ในลานโล่ง
เย่ชิงหยุนมองสีหน้าของสมาชิกตระกูลซูและคาดเดาคร่าวๆถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ดูเหมือนประมุขตระกูลยังไม่ได้แจ้งให้สมาชิกตระกูลทราบว่าเขาเป็จักรพรรดิ
เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจประมุขตระกูลช่างทุ่มเทอย่างแท้จริงจงใจปกปิดขอบเขตของเขาเพื่อให้สมาชิกตระกูลได้ััและเติบโต
เขาไม่้าให้พวกเขาพึ่งพาอำนาจของจักรพรรดิแต่ให้ลุกขึ้นด้วยตัวเองผ่านการหลอมรวมในเืและไฟ
ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะกลายเป็บุคคลที่มีความสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองในอนาคต
ยอดเยี่ยมจริงๆสมกับเป็ประมุขตระกูลสมชื่อจักรพรรดิย่อมมีเหตุผล
ทว่าเย่ชิงหยุนไม่รู้ว่าซูเซวียนเพียงแค่ี้เีอธิบาย
ไม่เพียงต่อสมาชิกตระกูลซูแต่รวมถึงเขาและตระกูลเย่ก็เช่นกัน
ต่อมา
ถึงเวลาเก็บกวาดและจัดการผลที่ตามมา
เย่ชิงหยุนไม่จำเป็ต้องลงมือสมาชิกตระกูลซูเพียงพอแล้ว
ขั้นแรกพวกเขาเก็บถุงเก็บสมบัติของจวินเทียนจากนั้นปล้นทรัพยากรบางส่วนจากห้องลับ
ส่วนซุนเฟิงเขาเสียชีวิตทันทีเมื่อเ้าสำนักหลิงซวี่ จวินเทียนตกตายเนื่องจากความใและความกลัวตายอย่างไม่น่าเชื่อซึ่งทำให้าแของเขารุนแรงขึ้น
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเหล่านี้สมาชิกตระกูลซูกลับไปยังตระกูลโดยมีเย่ชิงหยุนติดตามไปด้วย
ทว่าเมื่อเย่ชิงหยุนเห็นซูโหรวที่ออกมาต้อนรับสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีและหลุดปากออกมา
“กลิ่นอายนี้ร่างเทพสายฟ้าสูงสุงไม่ไม่ถูกต้องมันยังไม่ตื่นขึ้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้สมาชิกตระกูลซูโดยเฉพาะซูเซียวถามด้วยความยินดีประหลาดใจทันที “ผู้พิทักษ์ท่านรู้เกี่ยวกับปัญหาของบุตรสาวข้า?”
“ถูกต้องผมสีม่วงั์ตาสีม่วงความอ่อนแอแต่กำเนิดปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างอย่างต่อเนื่องนี่คือสัญญาณของร่างเทพสายฟ้าสูงสุดผู้ปกครองทั้งปวงที่ยังไม่ตื่น”
เย่ชิงหยุนมาจากขุมอำนาจชั้นยอดและตัวเขาเองมีร่างกายพิเศษจึงรู้มากเกี่ยวกับเื่นี้มากกว่าจวินเทียนเสียอีก
ดังนั้นเขาจึงจำร่างกายของซูโหรวได้ในพริบตา
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ชิงหยุนทุกคนที่อยู่ที่นั่นใอย่างยิ่ง ์! พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าซูโหรวที่อ่อนแอแต่กำเนิดและไม่สามารถบ่มเพาะได้จะมีร่างกายพิเศษ
ร่างเทพสายฟ้าสูงสุดแลผู้ปกครองทั้งปวงแม้พวกเขาจะไม่เคยได้ยินแต่เพียงชื่อก็รู้ว่ามันทรงพลังอย่างยิ่ง!
ซูโหรวได้ยินคำพูดเหล่านี้อย่างชัดเจนนางเดินเข้าไปถามบิดา “ท่านพ่อบางทีนี่อาจเป็ประมุขตระกูล?”
ซูเซียวส่ายหัวและกล่าว “เขาไม่ใช่ประมุขตระกูลแต่เป็ผู้พิทักษ์ของตระกูลหลักนักบุญไร้เทียมทาน”
สีหน้าของซูโหรวเปลี่ยนไปด้วยความประหลาดใจผู้พิทักษ์ของตระกูลหลักก็เป็นักบุญเช่นกัน
นางเคยทราบจากบิดาและสามผู้าุโของตระกูลหลักว่าประมุขตระกูลเป็นักบุญไร้เทียมทานแต่ไม่คาดว่าผู้พิทักษ์จะเป็เช่นกัน!
พร้อมกันนั้นแสงแห่งความหวังผุดขึ้นในดวงตาของนางนักบุญที่มองเห็นปัญหาของนางย่อมสามารถแก้ไขได้เช่นกัน
ทว่านางต้องผิดหวังอย่างรวดเร็ว
เพราะหลังจากซูเซียวถามเย่ชิงหยุนกล่าว
“ความอ่อนแอแต่กำเนิดและการไม่สามารถบ่มเพาะได้ของนางเกิดจากการที่ร่างยังไม่ตื่นแต่ร่างเทพแบบนี้ไม่สามารถเทียบกับร่างกายธรรมดาได้มันปรากฏเพียงหนึ่งหรือสองครั้งในประวัติศาสตร์และไม่มีใครปลุกมันได้สำเร็จ”
“ครั้งสุดท้ายที่มันปรากฏคือเมื่อหมื่นปีก่อนในตอนนั้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ใช้มรดกสะสมนับหมื่นปีเพื่อบ่มเพาะร่างเทพสายฟ้าสูงสุดผู้ปกครองทั้งปวงนั้นแต่โชคร้ายที่ล้มเหลวในท้ายที่สุด…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกหัวใจดิ่งจาก์สู่ขุมนรกและซูโหรวในฐานะผู้เกี่ยวข้องยิ่งรู้สึกหนักหน่วงราวถูกสายฟ้าฟาด
ทว่าขณะนั้นเย่ชิงหยุนเปลี่ยนเื่ทันที “แต่…”
์! แม้แต่นักบุญก็ยังพูดด้วยการหยุดชะงักแบบนี้หรือ?
ทุกคนบ่นในใจเงียบๆแต่ต่างเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“แต่หากประมุขตระกูลลงมือบางทีอาจแตกต่างออกไป”
ท้ายที่สุดเขาเป็จักรพรรดิในยุคนี้มีพลังะเืโลกและลึกล้ำเกินหยั่งถึงบางทีเขาอาจสร้างปาฏิหาริย์ได้
สมาชิกตระกูลซูที่อยู่ที่นั่นตื่นตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ดูเหมือนประมุขตระกูลจะไม่ธรรมดาจริงๆเหนือกว่าระดับของนักบุญทั่วไป!
ความหวังจุดติดในดวงตาของซูโหรวแม้จะถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่านางไม่เคยคิดจะยอมแพ้
เมื่อเื่ที่นี่สิ้นสุดและกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหาของซูโหรวสมาชิกตระกูลซูไม่ลังเลพวกเขาออกเดินทางในวันนั้นมุ่งหน้าสู่ตระกูลหลัก
ส่วนเย่ชิงหยุนเขาจำคำสั่งของซูเซวียนไว้เสมอเมื่อกลายเป็ศัตรูโดยเฉพาะศัตรูที่มีอำนาจแม้แต่กองกำลังเื้ัก็ไม่ควรไว้ชีวิต
ดังนั้นเขาจึงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งเป้าไปที่สำนักหลิงซวี่!
…
พร้อมกันนั้น
บนถนนกว้างขวางคณะเดินทางหลายสิบคนกำลังเคลื่อนไปข้างหน้า
จากเครื่องแต่งกายของพวกเขาพวกเขาเห็นได้ชัดว่ามาจากขุมอำนาจเดียวกัน
ตรงกลางคณะมีรถม้าขนาดใหญ่เคลื่อนไป
ภายในรถม้าคู่สามีภรรยาวัยกลางคนนั่งล้อมรอบชายหนุ่ม
ที่น่าประหลาดใจคือชายหนุ่มนี้มีผมขาวและั์ตาขาวและทั้งร่างกายของเขาปล่อยพลังเย็นเยือก
เขาสวมเสื้อผ้าหนาที่ยามนี้แต่ก็ยังไม่อาจหยุดการสั่นสะท้านได้
“เทียนเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวลข้าได้ยินมาว่าประมุขตระกูลของตระกูลหลักมีพลังบ่มเพาะที่ท้าทาย์เขาจะต้องแก้ปัญหาของเ้าได้แน่นอน”
คู่สามีภรรยาวัยกลางคนมองสภาพของชายหนุ่มรู้สึกทั้งเ็ปและกังวลอดไม่ได้ที่จะปลอบโยน
ชายหนุ่มผมขาวั์ตาขาวดูเหมือนอยู่ในสภาพมึนงงจากความหนาวเมื่อได้ยินเช่นนี้เขาเพียงพยักหน้าเบาๆแต่ก็ยังคงตั้งตารออย่างมาก
เขาคือซูเทียนจากสาขาย่อยของตระกูลซูและเป็บุตรชายของประมุขสาขาย่อย
เดิมทีเขาอาศัยอยู่ในเมืองขนาดกลางและแสดงพร์อันโดดเด่นั้แ่เด็กถูกเรียกว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูล
น่าเสียดายที่เมื่อสามปีก่อนพลังบ่มเพาะของเขาถดถอยโดยไม่ทราบสาเหตุและไม่ว่าเขาจะพยายามบ่มเพาะอย่างไรก็สูญเปล่า
ในเวลาเพียงสามปีเขาตกจากอัจฉริยะอันดับหนึ่งกลายเป็ผู้พิการที่มีพลังบ่มเพาะต่ำ
และนั่นไม่ใช่ทั้งหมดโชคร้ายไม่เคยมาเดี่ยวๆ
เมื่อไม่นานมานี้เขาเจ็บป่วยหนักไม่เพียงผมและตาของเขากลายเป็สีขาวสนิทแต่ร่างกายของเขายังปล่อยพลังปราณเย็นเยือกที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งจะปะทุออกมาเป็ครั้งคราว
โดยบังเอิญในเวลานี้ตระกูลหลักมาติดต่อและแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับประมุขตระกูลหลักที่กำจัดสำนักปี้เซวียนด้วยการสะบัดนิ้ว
ดังนั้นสาขาย่อยนี้ไม่ว่าจะเพื่อกลับสู่ตระกูลหลักหรือเพื่อรักษาซูเทียนจึงออกเดินทางทันทีเดินทางนับพันลี้เพื่อไปถึงตระกูลหลัก
…
อีกด้านหนึ่ง
ภายในโถงใหญ่ของสำนักหลิงซวี่
ร่างทรงพลังสิบร่างรวมตัวกันที่นี่พวกเขาคือสิบผู้าุโของสำนักหลิงซวี่แต่ละคนก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชัน
พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าจวินเทียนเ้าสำนักหลิงซวี่
ในขณะนี้แต่ละคนปล่อยจิตสังหารอันมหาศาลโดยไม่ปิดบังเลย
เพราะเมื่อครู่พวกเขาได้ทราบว่าเ้าสำนักของพวกเขาล้มตายนอกสำนัก!
“ฆ่าฆ่าฆ่า! กล้าดีอย่างไรมาฆ่าเ้าสำนักหลิงซวี่ของเรา! ความแค้นนี้ไม่อาจปรองดอง!”
“แต่การฆ่าจวินเทียนได้ในพริบตาจะต้องเป็นักบุญไร้เทียมทานแม้เราจะไม่กลัวแต่จะเป็การต่อสู้ที่ทำลายล้างทั้งสองฝ่ายไม่คุ้มค่า!”
“แล้วเราจะทำอย่างไร? ปล่อยให้ตัวเองถูกกลั่นแกล้งโดยไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียง?”
“ข้ามีแผนไปที่โลกมืดและจ้างกองกำลังนักฆ่านรกเพื่อจัดการเขาและขุมอำนาจเื้ัเขา!”
“ดี กองกำลังนักฆ่านรกชอบฆ่านักบุญและสูงกว่านั้นพวกเขามักลดราคาเพื่อจุดประสงค์นี้แผนนี้ยอดเยี่ยม!”
…
และขณะที่สิบผู้าุโตัดสินใจ เสียงของกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวดังก้องไปทั่วทั้งสำนักหลิงซวี่!