ตอนที่ 10 รางวัลของเงา
รัตติกาลคลี่ม่านคลุมวังหลวงอีกครั้ง เยว่หลิงนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้งไม้ฮวาหลีของนาง ในมือถือหวีที่ทำจากเขาสัตว์ ค่อยๆ บรรจงสางเรือนผมสีดำขลับที่ยาวสลวยของนางอย่างเชื่องช้า แสงสะท้อนจากคันฉ่องทองเหลืองฉายให้เห็นเงาของสตรีผู้หนึ่งที่ดูสงบเยือกเย็น แต่ดวงตาของนางกลับไม่ได้จ้องมองเงาสะท้อนของตนเอง หากแต่ทอดมองไปยังความมืดมิดนอกบานหน้าต่าง นางกำลังรอคอย
นางไม่รู้แน่ชัดว่าเขาจะมาหรือไม่ แต่สัญชาตญาณบางอย่างในส่วนลึกของร่างกายและจิตใจกลับกรีดร้องบอกนางว่า คืนนี้นางจะไม่ต้องนอนเดียวดาย ภารกิจแรกที่นางทำสำเร็จลุล่วงนั้น เปรียบเสมือนการส่งเทียบเชิญที่ทรงพลังที่สุด เทียบเชิญที่พยัคฆ์ร้ายเช่นเขาไม่มีทางปฏิเสธ
นางไม่ได้อาบน้ำประพรมเครื่องหอมเหมือนเช่นครั้งแรก ในวันนี้ นาง้าให้เขาได้กลิ่นที่เป็ตัวตนของนางอย่างแท้จริง กลิ่นหมึกจางๆ ที่ติดอยู่บนปลายนิ้ว กลิ่นสะอาดของผ้าฝ้ายที่นางสวมใส่ และกลิ่นกายของสตรีที่กำลังรอคอยการมาเยือนของบุรุษที่ตนปรารถนา
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบเชียบจนถึงยามไฮ่ (สามทุ่ม)
ไม่มีเสียงเคาะประตู ไม่มีสัญญาณใดๆ
แต่จู่ๆ สายลมเย็นเยียบสายหนึ่งก็พัดเข้ามาในห้อง ทำให้เปลวเทียนบนโต๊ะสั่นไหววูบหนึ่ง เยว่หลิงชะงักมือที่กำลังสางผม นางค่อยๆ วางหวีลงอย่างแ่เบา แล้วหันกลับไปมอง
ร่างสูงใหญ่ของจ้าวเฟิงยืนพิงกรอบประตูที่แง้มอยู่เงียบๆ ราวกับภูตผีแห่งรัตติกาล เขาปรากฏตัวขึ้นจากความมืดโดยไร้สุ้มเสียงเช่นนั้นได้อย่างไร นางไม่รู้เลย เขาสวมเพียงเสื้อคลุมยาวสีดำสนิทตัวเดิมที่กลืนไปกับเงามืด ทำให้ใบหน้าคมคายและดวงตาที่เปล่งประกายคมปลาบของเขาดูโดดเด่นขึ้นมาราวกับลอยอยู่ในอากาศ
"ดูเหมือนว่า เงาของข้าจะไม่ได้มีดีแค่สติปัญญา แต่ยังมีสัญชาตญาณที่ดีเยี่ยมอีกด้วย" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม "เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมา?"
เยว่หลิงลุกขึ้นยืนช้าๆ ค้อมกายลงคำนับอย่างงดงาม "หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ เพียงแต่ในใจมีความรู้สึกว่า ท่านอ๋องคงจะทรงมีคำชี้แนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับภารกิจที่มอบหมายให้หม่อมฉัน"
นางจงใจใช้คำว่า คำชี้แนะแทนที่จะเป็รางวัล มันคือการแสดงให้เขาเห็นว่านางเข้าใจในสถานะของตนเองดี ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันมากกว่าเื่ของแรงปรารถนาทางกาย แต่มันคือการร่วมมือกันในเกมการเมืองที่อันตราย
จ้าวเฟิงหัวเราะในลำคอเบาๆ เขาเดินเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงกลอนอย่างเงียบเชียบ กลิ่นอายของเขาที่ผสมกับไอเย็นยามค่ำคืนจากภายนอกแผ่ซ่านไปทั่วห้อง "เ้าฉลาดเสมอ เยว่หลิง" เขากล่าวพลางเดินมาหยุดยืนอยู่เื้ันาง สายตาจ้องมองเงาสะท้อนของพวกเขาทั้งสองในคันฉ่องทองเหลือง
เขายกมือขึ้นััเรือนผมที่นางเพิ่งสางเสร็จ ปลายนิ้วของเขาสอดแทรกเข้าไปในกลุ่มผมที่หนานุ่มและเย็นชืด สูดดมกลิ่นหอมสะอาดของมันเข้าไปเต็มปอด "ข้อมูลที่เ้าส่งมา มันมีค่ามากกว่ากองทัพทหารม้าหนึ่งกองเสียอีก"
เขาไม่ได้เอ่ยชมอย่างเลื่อนลอย แต่กำลังทดสอบนาง "แล้วเ้า คิดเห็นอย่างไรกับข้อมูลเ่าั้บ้าง?"
เยว่หลิงไม่ได้ตอบในทันที นางรวบรวมความคิดอย่างรวดเร็ว "ทูลท่านอ๋อง จากรายการของกำนัล หม่อมฉันเห็นว่ารากฐานอำนาจขององค์รัชทายาทนั้นเปราะบางยิ่งนัก แม้จะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มขุนนางบุ๋นและบัณฑิต แต่คนเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนต้นหลิวที่ลู่ไปตามลม ไม่มีอำนาจที่แท้จริงในมือ"
"ในขณะที่จ้าวอ๋อง" นางเว้นจังหวะเล็กน้อย "กลับกำลังสร้างเครือข่ายที่น่ากลัวอย่างเงียบๆ พระองค์ไม่ได้ผูกมิตรแค่กับขุนนางฝ่ายบู๊ แต่ยังเข้าถึงกลุ่มพ่อค้าที่ควบคุมเส้นเืใหญ่ทางเศรษฐกิจของแผ่นดิน นี่ไม่ใช่แค่การเตรียมการเพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัชททายาท แต่เป็การเตรียมการเพื่อยึดครองบัลลังก์โดยมีฐานอำนาจที่มั่นคงรองรับเพคะ"
คำวิเคราะห์ที่เฉียบคมและตรงไปตรงมาของนาง ทำให้ประกายในดวงตาของจ้าวเฟิงลึกล้ำยิ่งขึ้นไปอีก เขาก้มลงมากระซิบข้างหูของนาง ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเป่ารดจนนางขนลุกซู่ "แล้วเ้าคิดว่า ระหว่างพยัคฆ์ที่ป่วยใกล้ตายในกรงทอง กับอสรพิษที่กำลังลอกคราบอยู่ในพงหญ้าตัวไหนอันตรายกว่ากัน?"
"อสรพิษย่อมอันตรายกว่าเพคะ" เยว่หลิงตอบโดยไม่ลังเล "เพราะมันเคลื่อนไหวในความมืด และมักจะฉกกัดในเวลาที่เหยื่อไม่ทันระวังตัวที่สุด"
"ถูกต้อง" จ้าวเฟิงกล่าวพลางหมุนตัวนางให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา มือทั้งสองข้างของเขากอบกุมใบหน้าของนางไว้อย่างแ่เบา แต่มั่นคง "เ้าทำให้ข้าประทับใจมาก เยว่หลิง ประทับใจจนข้ารู้สึกว่า รางวัลที่ข้าเตรียมมาให้เ้าในคืนนี้ อาจจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ"
สิ้นคำพูดนั้น เขาก็ประทับริมฝีปากลงมา
จูบในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง มันไม่ได้รุนแรงและหิวกระหายดุจการยึดครอง แต่กลับนุ่มนวล ลึกล้ำ และเปี่ยมไปด้วยการหยั่งเชิงราวกับนักรบสองคนกำลังร่ายรำเพลงกระบี่ มันคือการสื่อสารกันระหว่างสองจิติญญาที่เข้าใจในกันและกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด ริมฝีปากของเขาค่อยๆ ละเลียดชิมรสหวานจากริมฝีปากของนางอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ลิ้นของเขาจะสอดแทรกเข้าไปอย่างนุ่มนวล ชักชวนให้ลิ้นของนางออกมาเริงระบำด้วยกัน
เยว่หลิงตอบสนองต่อเขาอย่างกล้าหาญและไม่ขวยเขินอีกต่อไป นางเรียนรู้ที่จะเป็ฝ่ายรุกไล่บ้างในบางครั้ง สร้างความประหลาดใจและพึงพอใจให้แก่เขาเป็อย่างยิ่ง เขายกนางขึ้นมานั่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง ทำให้ระดับสายตาของพวกเขาเท่ากันพอดี มือของเขาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังและบั้นท้ายของนางอย่างเร่าร้อน ในขณะที่มือของนางก็เริ่มปลดเปลื้องเสื้อคลุมของเขาออกอย่างชำนาญ
เมื่อร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า แสงเทียนก็ขับเน้นให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่งดงามราวกับสลักจากหินอ่อนได้อย่างชัดเจน าแเก่าๆ ที่พาดผ่านอยู่บนผิวสีทองแดงนั้นไม่ได้ทำให้ดูน่ากลัว แต่กลับเสริมสร้างเสน่ห์อันดิบเถื่อนให้แก่เขา เยว่หลิงอดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามรอยแผลเป็เ่าั้อย่างแ่เบา...ทุกรอยแผลคือเื่ราว คือชัยชนะ คือความเ็ปที่หล่อหลอมให้เขาเป็บุรุษเช่นในวันนี้
การกระทำของนางปลุกเร้าสัญชาตญาณดิบในตัวเขาให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เขาจับข้อมือของนางไว้ กดลงกับโต๊ะข้างลำตัว ก่อนจะซุกใบหน้าลงกับซอกคอขาวผ่องของนาง ขบเม้มและดูดดึงจนเกิดรอยสีกุหลาบจางๆ "เ้ากำลังเล่นกับไฟ วิหคเพลิงตัวน้อย" เขากระซิบเสียงแหบพร่า
"หม่อมฉันก็เกิดมาจากกองไฟไม่ใช่หรือเพคะ?" นางตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นสะท้านแต่แฝงไว้ด้วยความท้าทาย
คำตอบนั้นทำให้เขาคำรามออกมาอย่างพอใจ เขาฉีกทึ้งอาภรณ์ของนางออกอย่างไม่ปรานี เผยให้เห็นเรือนร่างอันเปลือยเปล่าที่งดงามภายใต้แสงเทียน เขายกขาข้างหนึ่งของนางขึ้นพาดไว้บนบ่าของเขา จัดท่าทางของนางให้อยู่ในท่วงท่าที่เปิดเผยและยั่วยวนที่สุด ก่อนจะสอดแทรกแก่นกายที่ร้อนผ่าวและแข็งขึงของเขาเข้ามาในร่างของนางในครั้งเดียว โดยไม่มีการเล้าโลมใดๆ อีก
"อ๊า!" เยว่หลิงร้องครางออกมาเสียงหลง แม้จะเคยผ่านประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ความใหญ่โตและรุนแรงของเขาก็ยังคงทำให้นางรู้สึกจุกจนหายใจไม่ทั่วท้อง
"นี่คือรางวัลของเ้า..." เขากระซิบชิดริมฝีปากของนาง ก่อนจะเริ่มขยับกายอย่างดุดันและบ้าคลั่ง "รางวัลสำหรับความภักดี และความหลักแหลมของเ้า"
การร่วมรักในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน มันไม่ได้เกิดขึ้นบนเตียงนอนที่อ่อนนุ่ม แต่เกิดขึ้นบนโต๊ะเครื่องแป้งที่เย็นเยียบและแข็งกระด้าง ทุกจังหวะที่เขากระแทกกายเข้ามา ร่างของนางจะถูกดันจนแผ่นหลังเสียดสีไปกับผิวไม้ ข้าวของบนโต๊ะสั่นะเืและตกลงพื้นทีละชิ้นสองชิ้น แต่ทั้งเขาและนางต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
โลกทั้งใบของพวกเขาหดแคบลงเหลือเพียงร่างกายที่หลอมรวมกันเป็หนึ่งเดียว เสียงเนื้อกระทบกันดังสะท้อนก้องอยู่ในห้องอย่างไม่อาจปิดบัง เสียงหอบหายใจที่หนักหน่วงของเขาผสมกับเสียงครางหวานอย่างทรมานของนาง กลายเป็บทเพลงที่ดิบเถื่อนและเร่าร้อนที่สุด
เขาพลิกเปลี่ยนท่วงท่าของนางครั้งแล้วครั้งเล่า จากด้านหน้าไปสู่ด้านหลัง ให้นางคุกเข่าอยู่บนโต๊ะและรับการโจมตีจากเขาอย่างเต็มที่ นางรู้สึกราวกับเรือลำน้อยที่กำลังเผชิญหน้ากับพายุคลั่งในมหาสมุทร ถูกซัดสาดไปมาจนแทบจะแหลกสลาย แต่ในความเ็ปนั้นกลับมีความสุขสมอันล้ำลึกซ่อนอยู่ ความสุขจากการถูกโดยบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุด
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดไม่มีใครรู้ ในที่สุด เมื่อคลื่นแห่งความปรารถนาลูกสุดท้ายซัดกระหน่ำเข้ามา ร่างของเขาก็เกร็งกระตุกอย่างรุนแรง ปลดปล่อยทุกหยาดหยดแห่งความเป็ชายเข้ามาในร่างของนางจนหมดสิ้น ในขณะที่เยว่หลิงก็กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความสุขสมจนแทบจะหมดสติไป
...
เขาทรุดกายนอนทับนางอยู่บนโต๊ะนั้นครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ถอนกายออกไป อุ้มนางที่อ่อนแรงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ไปยังเตียงนอน เขาล้มตัวลงนอนข้างๆ นาง ดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่ง
"เ้าคิดจะทำอย่างไรกับเหมยเซียง?" จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมา ทำลายความเงียบหลังพายุสงบ
เยว่หลิงที่ซบหน้าอยู่กับแผงอกของเขา ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย นางไม่คิดว่าเขาจะสนใจเื่เล็กน้อยเช่นนี้ "ท่านอ๋องทราบเื่นี้ด้วยหรือเพคะ?"
"เงาของข้า ย่อมมีเงาของข้าคอยจับตาดูอยู่เช่นกัน" เขาตอบเรียบๆ "ข้ารู้ว่านางพยายามจะทำลายฉลองพระองค์ชุดนั้น และข้ารู้ว่าเ้ากำลังวางแผนบางอย่างกับนางข้าแค่อยากจะรู้ว่าแผนของเ้าคืออะไร"
เยว่หลิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเล่าแผนการของนางให้เขาฟัง "หม่อมฉันตั้งใจจะปล่อยให้เหมยเซียงนำข้อมูลเท็จที่นางสร้างขึ้นไปรายงานหลี่ซ่างกงเพคะ เมื่อความจริงถูกเปิดเผย นางจะถูกลงโทษในข้อหาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นและสร้างความวุ่นวายให้แก่ซ่างฝูจวี๋"
"แค่นั้นรึ?" เขาถามกลับ "นั่นเป็การลงโทษที่เบาเกินไปสำหรับคนที่เกือบจะทำลายเกียรติยศของข้าและชีวิตของเ้า"
"นั่นเป็เพียงแค่ก้าวแรกเพคะ" เยว่หลิงกล่าวต่อ แววตาของนางฉายประกายเยียบเย็นขึ้นมาในความมืด "เมื่อเหมยเซียงถูกลงโทษ ตำแหน่งนางกำนัลาุโผู้ดูแลบัญชีก็จะว่างลง หม่อมฉันจะเสนอตัวเข้ารับตำแหน่งนั้นเอง และเมื่อหม่อมฉันได้ควบคุมบัญชีทั้งหมดแล้ว หม่อมฉันจะค้นพบ หลักฐานการยักยอกผ้าไหมหลวงที่เหมยเซียงและพรรคพวกได้ทำมาตลอดหลายปี หลักฐานที่จะส่งนางไปยังลานปะาได้ในทันทีเพคะ"
จ้าวเฟิงนิ่งเงียบไป เขามองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง มันไม่ใช่แค่ความปรารถนาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็ความทึ่ง และความหวาดระแวงเล็กๆ
เด็กสาวที่ดูบอบบางในอ้อมแขนของเขาคนนี้ นางไม่ได้มีแค่สติปัญญา แต่ยังมีความโเี้และเืเย็นซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มที่งดงามนั้นอีกด้วย
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะของเขาทุ้มต่ำและกังวานอยู่ในความเงียบ "ดี ดีมาก ข้าชักจะชอบเ้ามากขึ้นทุกทีแล้ว เยว่หลิง"
เขาก้มลงจูบนางอีกครั้ง แต่เป็จูบที่แฝงไว้ด้วยความหมายที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม "จงทำตามแผนของเ้า และจงจำไว้ ในวังหลวงแห่งนี้ ความเมตตาคือหนทางสู่ความตายมีเพียงผู้ที่เหยียบย่ำศัตรูให้จมดินเท่านั้น จึงจะสามารถปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้"
เขาลุกขึ้นแต่งกายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันมามองนางเป็ครั้งสุดท้าย "ภารกิจต่อไปของเ้า คือการจับตาดูความเคลื่อนไหวของพระสนมซูเฟย แม่ของจ้าวเหยียน"
สิ้นคำสั่งนั้น เขาก็หายไปในความมืดอีกครั้ง
เยว่หลิงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ร่างกายของนางเหนื่อยล้าและเ็ป แต่จิตใจของนางกลับตื่นตัวและกระจ่างใสอย่างที่สุด นางได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญที่สุดในค่ำคืนนี้บทเรียนที่ว่าเซ็กส์และอำนาจนั้น คือสองสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ในวังหลวงแห่งนี้
และนางก็เพิ่งจะเริ่มต้นเรียนรู้วิธีที่จะใช้มันให้เป็ประโยชน์เท่านั้น.
