่เที่ยงของวันนี้ เป็เวลานานนับหนึ่งชั่วยาม...
ติงๆๆๆๆ ติงๆๆ ติงๆๆ...
บทเพลงล้อไล่ หรือแคนอนยังคงทำการบรรเลงอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้กู่ไห่เล่นเพลง ‘แคนอนในดีเมเจอร์’ หรือ ‘เพลงล้อไล่ในบันไดเสียง ดี เมเจอร์’ ซึ่งถือว่าเป็เพลงแคนอน ที่สมบูรณ์แบบและได้รับการยอมรับมากที่สุด ในโลกที่จากมา
บทเพลงนี้ไร้ซึ่งการครอบงำความคิด เฉกเช่นที่ปรมาจารย์กู่ฉินบรรเลงเพลง มีเพียงการผสมผสานของเสียงดนตรี จนออกมาเป็ท่วงทำนองเพลง แม้จะมีการเล่นซ้ำในเสียงเดิมเป็จังหวะๆ แต่กลับไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อในการรับฟังแม้แต่น้อย ยิ่งฟังก็ยิ่งลุ่มหลง ยากที่จะไถ่ถอน
ไม่ได้มีการชี้นำแิ ทว่า ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดื่มด่ำ และตกลงไปในห้วงอารมณ์ของบทเพลง
ผู้ฝึกตนในเมืองอิ๋นเยวี่ย มีความสามารถในการเข้าถึงบทเพลงที่ไม่ธรรมดาเลย แม้ว่าจะไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งในเื่ของโน้ตดนตรี แต่กลับสามารถจดจำ และนำไปปรับแต่งได้
ใต้หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน ผู้ฝึกตนที่ได้มาดูการแสดงของกู่ไห่ เริ่มมีท่าทีที่เงียบงันมากขึ้น
ผู้คนที่นี่เคยได้ยินเพลงะมามากมาย แต่บทเพลงนี้ พวกเขากลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
หลายคนค่อยๆ หลับตาลง
เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งกางฉิน พวกเขาจึงได้แต่ลองฟัง และคิดจำลองขึ้นมาในแบบของตน
หลายคนค่อยๆ จมลึกเข้าสู่ห้วงอารมณ์ของบทเพลง
หลงหว่านชิง ไต้ซือหลิวเหนียน และซ่างกวนเหิน ต่างก็ค่อยๆ ดื่มด่ำไปกับบทเพลงที่บรรเลงอยู่ในตอนนี้เช่นกัน
มู่เฉินเฟิงเบิกตากว้าง ในใจก็เอาแต่ร่ำร้องว่า ‘เป็ไปไม่ได้! เพลงที่กู่ไห่บรรเลงอยู่นี้ คืออะไรกัน? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน? ช่างเป็เพลงที่ไพเราะนัก’
...
ที่ฝั่งตรงกันข้าม ภายในหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า
สีหน้าของคุณชายอานและเจียงเทียนอี้นั้น แสดงความไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัด เป็เพราะพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี จึงรู้ได้ทันที ว่าบทเพลงที่ตนกำลังได้ฟังอยู่นั้น ไม่ธรรมดา
แม้เพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ในขณะนี้ จะไพเราะเป็ที่ชื่นชมมากก็ตาม ทว่า สำหรับคุณชายอานนั้น กลับเป็บทเพลงแห่งคำสาป ที่กำลังประกาศากับตนเองอยู่ก็ไม่ปาน
“เป็ไปได้อย่างไร? กางฉิน? เพลงนี้สามารถเล่นได้ด้วยเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ แต่เหตุใดจึงต้องได้ยินครั้งแรกจากกางฉิน? ไปเอามาจากที่ใด? เขาไปเอาบทเพลงนี้มาจากที่ใดกัน?” คุณชายอานพูดด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“คุณชายอาน ในเพลงนี้มีทั้งความรู้สึกของความสุข และความเศร้าโศก ข้ายังได้ยินเื่ของวัฏจักรและความตาย? เป็ไปได้อย่างไร? ที่เพลงซึ่งบรรเลงโดยมิได้มีเส้นทางแห่งดนตรีศิลป์[1]เช่นนี้ จะบรรลุผล? กู่ไห่? กางฉิน?” เจียงเทียนอี้กล่าว ใบหน้าถอดสี
ผู้คนที่ได้ยินการบรรเลงเพลงแคนอน ต่างก็หยุดการกระทำอื่นๆ แล้วตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ราวกับเป็การชำระล้างจิตใจ ยามเมื่อได้ฟังเพลง สมองของพวกเขาพลันขาวโพลน ละทิ้งสิ่งรบกวนภายนอก ก่อนเข้าสู่อารมณ์ของความปีติยินดีและโศกเศร้าของห้วงดนตรี
ณ หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า ลูกค้าบางคนที่เข้ามาเพื่อซื้อกู่ฉิน ต่างก็ต้องชะงักฝีเท้าทันที
“ท่านลูกค้า ท่าน้ากู่ฉินตัวนี้ใช่หรือไม่?”
“เงียบหน่อย...”
“ท่านลูกค้า ท่านยังไม่ได้จ่ายเงิน?”
“ข้าไม่้ามันแล้ว... อย่ามาขวางทางข้า!”
ทุกคนที่้าจะมาซื้อกู่ฉิน ต่างพากันหยุดชะงัก แล้วค่อยๆ เดินออกจากหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าไปพร้อมกับคนอื่นๆ
พวกเขานิ่งมองไปยังกู่ไห่ ในชุดที่ดูคล้ายคลึงกับหางนกนางแอ่น บนระเบียงของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เมื่อเพลงจบลง กู่ไห่ก็ได้กล่าวซ้ำขึ้นอีกครั้ง
“บทเพลงแห่งพระเ้าที่ได้ฟังนี้ ไม่ว่าจะอีกสักกี่ครั้ง ท่านก็จะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายที่จะฟังมัน”
ใต้ระเบียง มีผู้คนเข้ามาล้อมรอบพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เสียงดนตรีที่ดังขึ้นภายในค่ายกลขยายเสียง ได้กระจายออกไปทั่วทุกสารทิศของเมืองอิ๋นเยวี่ย
ทุกคนที่กำลังยุ่งอยู่กับเื่ของตัวเอง พลันหยุดกิจกรรมของตน
“ท่านหวัง หยุดเล่นกู่ฉินเสียก่อน แล้วจงฟัง... ฟังๆ เร็วเข้า! นี่มันคือเพลงอะไรกัน? เหตุใดเมื่อข้าได้ยิน กลับรู้สึกเศร้าใจเช่นนี้?”
“เศร้าอะไรกัน นี่เป็เพลงที่ไพเราะนัก!”
“ไม่ๆ! ข้ารู้สึกเหมือนมีความรักที่ไม่อาจแยกจาก”
“ไม่! ข้ารู้สึกได้ถึงการลาจากของชีวิตและความตาย”
การทะเลาะวิวาทยุติลง เมื่อค่ายกลขยายเสียงได้ขยายพื้นที่รับฟัง เป็หนึ่งในสิบของเมือง
พื้นที่เก้าในสิบของเมือง ยังคงมีเสียงต่างๆ ดังเช่นปกติ ส่วนอีกหนึ่งในสิบที่เหลือ กลับเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงเดียว นั่นคือท่วงทำนองของบทเพลงแคนอน
ไม่มีการใช้ภาพลวงตา มีเพียงการเปลี่ยนจังหวะดนตรีอันเสนาะหูซ้ำไปซ้ำมา แต่กลับเป็ที่ชื่นชอบของผู้คนนับไม่ถ้วนได้ในทันที
...
ณ ลานเล็กๆ ไม่ไกลจากหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า มีร่างของหญิงสาวในชุดขาว สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า รูปร่างสมส่วนและสง่างาม ตรงหน้ามีธูปหอมที่จุดทิ้งเอาไว้ในกระถางธูป ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ นางลูบไล้กู่ฉินในมืออย่างแ่เบา ด้วยความงดงามนี้ หากมีผู้ฝึกตนอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องจำหญิงสาวผู้นี้ได้อย่างแน่นอน เพราะนางก็คือ ‘เซียนหว่านเอ๋อร์’ ที่หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า ได้เชิญมาบรรเลงกู่ฉินเมื่อไม่นานมานี้ และเป็ปรมาจารย์กู่ฉิน ที่เคยทำให้กู่ไห่ตกอยู่ในห้วงดนตรีของกู่ฉินนั่นเอง
เสียงของแคนอนดังไกลมาจนถึงพื้นที่นอกเมือง เซียนหว่านเอ๋อร์พลันนิ่วหน้า เสียงดังเช่นนี้ รบกวนการแต่งเพลงของตนไม่น้อย แต่เมื่อได้ฟังบทเพลงแคนอนที่ดังซ้ำไปมานี้ เพียงครู่หนึ่ง ความคิดของนางกลับค่อยๆ เปลี่ยนไป ตอนนี้ กลับไม่อาจอธิบายความรู้สึกของตนออกมาเป็คำพูดได้
“เพลงนี้ แม้จะมีเสียงดนตรีซ้ำไปซ้ำมา แต่กระนั้นกลับไม่น่าเบื่อสักนิด ในเนื้อเพลงมีทั้งความเรียบง่ายและซับซ้อน... ใครบรรเลงกันนะ?” เซียนหว่านเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนด้วยความแปลกใจ
...
ค่ายกลขยายเสียง สามารถขยายขอบเขตได้เพียงหนึ่งในสิบของพื้นที่เมืองอิ๋นเยวี่ย จึงไม่อาจดังไปจนถึงหมู่บ้านอิ๋นเยวี่ยได้
ด้านนอกหมู่บ้าน
ปรมาจารย์กู่ฉินนับไม่ถ้วน ต่างก็เดินทางมาพร้อมกู่ฉินในมือ รอเวลาที่จะทำการทดสอบ เพื่อคัดเลือกผู้ที่จะเข้าร่วมพิธีมอบกู่ฉิน
ภายในหมู่บ้าน ณ ศาลาแห่งหนึ่ง
ท่านเ้าบ้านที่กำลังบรรจงเช็ดกู่ฉินของตน ด้วยความทะนุถนอมอยู่นั้น พลันก็ต้องชะงักงัน พร้อมเลิกคิ้วขึ้น เผยให้เห็นถึงความพิศวงในบางสิ่ง
ติ๊ง.. ติง.. ติง...
ท่านเ้าบ้านดีดกู่ฉินเก่าแก่ในมือ ทันใดนั้น จังหวะดนตรีแปลกๆ ก็ดังขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ฝึกตนที่กำลังเล่นกู่ฉินนอกหมู่บ้าน พลันหน้าถอดสีทันที เพราะจู่ๆ กู่ฉินของพวกเขาก็ไม่มีเสียงอะไรออกมา
ไม่มีเสียงอย่างนั้นหรือ?
ทุกคนเริ่มดีดกู่ฉินในมือตนอย่างรวดเร็ว แต่กลับไร้ซึ่งเสียงใดๆ
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมกู่ฉินของข้าไม่มีเสียง?”
“ของข้าก็เช่นกัน”
“ไม่สิ! สายกู่ฉินกำลังสั่น หรือนี่คือคลื่นเสียง ที่อยู่เหนือการได้ยิน? มีคนเล่นกู่ฉินสะท้อนกลับกู่ฉินของเรา?”
“ใคร? ใครกันที่จะสามารถทำเช่นนี้ กับการบรรเลงกู่ฉินของข้าได้?”
เหล่าปรมาจารย์กู่ฉินต่างพากันตกตะลึงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ใครกันที่มีพลังกู่ฉินอันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?
ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกคน ศิษย์ของหมู่บ้านอิ๋นเยวี่ยคนหนึ่งก็เดินออกมา
“ท่านเ้าบ้านมีคำสั่ง ให้ทุกท่านโปรดสงบใจก่อน เสียงกู่ฉินที่หายไป เป็เพราะวิชาเก็บเสียงของท่านเ้าบ้าน ทุกท่านโปรดเงียบ อย่ารบกวนการฟังเพลงของท่านเ้าบ้าน” ศิษย์ของหมู่บ้านอิ๋นเยวี่ยะโขึ้น
“อา? ขอรับ!” เหล่าปรมาจารย์กู่ฉินต่างพยักหน้ารับอย่างงุนงง
นี่คือเคล็ดวิชาเก็บเสียงของท่านเ้าบ้านอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็ถือว่าเป็เื่ปกติ... แต่เพลงของใครกัน ที่ทำให้ท่านเ้าบ้านสนใจเช่นนี้? ทำไมพวกเราไม่ได้ยินอะไรเลย?
...
ณ ศาลาแห่งหนึ่ง ภายในหมู่บ้าน
ท่านเ้าบ้านาุโกำลังจดจ่อกับการฟังเพลง แต่คนอื่นกลับไม่ได้ยินเสียงเพลงที่ว่าแม้แต่น้อย ตอนนี้ผู้คนต่างแสดงท่าทีสงสัย
ท่านเ้าบ้านเผยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า แล้วจึงเคลื่อนมือไปดีดกู่ฉินของตน
ติ๊ง...
ห้วงอากาศสั่นะเืเล็กน้อย พร้อมกันนั้น บทเพลงกางฉินแคนอน ก็ดังออกมาให้ได้ยิน
เสียงเพลงไพเราะดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ ดวงตาของเหล่าศิษย์ของหมู่บ้านอิ๋นเยวี่ย ต่างก็เป็ประกายวาววับ
ไม่นาน กู่ไห่ก็จบบทเพลงแคนอนลงอีกรอบ และกำลังเริ่มบรรเลงซ้ำเป็รอบที่สาม แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่เบื่อที่จะฟัง
“อวิ๋นโม่ ได้ฟังเพลงนี้แล้ว เ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” ท่านเ้าบ้านถาม พลางยกยิ้ม
“มันทำให้ข้ารู้สึกสั่นสะท้านไปจนถึงส่วนลึกของจิติญญา” อวิ๋นโม่ตอบอย่างประหลาดใจ
“โอ้! แล้วเ้าว่าอย่างไร?“ ท่านเ้าบ้านถามต่อไปยังคนอื่นๆ ที่ยืนนิ่งอยู่
“ข้ารู้สึกเศร้าใจ ดั่งถูกความตายพรากบางสิ่งไป”
“ข้ารู้สึกยินดี ประหนึ่งกำลังมีความรัก”
“ข้ารู้สึกได้ถึงความสุขของมนุษย์ผู้หนึ่ง”
ทุกคนต่างแสดงความคิดของตนเอง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้เห็นในสิ่งที่ต่างกัน
“ท่านเ้าบ้าน ข้ารู้สึกว่า สิ่งที่ทุกคนได้ยิน ล้วนทำให้รู้สึกแตกต่างกัน เพลงนี้ คล้ายว่ากำลังเล่าเื่ราวบางอย่างในอดีต ที่ชวนให้หวนคำนึง ดั่งกำลังถามผู้ฟังด้วยความใจเย็นและอ่อนโยน ว่ายังคงจำ่เวลาเ่าั้ได้หรือไม่? จำความรักที่สวยงามและโศกเศร้าได้หรือไม่?
ในท่อนต่อมานั้น ทำให้ข้าเศร้าใจนัก อย่างกับว่าเพลง้าจะบอกว่า ข้าไม่อาจย้อนคืนกลับไปยัง่เวลาที่มีความสุขนั้นได้ ทั้งหมดล้วนกลายเป็อดีต เหลือไว้เพียงความโศกสลด
ท่วงทำนองที่ซ้ำไปมา ดูราวกับวัฏจักรของเวลา ที่ไม่อาจย้อนคืน แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างจะตกตะกอนไปตามกาลเวลา แต่รอยแผลเป็นี้ก็ไม่อาจจางหาย เหลือไว้เพียงความทรงจำ และความเ็ปที่ไม่อาจลืมเลือน” อวิ๋นโม่กล่าวอีกครั้ง
คำอธิบายที่มาจากอวิ๋นโม่นั้น ทำให้ท่านเ้าบ้านพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“แม้ว่าการบรรเลงจะค่อนข้างแปลกไปสักหน่อย แต่ก็เป็เพลงที่หาได้ยากยิ่ง... กางฉิน? นี่คือกางฉินหรือ?” ท่านเ้าบ้านเอ่ยอย่างนึกสงสัย
ทันทีที่โบกมือ เสียงกางฉินของกู่ไห่ก็หายไป
ท่านเ้าบ้านใช้กู่ฉินของตัวเอง บรรเลงเพลงแคนอน เลียนแบบเสียงกางฉินที่ตนได้ยินไปเมื่อครู่
ทว่า นี่กลับเป็บทเพลงที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าของกู่ไห่เสียอีก
ทุกคนที่ได้ยินเสียงกู่ฉินนั้น ค่อยๆ เห็นภาพได้อย่างชัดเจน
...
ในภาพ ปรากฏเป็ร่างของเด็กชายกำพร้าตัวเล็กๆ จากภัยา ที่ถูกรับเลี้ยงโดยนักกางฉิน เขาจึงเรียนรู้การเล่นกางฉินจากนักกางฉินและเล่นได้ดียิ่ง เมื่อโตขึ้น เขาก็กลายเป็นักกางฉินที่มีชื่อเสียง
และวันหนึ่ง ลูกสาวจากครอบครัวเศรษฐีผู้งดงาม ก็เข้าไปในบ้านของนักกางฉินโดยบังเอิญ และตกหลุมรักนักกางฉินอย่างไม่อาจที่จะถอนตัว
ลูกสาวของเศรษฐี ร้องขอให้นักกางฉินมาเป็ครูสอนนาง และเขาก็ยอมรับคำร้องขอด้วยความเต็มใจ
อย่างไรก็ตาม ความคิดของลูกสาวเศรษฐี ล้วนมีแต่เื่ของนักกางฉิน ไม่มีใจจะเรียนกางฉิน ดังนั้น แม้ว่าจะเรียนมาเป็เวลานาน แต่ก็ยังไม่อาจเล่นได้ดีเท่าใดนัก นักกางฉินจึงผิดหวังมาก
ลูกสาวของเศรษฐีรู้สึกผิดมาก จึงสาบานกับนักกางฉินที่สอนนาง ว่าจะเล่นกางฉินให้ได้ดี จนได้รับรางวัลที่หนึ่งในท้องถิ่น
หลังจากกลับถึงบ้าน ลูกสาวของเศรษฐีก็ฝึกกางฉินทุกวัน โดยไม่ยอมหยุดพัก เธอฝึกฝนอย่างหนัก และตั้งใจกับมันมาก ในที่สุดผ่านไปครึ่งปี นางก็ได้รับรางวัลชนะเลิศในท้องถิ่น
หญิงสาวจึงตัดสินใจจะสารภาพรักต่อนักกางฉิน แต่เขากลับถูกเกณฑ์เข้าสู่สนามรบเสียก่อน
ลูกสาวของเศรษฐีจึงได้แต่รอคอยนักกางฉินผู้นี้ เฝ้ารอให้เขากลับมา จนเวลาล่วงเลยไปสามปี
ขณะเดียวกัน ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านก็ตกหลุมรักหญิงสาว เขาจึงมาพูดคุยเพื่อขอแต่งงานหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพื่อที่จะทำให้นางยอมแพ้กับการรอคอย เขาจึงใช้กลอุบาย นำร่างที่แหลกสลายของใครสักคนกลับมาจากสนามรบ แล้วแสร้งบอกว่า นี่คือนักกางฉินที่นางรอคอย พร้อมเสนอสมบัติมากมายให้หญิงสาว หวังว่านางจะยอมใจอ่อน
แต่ลูกสาวของเศรษฐีหาได้สนใจต่อข้อเสนอแต่งงานไม่ นางเอาแต่ร้องไห้เป็เวลาสามวันสามคืน ไม่ห่างจากร่างไร้ิญญานั้น และในวันถัดมา เธอก็ฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมือ ณ สถานที่ที่เป็ห้องเรียนกางฉินของเธอ
ในเดือนที่สอง หลังจากที่ลูกสาวเศรษฐีได้กรีดข้อมือฆ่าตัวตายไป นักกางฉินก็กลับมา
ยามที่เขาไปออกรบ นักกางฉินก็เอาแต่คิดถึงหญิงสาว หากไม่มีนาง เขาก็ไร้ซึ่งความสุข หลังจากสูญเสียมันไป เขาจึงรู้จักที่จะทะนุถนอม และตระหนักได้ว่า เขาหลงรักนางโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
เวลาหกเดือนนับั้แ่ลูกสาวเศรษฐีกลับบ้านไป นักกางฉินก็เริ่มเขียนเพลง และ้ามอบมันให้หญิงสาวที่ตนรัก ความคิดคำนึงนับไม่ถ้วนใน่หกเดือนที่ผ่านมา ได้ถูกรวมเอาไว้ใน่ต้นของบทเพลง แต่ทันใดนั้น าก็เริ่มขึ้น นักกางฉินจึงถูกเกณฑ์ไปออกรบ
ตลอดระยะเวลาสามปีในสนามรบ ปรมาจารย์กางฉินผู้ยิ่งใหญ่ได้ ประพันธ์เพลงท่อนกลางต่ออีกหนึ่งในสามของเพลง ซึ่งเพลงท่อนนี้ จะเต็มไปด้วยความอาวรณ์และโศกเศร้า ของการพลัดพรากจากลูกสาวเศรษฐี
เมื่อาสิ้นสุดลง ชายหนุ่มจึงรีบกลับมาอย่างกระตือรือร้น แต่สิ่งที่เขาได้รับ คือข่าวร้ายที่ไม่อาจยอมรับ ผู้คนที่ได้ฟังเื่ราวของลูกสาวเศรษฐีและนักกางฉิน ต่างก็ต้องร้องไห้ด้วยความสงสาร
ในสัปดาห์ต่อมา เขาก็รู้สึกได้ถึงความเ็ปของชีวิตและความตาย
ในที่สุด อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา หน้าหลุมฝังศพของลูกสาวเศรษฐี เขาก็เล่นเพลงขอแต่งงานทั้งสามท่อน ซึ่งมีความคิดถึงไม่รู้จบ และความเศร้าที่ไม่มีวันสิ้นสุดของนักกางฉินผู้นี้
ชาวเมืองถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อได้ยินเพลงนี้ และมองไปยังนักกางฉินผู้เป็ที่รักใคร่ ซึ่งอยู่ที่หน้าหลุมฝังศพของลูกสาวเศรษฐี หลังจากจบเพลง นักดนตรีผู้นั้นก็จบชีวิตของเขาลง
...
แล้วภาพทั้งหมดก็เลือนหาย เหล่าศิษย์ที่อยู่เบื้องหน้าท่านเ้าบ้าน ต่างก็มีดวงตาที่แดงก่ำ
กู่ไห่ไม่ได้สนใจต่อการเล่นกางฉินของตน แต่ท่านเ้าบ้านของพวกเขา กลับแสดงอารมณ์ของบทเพลงนี้ออกมา ช่างเป็เื่ราวอันรันทด น่าเวทนายิ่ง
“อวิ๋นโม่ เ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” ท่านเ้าบ้านถามขึ้นอีกครั้ง
“ท่านเ้าบ้านบรรเลงได้อย่างเห็นภาพของเื่ราวชัดเจน ข้าเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดจึงต้องบรรเลงเพลงบทนี้วนซ้ำไปมา เพราะนักกางฉิน ได้เล่าถึงความรักและความคิดคำนึง อันวนเวียนอยู่กับลูกสาวเศรษฐีนี่เอง” อวิ๋นโม่อธิบาย
“ใช่แล้ว! นี่เป็การบรรเลงที่ใช้เพียงท่วงทำนองเท่านั้น มิได้มีเส้นทางแห่งดนตรีศิลป์... หึๆ! ช่างเป็นักกางฉินที่น่าสนใจจริงๆ” ท่านเ้าบ้านพูด พลางยกยิ้ม
“อา? มิได้มีเส้นทางแห่งดนตรีศิลป์หรือขอรับ?” อวิ๋นโม่เอ่ยด้วยความแปลกใจ
“การบรรเลงกู่ฉิน จำเป็ต้องมีเส้นทางแห่งดนตรีศิลป์หรือไม่?” ท่านเ้าบ้านยกยิ้ม
“นั่นเป็เพียงบทเพลงธรรมดาหรือขอรับ?” อวิ๋นโม่ถาม พลางขมวดคิ้วแน่น
“มันเป็บทเพลงธรรมดา แต่นักแต่งเพลงก็เป็เช่นเดียวกับปรมาจารย์กู่ฉิน มิใช่หรือ?” ท่านเ้าบ้านตอบ พลางส่ายหน้า
“หืม?”
“สามารถแต่งเพลงได้ ก็ย่อมมีคุณสมบัติที่จะได้เข้าร่วมงาน ‘พิธีมอบพิณ’... เ้าจงไปส่งบัตรเชิญให้เขา อีกอย่าง นำกางฉินกลับมาให้ข้าดูด้วยล่ะ!” ท่านเ้าบ้านสั่ง พลางยกยิ้ม
“ขอรับ! ข้าจะไปทันที แต่เขานั้นมีแค่บทเพลง เช่นนี้แล้ว จะมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานหรือ?” อวิ๋นโม่ยิ้มเจื่อนๆ
“เ้าโง่… ยังไม่เข้าใจอีกหรือ? เขาไม่ใช่แค่นักกู่ฉินอีกแล้ว รีบไปเถอะ” ท่านเ้าบ้านกล่าวพลางยกยิ้ม
“ขอรับ!”
...
ณ หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน
กู่ไห่ยังคงบรรเลงบทเพลงอย่างต่อเนื่องถึงห้ารอบ
ติง...
เสียงดนตรีจังหวะสุดท้ายจบลง
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ ผู้คนที่เข้ามารับชม ต่างยืนนิ่งอยู่เป็นาน
กู่ไห่ยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “เพลงกางฉินนี้เรียกว่า ‘แคนอน’ ข้าเล่นกางฉินมาห้าจบ คิดว่าปรมาจารย์กู่ฉินทุกท่าน คงจะจำได้แล้ว ข้ายินดีอย่างยิ่ง หากทุกท่านจะใช้เครื่องดนตรีที่หลากหลายเล่น ‘แคนอน’ อีกครั้ง”
กู่ไห่ะโก้อง เพื่อประกาศไปโดยรอบ
“แคนอน? เพลงนี้ชื่อแคนอนอย่างนั้นหรือ?”
“แคนอน ช่างเป็บทเพลงที่ไพเราะนัก”
ผู้ฝึกตนจำนวนมาก ต่างก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งบทเพลง
...
ไม่ไกลกันนัก
ณ หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า
ผู้ฝึกตนหลายคนกำลังขมวดคิ้วแน่น คนเหล่านี้คือปรมาจารย์กู่ฉินที่เจียงเทียนอี้เชิญมา หลังจากได้รับชมการแสดงเพลงกางฉินของกู่ไห่ไปแล้ว พวกเขาก็พูดคุยเกี่ยวกับเครื่องดนตรีที่มีชื่อว่ากางฉินทันที
บัดนี้ แคนอนห้ารอบได้จบลงแล้ว เหล่าปรมาจารย์กู่ฉินต่างก็อ้าปากค้าง อย่างไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใด เพื่ออธิบายความรู้สึกของตนในยามนี้
ให้วิจารณ์เพลงนี้ อย่างนั้นหรือ ?
“ทุกท่าน ถึงเวลาแล้ว รีบไป... เร็วเข้า!” เสียงของเจียงเทียนอี้ดังขึ้นมาทันที
บรรดานักปรมาจารย์กู่ฉิน ต่างก็มีสีหน้าลำบากใจ แต่เพราะพวกเขานั้นรับของคนอื่นมือไม้อ่อน[2] ปรมาจารย์กู่ฉินเหล่านี้ มักจะได้รับประโยชน์จากหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าเสมอ ดังนั้น ในยามนี้จึงได้แต่ทำใจยอมรับเท่านั้น
ปรมาจารย์กู่ฉินคนแรกก้าวออกมา ก่อนเอ่ย “เกินเยียวยา จนข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร!”
------------------------------------------------
[1] เส้นทางแห่งดนตรีศิลป์ เป็แนวทางย่อยของ ‘เหวิน’ หรือ ‘การศึกษา’ ซึ่งคือการเรียนรู้ศิลปะสี่แขนงแห่งปัญญาชน อันได้แก่ ‘พิณ หมากล้อม เขียนอักษร และภาพวาด’
โดยในนิยายเื่นี้ วิถีของการฝึกตน มี 5 แนวทาง คือ โซ่ว อวิ๋น เสิน เหวิน หลิง (อ้างถึงความเดิมในบทที่ 175)
กู่ไห่ มีแนวทางการฝึกตน 2 แบบ คือ ‘หลิง’ หรือ ‘จิติญญา’ ซึ่งเป็วิถีแห่งการฝึกตนทั่วๆ ไป ที่ต้องดูดซับพลังปราณ และทะลวงผ่านข้อจำกัดของตนขึ้นไปเป็ระดับก่อกำเนิด ก่อ์ แก่นทองคำ หยวนอิง และอื่นๆ
ส่วนอีกแบบ ก็คือ เส้นทางแห่งหมากล้อม ที่เป็แนวทางย่อยของ ‘เหวิน’
ดังนั้นเจียงเทียนอี้และท่านเ้าบ้านแห่งหมู่บ้านอิ๋นเยวี่ย จึงบอกว่าการบรรเลงเพลงของกู่ไห่ เป็เพียงบทเพลงธรรมดา ที่ไม่มีเส้นทางแห่งดนตรีศิลป์
[2] รับของคนอื่นมือไม้อ่อน เป็สำนวนจีนหมายถึง เป็หนี้บุญคุณเล็กน้อย จึงจำต้องเกรงใจและไว้หน้าอีกฝ่าย