ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็กินอาหารจนอิ่มหนำสำราญ เมื่อกินเสร็จจึงเดินหาร่มไม้ที่เย็นสบายแล้วปีนขึ้นไปนอนพักผ่อนอยู่บนนั้น โดยที่ปากยังคาบน่องไก่มันเยิ้มไปด้วยคนละน่อง
เมื่อการสอบจอหงวนของแต่ละมณฑลเริ่มขึ้น วิทยาลัยหลวงก็เริ่มงานยุ่งขึ้นเช่นกัน มีการสอบย่อยแทบไม่เว้นแต่ละวัน
นอกจากการสอบเกี่ยวกับเนื้อหาในตำราแล้ว ซูกู้เหยียนยังให้นักศึกษาเขียนบทความขึ้น เพื่อเป็การซ้อมสำหรับการสอบจอหงวนในอนาคตอีกด้วย เฟิ่งสือจิ่นฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างสลับกันไป ทางด้านของหลิวอวิ๋นชู เขางุนงงจนสมองแทบจะะเิอยู่แล้ว
ซูกู้เหยียนให้เวลาตลอด่เช้า เมื่อหมดเวลา นักศึกษาทุกคนต้องนำบทความไปส่งโดยพร้อมเพรียง จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็มีแรงบันดาลใจท่วมล้น ความคิดและเื่ราวต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัวราวกับน้ำพุ นางไม่รอช้า รีบยกพู่กันขึ้นมาเขียนอย่างรวดเร็ว หลิวอวิ๋นชูอยากลอกคำตอบของนาง น่าเสียดายที่เฟิ่งสือจิ่นปิดกระดาษคำตอบจนสนิท ไม่มีหลุดรอดแม้แต่ตัวอักษรเดียว หลิวอวิ๋นชูไม่มีทางเลือก จึงวาดรูปเต่าขนาดใหญ่ไว้ที่กลางหน้ากระดาษแทน
ระหว่างตรวจคำตอบ ซูกู้เหยียนจับกระดาษคำตอบของหลิวอวิ๋นชูเอาไว้ เขาถามด้วยน้ำเสียงที่นับว่าใจเย็นไม่น้อย “ไหนลองอธิบายมาหน่อย ว่าเ้าวาดอะไรในนี้?”
หลิวอวิ๋นชูตอบ “อาจารย์ ข้ากำลังเขียนอักษรกระดองเต่าขอรับ”
ซูกู้เหยียน “...” เขาเดินไปหยุดตรงหน้าเฟิ่งสือจิ่นช้าๆ คิ้วคมขมวดขึ้น ซูกู้เหยียนมองตัวอักษรที่เขียนเต็มหน้ากระดาษสลับกับใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่น “แล้วเ้าล่ะ กำลังเขียนอะไรอยู่?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “อาจารย์ ข้ากำลังเขียนบทความเื่ ‘ลำนำลับแห่งวิทยาลัย’ ข้าคิดว่าบทความที่ดี ไม่ควรมีรูปแบบที่ตายตัว แต่ควรเป็บทความที่แสดงความรู้สึกและความคิดของผู้เขียนได้อย่างแท้จริงต่างหาก สิ่งที่ข้าเขียนอยู่ ก็คือบทความประเภทเื่สั้น ซึ่งมีเนื้อหาเป็นวนิยายเกี่ยวกับความรัก”
หลิวอวิ๋นชูถามด้วยความสงสัย “อะไรคือ ‘ลำนำลับแห่งวิทยาลัย’ หรือ?”
ซูกู้เหยียนมีสีหน้าบึ้งตึง เขาสั่ง “พวกเ้าสองคน ไปคัด ‘ตำราสิบสามบท’ มาคนละสามรอบ หากคัดไม่เสร็จ ห้ามกลับบ้าน ส่วนนักศึกษาคนอื่นไปพักผ่อนตามอัธยาศัยได้”
เหตุนี้ ระหว่างที่นักศึกษาคนอื่นๆ ได้ออกไปพักผ่อนที่นอกห้อง หลิวอวิ๋นชูกับเฟิ่งสือจิ่นจึงต้องคัด ‘ตำราสิบสามบท’ อยู่ในห้องอย่างน่าเศร้า ทั้งสองมีสีหน้าจริงจัง มือที่จับพู่กันขยับเขียนอย่างรวดเร็ว กำลังเร่งมือคัดให้เสร็จก่อนเลิกเรียน
ต่อมา หลิวอวิ๋นชูหยุดลงเพื่อพักมือ จึงหยิบกระดาษคำตอบของเฟิ่งสือจิ่นมาอ่านดู เมื่อได้เห็นเนื้อหาในนั้น เขาก็แทบจะชักน้ำลายฟูมปากเลยทีเดียว เขาพูดตะกุกตะกัก “เ้า... เ้า... เ้าเขียนเนื้อหาล่อแหลมเช่นนี้ได้อย่างไร ถึงว่า ท่านอาจารย์ถึงโกรธเ้าเช่นนี้ เ้ากำลังเขียนด่าว่าเขาเป็เดรัจฉานที่มีความสัมพันธ์อุจาดกับลูกศิษย์ของตัวเองชัดๆ!” เฟิ่งสือจิ่นพยายามแย่งกระดาษคำตอบกลับมา แต่หลิวอวิ๋นชูก็เบี่ยงตัวหลบ “อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ให้ข้าดูต่ออีกหน่อย! จิ๊ๆๆ... นี่มันช่าง...”
เฟิ่งสือจิ่นถาม “ช่างอะไร?”
หลิวอวิ๋นชูพูดสรุป “ช่างเขียนได้ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
ในยามที่ดวงตะวันกำลังจะตกดิน ในที่สุดเฟิ่งสือจิ่นกับหลิวอวิ๋นชูก็นำผลงานจากการเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันไปส่งให้ซูกู้เหยียน พวกเขาเหนื่อยจนแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว ซูกู้เหยียนเริ่มตรวจงานของหลิวอวิ๋นชูก่อน เขากวาดตามองเพียงผ่านๆ ก็อนุญาตให้หลิวอวิ๋นชูกลับบ้านได้ จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาตรวจของเฟิ่งสือจิ่น แสงสีทองของตะวันยามเย็นสาดเข้ามาทางด้านข้าง และส่องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเขา เมื่อเขาเบนสายตาไปมองทิศทางอื่น ดวงตาที่เป็เหมือนธารใสก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นเช่นกัน
ซูกู้เหยียนถามขึ้น “หลังจากคัด ‘ตำราสิบสามบท’ เสร็จ เ้าพอจะจำเนื้อหาในนั้นได้บ้างหรือยัง?”
เฟิ่งสือจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบตามจริง “ข้ามุ่งแต่จะคัดท่าเดียว เลยไม่ได้จำเนื้อหา”
ซูกู้เหยียนเงยหน้าขึ้นมามองนาง “ในเมื่อเป็เช่นนี้ การคัดตำราจะมีความหมายอย่างไร?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ดังนั้น ข้าจึงคิดมาโดยตลอดว่าการคัดตำราช่างไร้สาระสิ้นดี”
“ไร้สาระสิ้นดี” ซูกู้เหยียนหัวเราะขึ้นเบาๆ ไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นเขาหัวเราะเช่นนี้ ทว่าในสายตาของเฟิ่งสือจิ่น นอกจากรอยยิ้มของอีกฝ่ายจะไม่ทำให้ผ่อนคลายลงแล้ว ยังทำให้นางตึงเครียดและตื่นตระหนกขึ้นเสียอีก ซูกู้เหยียนนำกระดาษคำตอบของนางออกมา แล้วกางมันออกเบาๆ “แล้ว ‘ลำนำลับแห่งวิทยาลัย’ มีสาระงั้นหรือ?” พูดจบ รอยยิ้มที่มุมปากก็เด่นชัดมากยิ่งขึ้น รอยยิ้มนั้นทำให้ใบหน้าที่เคยเ็าแลดูเย้ายวน ทว่าก็ลึกลับจนยากจะคาดเดาความรู้สึกที่แท้จริง “อาจารย์ที่นอกใจภรรยา และแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ กับนักศึกษาสาวสวยที่เ้าเขียนถึง คือข้าหรือ?”
ต้องเป็เพราะ่ที่ผ่านมา ซูกู้เหยียนปล่อยปละละเลยนางจนเกินไป นางจึงชะล่าใจไปมาก วินาทีนี้ จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกว่าชายตรงหน้า ดูจะอันตรายมากกว่าที่ตนคิดหลายเท่าตัว นางแสร้งทำเป็วางเฉย “นิยายเช่นนี้เป็แค่เื่ที่แต่งขึ้นเท่านั้น เชื่อได้ที่ไหน หากอาจารย์คิดเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้น... ก็เท่ากับทำผิดต่อพระชายาน่ะสิ”
ซูกู้เหยียนหรี่ตาลง “ใครเป็คนสอนให้เ้าใช้คำพูดที่อนาจารและต่ำทรามเช่นนี้?”
เฟิ่งสือจิ่นจับจมูกตัวเอง “ข้าศึกษาเอาเอง”
“ถ้าข้าเอากระดาษคำตอบนี้ไปให้อาจารย์ของเ้าดูจะเป็อย่างไร?”
เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้น สายตาของนางไปปะทะเข้ากับดวงตาของซูกู้เหยียนโดยบังเอิญ ทั้งสองชะงักนิ่งลงอย่างกะทันหัน ทันใดนั้น จู่ๆ หัวใจที่เคยนิ่งสงบของซูกู้เหยียนก็มีเกลียวคลื่นซัดขึ้นมา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็เช่นนี้ เขามีนิสัยสุขุมและควบคุมตนเองได้เป็อย่างดี หากไม่อยากข้องเกี่ยวกับเฟิ่งสือจิ่นจริงๆ เขาสามารถหลบให้ห่างจากนางโดยไม่ถามไถ่และไม่สนใจนางเลยก็ยังได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงอยากเข้าใกล้เพื่อทำความรู้จักกับนางให้มากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อใดที่เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ดั่งเคย
ความรู้สึกของซูกู้เหยียนแปรปรวน และทะลักออกมาจนวุ่นวายไปหมด จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เ้าอยากเรียกร้องความสนใจจากข้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เ้าวางเอาไว้หรือ? หากเป็เช่นนั้นจริง อย่าวางแผนให้เหนื่อยอีกเลย”
เฟิ่งสือจิ่นครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพูดขึ้น “ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีเป้าหมายอะไร ช่วยบอกข้าทีได้หรือไม่?”
ซูกู้เหยียนเดินเข้ามาใกล้ ใกล้จนแค่ก้มหน้าเล็กน้อยก็ได้กลิ่นกายของกันและกันแล้ว เฟิ่งสือจิ่นไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้อย่างไร นางเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ทั้งสองต่างก็ไม่เข้าใจว่ากลิ่นอายที่ทั้งคุ้นเคยทว่าก็แปลกหน้านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่
การกระทำนี้อันตรายเป็อย่างมาก สัญชาตญาณบอกกับซูกู้เหยียนเช่นนั้น แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังอยากก้าวไปข้างหน้าอีกสักก้าว อยากค้นหาคนตรงหน้า อยากทำความรู้จักกับนางให้ลึกอีกสักหน่อย
ซูกู้เหยียนถาม “เ้าลืมข้าแล้วจริงๆ หรือ? แม้สักนิดก็จำไม่ได้หรือ?”
วินาทีนั้น จู่ๆ เขาก็เริ่มสงสัยหัวใจของตนเอง ไม่รู้ว่าตนคาดหวังให้นางลืม หรือจำได้กันแน่?
เฟิ่งสือจิ่นช้อนสายตาขึ้นไปจ้องคนตรงหน้า สักพักจึงพูดขึ้น “อาจารย์ไม่คิดว่า การพูดเช่นนี้กับข้าลับหลังเฟิ่งสือหนิง ถือเป็เื่ที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งหรือ?” ซูกู้เหยียนชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะตื่นออกมาจากภวังค์ อีกด้าน เฟิ่งสือจิ่นพูดขึ้นอีก “ท่านอาจารย์ของข้าเคยบอกเอาไว้ว่า หากเื่ใดที่จำไม่ได้ ก็ไม่จำเป็ต้องนึกถึงมันอีก”
“เ้าเชื่อฟังอาจารย์ของเ้าทุกเื่เลยหรือ?”
“ย่อมเป็เช่นนั้น หรือจะให้ข้าเชื่อฟังเ้าแทน?”
ซูกู้เหยียนในตอนนี้ไม่ได้น่าเกลียดน่ารำคาญเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่นางก็ยังไม่ชอบหน้าเขาแม้แต่น้อย เพราะไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป เฟิ่งสือจิ่นจึงฉวยโอกาสตอนที่ซูกู้เหยียนไม่ระวัง ชิงกระดาษคำตอบกลับมา จากนั้นก็ขยำกระดาษจนมันกลายเป็ก้อนกลม แล้วยัดเข้าปากตัวเองทันที... เห็นได้ชัดว่านางกำลังจะสื่อว่า ‘รอข้ากินกระดาษคำตอบเข้าไปก่อนเถอะ มาดูกันว่าเ้าจะหาอะไรไปฟ้องท่านอาจารย์ได้อีก’
ซูกู้เหยียนร้องห้าม “ใครใช้ให้เ้ากินกระดาษเข้าไป คายออกมาเดี๋ยวนี้” ซูกู้เหยียนก้าวไปข้างหน้า เขาบีบคางของนางเพราะกลัวว่ากระดาษจะติดคอ แต่เฟิ่งสือจิ่นกลับคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาแย่งกระดาษ จึงออกแรงกลืนมันเข้าไปอย่างไม่ลังเล และผลก็คือ กระดาษก้อนนั้นติดคอนางจริงๆ... เฟิ่งสือจิ่นฟุบอยู่บนโต๊ะ ต้องพยายามอยู่นานจึงจะคายกระดาษออกมาสำเร็จ นางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน คิดไม่ถึงว่าในจังหวะนั้น มีนักศึกษาคนหนึ่งกลับเข้ามาในห้องเรียนเพราะลืมของ เมื่อเห็นซูกู้เหยียนยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อเตรียมจะโอบไหล่ของเฟิ่งสือจิ่น นักศึกษาคนดังกล่าวก็ชะงักค้างอยู่ที่ประตู แปะ... หนังสือในมือร่วงหล่นลงพื้นจนเกิดเสียงดัง
“ไม่ควรมองเื่ลับของผู้อื่น ไม่ควรมอง... ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!” พูดจบ นักศึกษาคนดังกล่าวก็ปิดตาตัวเองแล้ววิ่งหนีไปทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้