่า หากผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติ์ขั้นเก้าเข้ามาในนี้เวลาของที่นี่จะเดินช้ากว่าข้างนอกราว ๆ หนึ่งพันเท่าหรือก็คือหากเ้าบ่มเพาะข้างในนี้สองพันชั่วโมง จะเท่ากับเวลาข้างนอกเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น”
“เมื่อความแข็งแกร่งของเ้าไปถึงขอบเขตสุมารุก็จะยิ่งก้าวะโขึ้นไปอีก เวลาในตราประทับท้าทาย์จะช้ากว่าด้านนอกประมาณห้าร้อยเท่าและเมื่อเ้าไปถึงขอบเขตสุมารุขั้นเก้าเวลาของที่นี่จะช้ากว่าข้างนอกเพียงแค่หนึ่งร้อยเท่าเท่านั้น หากเ้าบ่มเพาะถึงขอบเขตกิเลสมารอัตราส่วนของเวลาจะลดเหลือเพียงห้าสิบเท่า ขอบเขตกิเลสมารขั้นเก้าลดเหลือสิบเท่ารอจนกระทั่งถึงขอบเขตจุลภาคความต่างก็น้อยมาก ๆ แล้วขอบเขตจุลภาคบ่มเพาะในตราประทับท้าทาย์หนึ่งเดือนจะเท่ากับเวลาด้านนอกหนึ่งวันขอบเขตมหภาคบ่มเพาะในนี้ยี่สิบวันจะเท่ากับด้านนอกหนึ่งวันและสุดท้ายเมื่อถึงขอบเขตแห่ง์ขั้นแรกบ่มเพาะในนี้สิบวันจะเท่ากับเวลาด้านนอกหนึ่งวัน”
อันเจิงเข้าใจแล้ว
“ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่เวลาในตราประทับท้าทาย์ก็จะยิ่งเดินเร็วมากขึ้นเท่านั้นดูเหมือนความแข็งแกร่งของตราประทับท้าทาย์จะผกผันไปตามความแข็งแกร่งของผู้ถือครองแต่ก็จุดนี้แหละที่ทำให้มันสมกับคำว่าท้าทาย์อย่างแท้จริงรอจนกระทั่งถึงขอบเขตแห่ง์ขั้นแรกจะฝึกฝนที่ไหนก็ไม่ต่างกันแล้ว”
ผู้เฒ่าฮั่วกล่าวว่า “ถ้าเ้าสามารถไปถึงขอบเขตแห่ง์ขั้นสูงได้ตราประทับท้าทาย์ก็จะสูญเสียความสามารถในการ่ชิงเวลาของมันไปเ้าฝึกในนี้หนึ่งวันจะเท่ากับข้างนอกหนึ่งวันนั่นก็เพราะความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนในขอบเขตแห่ง์ขั้นสูง สูงกว่าความแข็งแกร่งของศาสตราวุธวิเศษที่เรียบง่ายชิ้นนี้ไปแล้ว”
เขายิ้มและพูดกับอันเจิงต่อ “ดังนั้นพอเห็นเ้ารีบร้อนข้าก็เลยอดไม่ได้ต้องชี้แนะสักสองสามประโยคตราประทับท้าทาย์นั้นแตกต่างจากสมบัติวิเศษอีกสองชิ้นของเ้า ปิ่นแมลงปอทับทิมจะผันแปรไปตามความแข็งแกร่งของเ้าของหรือก็คือหากเ้าอยู่ในขอบเขตจุลภาค มันก็จะมีพลังอยู่ในขอบเขตจุลภาคตามไปด้วยถึงตอนนั้นอาศัยแค่พลังของปิ่นอย่างเดียวก็สามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนในขอบเขตมหภาคผู้หนึ่งได้แล้วไม่จำเป็ต้องออกแรงให้เหนื่อยแต่อย่างใด แต่ตราประทับท้าทาย์ไม่เหมือนกันมันเป็เพียงช่องว่างมิติแห่งหนึ่ง เป็ของวิเศษที่ใช้สำหรับ่ชิงเวลาโดยเฉพาะมิได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้โจมตี แต่อย่างน้อยเ้าสามารถใช้มันในการป้องกันได้นะ”
ผู้เฒ่าฮั่วลุกขึ้นแล้วก้มลงไปดึงอันเจิงให้ลุกตาม“เชื่อมั่นในตัวเองหน่อย ขนาดสมบัติวิเศษที่ชั่วร้ายอย่างสร้อยลูกประคำโลหิตยังทำอะไรเ้าไม่ได้แล้วเ้าจะกลัวอะไร? บางครั้งบางทีความโชคดีก็เป็ความสามารถอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกันบอกตามตรง ั้แ่เกิดมาข้ายังไม่เคยเจอใครโชคดีเท่าเ้ามาก่อนนี่กระมังที่เรียกกันว่าผู้ถูกเลือกโดย์”
หลังจากอันเจิงลุกขึ้นแล้วก็เดินตามหลังผู้เฒ่าฮั่วออกจากตราประทับท้าทาย์ไป
“รออีกสักนิด อย่าเพิ่งรีบร้อนไปเ้าเข้าสู่ขอบเขตจุติ์ขั้นแรกให้ได้ก่อน ค่อยเข้าไปฝึกฝนในตราประทับท้าทาย์”
ผู้เฒ่าฮั่วยื่นมือออกไปเก็บน้ำเต้าในมืออันเจิงกลับมา“ทำไมเ้าดื่มไปเยอะขนาดนี้...เป็เด็กก็ดื่มให้น้อยหน่อย ไม่ดีต่อสุขภาพ”
อันเจิงหัวเราะเบา ๆ “น้อย ๆ หน่อยเถอะในน้ำเต้าของท่านมีแต่น้ำเปล่า!”
“โอ้...ข้าลืมไป รู้หรือไม่ว่าศาสตร์ในการดื่มที่ลึกล้ำที่สุดก็คือดื่มน้ำเปล่าให้กลายเป็เหล้าได้อย่างไรเล่า”
อันเจิงคิดขึ้นในใจ ประโยคนี้หากนำไปพูดกับจงจิ่วเกอคงช่วยพัฒนาทักษะการหลอกลวงของเขาได้ไม่น้อยแต่ตอนนี้จงจิ่วเกอไม่ได้อยู่ในโลกมายาแล้วอันเจิงขอให้เขาเดินทางไปที่ตำหนักเทียนฮ่าวในดินแดนหนานเจียง อันเจิงคาดเดาว่า พวกที่ลงมือกับเขาน่าจะลงมือกับตำหนักเทียนฮ่าวด้วยเหมือนกันด้วยเหตุนี้อันเจิงจึงขอให้จงจิ่วเกอรีบออกเดินทางโดยเร็วที่สุดไปหาเสวี่ยเหมยไต้แล้วเตือนนางเื่คนของราชสำนักต้าซี
หลังจากผู้เฒ่าฮั่วจากไปอันเจิงก็เริ่มจมดิ่งเข้าสู่ห้วงของความคิดครุ่นคิดอย่างหนักว่าทำอย่างไรดีถึงจะสามารถยกระดับศักยภาพของตนเองและขยายขนาดประตูทะเลปราณให้ใหญ่ขึ้นกว่านี้ได้
เขาในตอนนี้อ่อนแอเกินไปขนาดทะเลปราณของตนเองตอนนี้ยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่า ประตูของทะเลปราณจะผันแปรไปตามศักยภาพของผู้เป็เ้าของเพราะศักยภาพของเขาเกินต่ำ ประตูของเขาจึงไม่เพียงแต่เปิดแง้มแค่เล็กน้อยขนาดของประตูยังเล็กมากอีกด้วย ไหนเลยจะเหมือนกับอัจฉริยะหาตัวจับได้ยากอย่างเสี่ยวชีเต้ารายนั้นฝึกแค่ไม่นานก็มองเห็นทะเลปราณของตัวเองแล้วไม่เพียงแค่นั้นยังทะลวงผ่านระดับการบ่มเพาะได้อีก น่าอิจฉาเป็บ้า!
อันเจิงคิดว่าประตูของเขาน่าจะสูงเพียงครึ่งเมตรส่วนที่แง้มออกมาก็น่าจะมีเพียงรอยแยกเล็ก ๆ รอยเดียว ใช้กระบวยตักน้ำสาดเข้าไป อย่างไรก็เข้าไปได้ไม่มาก
ดังนั้นประสิทธิภาพในการดูดซับน่าจะน้อยยิ่งกว่าน้อยความเร็วในการทะลวงขอบเขตคงช้าเอามาก ๆ
อันเจิงเครียดจัดด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามคิดเื่อื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตนเองขณะเดียวกันก็ถือเป็การปรับสภาพจิตใจไปในตัวด้วย เขาคิดออกอยู่วิธีหนึ่งนั่นคือใช้ประโยชน์จากสวนสมุนไพรที่อยู่ในลูกประคำโลหิตตอนนี้อันเจิงสามารถหยิบสมุนไพรออกจากลูกประคำโลหิตได้ดังใจแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าไปได้อยู่ดี และไม่สามารถดูแลหรือเพาะปลูกเพิ่มเติมได้หากเขาสามารถโยกย้ายสวนสมุนไพรนี้ไปยังตราประทับท้าทาย์ได้แล้วให้ชวีหลิวเอ๋อตามเข้าไปดูแล ด้วยนิสัยบ้าสมุนไพรของนางต้องทำให้พวกมันงอกเงยขึ้นมาได้แน่
เห็นทีคงต้องไปขอคำชี้แนะจากผู้เฒ่าฮั่วอีกครั้ง
อันเจิงบอกความคิดของตัวเองทั้งหมดให้ผู้เฒ่าฮั่วฟัง
แต่เขากลับถูกผู้เฒ่าฮั่วไล่ให้กลับไปบ่มเพาะก่อนเื่อื่นค่อยว่ากันทีหลัง
อันเจิงเดินกลับเข้าไปที่ห้องเรียนขณะที่กำลังก้าวเข้าประตู คลื่นพลังบางอย่างพลันซัดเข้ามากระทบร่างอันเจิงรีบหันหน้าไปมอง เห็นว่าเสี่ยวชีเต้าบัดนี้กำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าแดงก่ำสภาพเหมือนกับเมาเหล้าอย่างไรอย่างนั้น
“เสี่ยวชีเต้า ไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
อันเจิงก้าวฉับ ๆ เข้าไปหาสีหน้าฉายแววกังวลชัดเจน
หัวเล็ก ๆ ของเสี่ยวชีเต้าส่ายเล็กน้อย “พี่ชายอันเจิง...คิกๆ ๆ...ฟู่! สบายจังเลย”
อันเจิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยความรวดเร็ว“เ้าทะลวงขั้นแล้ว!”
เสี่ยวชีเต้าเพิ่งทะลวงเข้าขอบเขตจุติ์ขั้นแรกไปเมื่อเดือนที่แล้วเองนี่ทะลวงอีกขั้นแล้วหรือ? ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาเพียงพอให้ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ อิจฉาจนกระอักเืตายได้เลยทีเดียวเนื่องจากปฏิกิริยาตอบสนองของแต่ละคนในการทะลวงขั้นไม่เหมือนกันดังนั้นอันเจิงจึงมองไม่ออกแต่แรกว่าเสี่ยวชีเต้ากำลังทะลวงขั้นอยู่ ในเวลานี้เองตู้โซ่วโซ่วก็เดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยยาในมือคิ้วสองข้างของเขาขมวดมุ่น ใบหน้างอง้ำ ทันทีที่เห็นเสี่ยวชีเต้าก็รีบวิ่งเข้าไปหา“เ้าดื่มยาถ้วยนี้แล้วรีบ ๆ สร่างเมาเสีย!”
ชวีหลิวเอ๋อเดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าเสี่ยวชีเต้า “มันเป็ยาที่อาจารย์ข้าต้มขึ้นมาเพื่อช่วยยกระดับศักยภาพร่างกายต่างหากไม่ใช่น้ำแกงสร่างเมาเสียหน่อย อีกอย่าง...เสี่ยวชีเต้าก็ไม่ได้เมาด้วย”
ตู้โซ่วโซ่วถอนหายใจกล่าว “นี่ละหนาอัจฉริยะทะลวงได้ปุบปับง่ายดายดีแท้”
เขาบีบจมูกแล้วกรอกยาถ้วยนั้นลงกระเพาะไปผ่านไปไม่นานเขาก็รีบวิ่งแจ้นไปเข้าห้องน้ำ “นี่มันยาบัดซบอันใดกันดื่มทีไรข้าต้องถ่ายท้องทุกที”
อันเจิงเดินเข้าไปพยุงเสี่ยวชีเต้าคิดจะพาเขาเข้าไปพักในห้องนอน ทว่าเดินมาได้เพียงครึ่งทาง เสียงะเิตูมก็พลันดังขึ้นเสียก่อน
อันเจิงหันขวับมองไปยังจุดเกิดเสียงด้วยสีหน้าลนลาน จากนั้นเขาก็ได้เห็นภาพส้วมะเิ!
ตู้โซ่วโซ่ววิ่งออกมาด้วยสภาพกำลังดึงกางเกงขึ้นสีหน้าหวาดผวาสุดขีด “บัดซบจริง ๆ แค่ตดส้วมก็ะเิแล้ว แม่งเอ๊ย!”
ผู้เฒ่าฮั่วที่อยู่ในห้องหัวเราะเสียงดังอย่างอดไม่อยู่“บางคนทะลวงขั้นขณะท่องอยู่ในห้วงฝัน บางคนก็ทะลวงผ่านขณะกำลังเมาอยู่ บางคนจะทะลวงได้ต้องอาศัยความเ็ปแต่ตดแล้วทะลวงขั้นอย่างเ้าข้าเพิ่งเคยเห็นเป็ครั้งแรก หรือบางทีเ้าอาจเป็คนแรกในประวัติกาลเลยก็เป็ได้ฮ่า ๆ ๆ”