เขาหยุดเดินกะทันหันหรงหว่านซียั้งฝีเท้าไม่ทัน ใบหน้าจึงชนเข้ากับแผงอกของเขา
เฉินอ๋องไม่เดินต่อเบี่ยงกายหันข้างมามองนางราวกับ้ามองพิจารณาบางอย่างบนใบหน้า
หรงหว่านซีเอาแต่ก้มหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินอ๋องจึงเอ่ย“เปิ่นหวางไม่รู้เื่ระหว่างเ้ากับพี่รองและไม่ได้ตั้งใจจะทำลายบุพเพสันนิวาสอันดีของเ้า ถ้าหากเ้าออกเรือนกับพี่รองแม้จะยังคงเป็เอ๋อร์สีของเชื้อพระวงศ์ แต่เ้าก็ไม่จำเป็ต้องใส่ใจเื่เหล่านี้เพราะเ้าแค่ติดตามพี่รองไปใช้ชีวิตอย่างอิสระที่ชายแดนก็พอ”
“บนโลกใบนี้ไม่มีคำว่าถ้าหากเพคะ”หรงหว่านซีเอ่ยอย่างสุขุม
เฉินอ๋องยกยิ้ม “ใช่แล้ว...สรรพสิ่งบนโลกนี้ช่างประหลาดเสียจริง”
ตลอดทางกลับตำหนักจาวเต๋อเฉินอ๋องก็มุ่งหน้าไปทางตำหนักจาวเต๋อเช่นกัน นางไม่ได้ห้ามเขาเพราะถึงอย่างไรทุกอย่างในจวนอ๋องแห่งนี้ก็เป็ของเขา ยามนี้คือตอนวันเขาอยากจะไปที่ใดก็ปล่อยให้เขาไป
เมื่อกลับมาถึงตำหนักจาวเต๋อเฉินอ๋องออกคำสั่งกับชูเซี่ยว่า“เ้าไปหาอวิ๋นฉางที่ตำหนักจาวเสียนและให้นางพาเ้าไปพบท่านหมอจูบอกว่าพระชายาถูกของร้อนลวก ให้เขาเตรียมยาทาสำหรับรักษาแผลน้ำร้อนลวกมาตรวจดูอาการสักหน่อย”
ชูเซี่ยร้อนใจเมื่อได้ยินว่าคุณหนูของตนถูกของร้อนลวกนางไม่ได้ทำตามคำสั่งของเฉินอ๋องในทันทีทันใด รีบหันไปถามหรงหว่านซีว่า“คุณหนูถูกของร้อนหรือเ้าคะ? ลวกส่วนใดแล้วเ้าคะ? รีบเอามาให้หนูปี้ดูหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
“ไม่เป็อะไร” หรงหว่านซีเอ่ย“เ้าแค่ไปเอายาทามาจากท่านหมอจูก็พอ ไม่จำเป็ต้องลำบากให้เขามาด้วย”
ชูเซี่ยขานรับทว่าครั้งนี้นางกลับเชื่อฟังเฉินอ๋อง เพราะจวนเฉินอ๋องมีอาณาเขตกว้างขวางหากจะวิ่งไปวิ่งมาคงไม่สะดวกนัก หลังเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปจึงพบชายชราร่างผอมไว้เคราสีขาวรีบเดินเข้ามาในตำหนักพร้อมกับชูเซี่ยด้านหลังชายชราผู้นั้นยังมีอวิ๋นฉางเดินตามมาด้วย
หรงหว่านซีเอ่ย “จะรีบร้อนอะไรกัน? เดินช้าสักหน่อยก็ได้อย่าทำให้ท่านหมอจูต้องเหน็ดเหนื่อย”
“ไม่เป็อะไรไม่เป็อะไรพ่ะย่ะค่ะ...” ท่านหมอจูรีบเอ่ยทั้งรอยยิ้ม“อย่าคิดว่าข้าน้อยแก่หงำเหงือกอายุจะห้าสิบเพียงอย่างเดียวนะพ่ะย่ะค่ะทว่าร่างกายยังคงแข็งแรงดียิ่งนัก ไม่ทราบว่าพระชายาถูกลวกส่วนใดพ่ะย่ะค่ะ?ให้ชายชราเช่นข้าน้อยดูได้หรือไม่?”
ทว่าประโยคสุดท้ายหันไปเอ่ยกับเฉินอ๋องเพื่อขอคำสั่ง
เฉินอ๋องพยักหน้าหรงหว่านซีจึงยื่นมือออกไป “ตอนพึ่งจะกลับมาถึงจวน ชูเซี่ยรินชาร้อนแต่เปิ่นเฟยคิดว่าเป็น้ำชาคงเย็นแล้ว เพราะไม่ทันระวังจึงถูกลวก”
ชายชราผู้นี้มีใบหน้านอบน้อมอ่อนโยนคล้ายไม่ใช่คนปลิ้นปล้อนแฝงเล่ห์เหลี่ยม แต่สามารถเข้ามาเป็หมอประจำจวนอ๋องเช่นนี้ย่อมต้องฉลาดและความรู้สึกฉับไว วันนี้คือวันที่นางเข้าวังไปถวายน้ำชาทว่าหลังมาถึงจวนบนมือกลับมีแผลน้ำร้อนลวกจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงหากผู้อื่นจะนึกถึงความเกี่ยวข้องของเื่นี้
แม้การกล่าวเช่นนี้ดูคล้าย้าปกปิดความจริงแต่ก็ถือเป็การกล่าวตักเตือนท่านหมอจูว่าไม่ให้เขาพูดจาเหลวไหล
หรงหว่านซีพึ่งจะเข้ามาในจวนเฉินอ๋องนางยังไม่เข้าใจเื่ราวและผู้คนภายในจวนอ๋องมากนักหากยังไม่รู้ถึงนิสัยใจคอของผู้อื่นอย่างถ่องแท้ จึงต้องระมัดระวังตัวเป็ธรรมดา
ท่านหมอจูมองเพียงครู่เดียวจึงเอ่ยออกมาว่า“ไม่เป็อะไรมากพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเอายาทามาด้วย เหนียงเหนียงใช้ทาบางๆ ทุกหนึ่งชั่วยามไม่เกินสองถึงสามครั้งก็จะหายบวมพ่ะย่ะค่ะ”
หรงหว่านซีรับมา “ลำบากท่านแล้ว”จากนั้นบอกให้ชูเซี่ยออกไปส่งท่านหมอจู
แท้จริงแล้วเป็เพียงาแเล็กน้อยเฉินอ๋องกลับใส่ใจถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำยังจงใจทำให้วุ่นวายไปทั้งจวนคาดว่าเื่นี้คงจะถูกเล่าต่อกันไปเสียแล้วเมื่อเหล่าอนุชายาภายในจวนได้ยินคงนึกอิจฉาตาร้อนอย่างอดไม่ได้
แต่นี่คือความปรารถนาดีของเฉินอ๋องหรงหว่านซีจึงไม่เอ่ยสิ่งใด
หลังทายาเสร็จพบว่าเฉินอ๋องยังไม่มีทีท่าจะกลับไปหรงหว่านซีไม่ไล่เขาและเดินเข้าไปอ่านตำราในห้องตำราฝั่งทิศตะวันตก
แต่เฉินอ๋องก็ยังคงเดินตามไป“ไม่ต้องอ่านแล้ว ใกล้จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วพวกเราไปเที่ยวเล่นที่เรือนซูหนวี่ฟางดีหรือไม่?”
“ข้าไม่ไป” หรงหว่านซีเอ่ย
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าจะพาเ้าไปลองชิมนกพิราบย่างเนย”เฉินอ๋องเอ่ย
“ท่านอย่างกินเองมากกว่ากระมัง?”หรงหว่านซีเอ่ยหยอกเย้า
เมื่อเขาเอ่ยเชิญชวนถึงเพียงนี้แน่นอนว่านางก็ไม่ได้นึกขุ่นเคืองแต่อย่างใด
แม้จะบอกว่าเป็การร่วมมือกันเพราะผลประโยชน์ทว่าความจริงแล้วก็ไม่จำเป็ต้องทำตัวห่างเกินกันนัก ผู้อื่นหวังดีหรือหวังร้ายนางสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน
“กินคนเดียวก็ไม่เห็นสนุกถ้าพวกเราไปด้วยกัน อย่างน้อยก็ยังมีคนอยู่เป็เพื่อนไม่ใช่หรือ” เฉินอ๋องเอ่ยทั้งรอยยิ้ม
หรงหว่านซีนึกสนุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน“ก็ได้ แต่ท่านต้องรับปากข้าเื่หนึ่ง”
“เื่อะไร” เฉินอ๋องเอ่ยขณะกล่าวยังถอดถอนหายใจ “ทั้งๆ ที่ข้าจะเป็คนเลี้ยงข้าวเ้าเหตุใดถึงกลายเป็ข้ามาอ้อนวอนเ้าเสียแล้ว?”
หรงหว่านซีหัวเราะและเมินเฉยต่อคำตัดพ้อของเขา“หากท่านจะเลือกบรรดากูเหนียง ห้ามเลือกผู้ที่เคยอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น”
“ได้ๆ...”เฉินอ๋องเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “หากเ้าไปด้วยข้าก็ให้แค่กูเหนียงสักสองนางมาร้องเพลงเป็พอ”
“ยังมีอีกหนึ่งเื่...”หรงหว่านซีเอ่ย “ท่านหาชุดเด็กรับใช้ชายสะอาดสะอ้านมาให้ข้าสักตัว”
เฉินอ๋องหัวเราะรู้ว่านางคงจะแต่งกายเป็บุรุษออกไปกับเขา ทำเช่นนี้ก็ดีจะได้หลีกเลี่ยงการพาสตรีเข้าไปในเรือนซูหนวี่ฟางจนเป็เหตุให้บรรดากูเหนียงทำตัวไม่ถูก
เฉินอ๋องสั่งอวิ๋นฉางที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่หน้าประตูให้ไปจัดการหรงหว่านซีได้ยินอวิ๋นฉางขานรับอย่างราบเรียบทว่าสามารถรับรู้ได้ถึงความสลดในน้ำเสียง
ไม่ใช่เพราะนางขี้สงสัยทว่าสิ่งที่ยากจะปิดปังมากที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือความรู้สึกของสตรี
แม้ว่าอวิ๋นฉางจะเป็ผู้ที่ไว้วางใจได้แต่นางคอยรับใช้อยู่ข้างกายเฟิงเป่ยเฉินมาโดยตลอด เมื่อเห็นเขาใกล้ชิดกับหญิงอื่นจึงเป็ไปไม่ได้ที่จะไม่เผยความรู้สึกออกมาสักนิด
เมื่อเปลี่ยนไปสวมอาภรณ์สีเขียวแกมน้ำเงินของเด็กรับใช้ชายสีนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสีอาภรณ์ของเฉินอ๋อง หรงหว่านซีจึงยกมือขึ้นทำท่าคารวะ“ข้าน้อยมิอาจตีตัวเสมอนายท่าน นายท่านโปรดผลัดอาภรณ์ชุดใหม่ด้วยเถิดขอรับ!”
อวิ๋นฉางที่ยืนอยู่หน้าประตูจึงรีบเอ่ย“เป็ความผิดของหนูปี้เพคะหลังไปถึงห้องเสื้อซืออีกลับพบเพียงชุดเด็กรับใช้ชายตัวนี้ที่น่าจะพอดีสำหรับเหนียงเหนียงด้วยเหตุนี้ถึงได้หยิบมาเพคะ”
“ไม่เป็อะไร” หรงหว่านซีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม“ข้าก็แค่หยอกล้อกับเตี้ยนเซี่ยเท่านั้น กูเหนียงอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”
“เปิ่นหวางก็นึกรังเกียจที่จะต้องลดตัวไปสวมอาภรณ์สีเดียวกับเ้าเอาอาภรณ์มาเปลี่ยน!” เฉินอ๋องหยอกล้อ
หรงหว่านซีพบว่าเฉินอ๋องเปลี่ยนไปสวมอาภรณ์สีขาวนวลพระจันทร์ที่นางหยิบออกมาเมื่อเช้านางคิดว่าแม้อาภรณ์ตัวนี้จะสง่างามทว่ายามอยู่ภายในหอนางโลมเช่นนั้นคงแลดูจืดชืดเกินไปสักหน่อย
ทว่าหลังเฉินอ๋องสวมใส่นางก็รู้สึกชอบเหมือนกัน
นางออกจากจวนพร้อมกับเฉินอ๋อง ตลอดทางมุ่งหน้าไปยังเรือนซูหนวี่ฟางตอนนี้คือเวลาเที่ยงวัน ภายในเรือนซูหนวี่ฟางจึงมีแเื่จำนวนไม่น้อย
เมื่อเห็นเฉินอ๋องเสด็จมาหลานอี๋จึงรีบออกมาต้อนรับ นางไม่ทันมองพิจารณาผู้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังให้ละเอียดจึงคิดว่าคงเป็เพียงเด็กรับใช้ธรรมดาผู้หนึ่ง“วันนี้เตี้ยนเซี่ยจะเลือกกูเหนียงนางใดให้ร่วมร่ำสุราเพคะ? หนูปี้จะไปจัดเตรียมทันที”
“ไม่ต้อง” เฉินอ๋องเอ่ย“วันนี้จะดื่มสุราน้อยสักหน่อย ให้อิงอิงกับเยี่ยนเยี่ยนมาร้องเพลงเป็พอ”
“ไอหยา...โชคไม่ดีเสียแล้วเพคะ”หลานอี๋เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เมื่อครู่ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยพึ่งเลือกอิงอิงกับเยี่ยนเยี่ยนเพคะท่านจะร่วมดู...”
“ถ้าเช่นนั้นก็เรียกไฉ่เตี๋ยกับซี่ฮวามาเถิด”เฉินอ๋องเอ่ย
“เพคะ!หนูปี้จะไปจัดการประเดี๋ยวนี้เพคะ...”
หรงหว่านซีรู้สึกว่าชื่อของบรรดากูเหนียงในเรือนซูหนวี่ฟางช่างไพเราะไม่น้อยแม้จะได้ยินว่าองค์รัชทายาทก็อยู่ที่นี่เช่นกัน แต่นางกลับไม่ได้ใส่ใจ
หากองค์รัชทายาทยังคงปรารถนาในตัวนางต่อให้นางปิดประตูขังตนไว้ในจวนเฉินอ๋อง องค์รัชทายาทก็ยังคงสร้างความวุ่นวายได้อยู่ดีถ้าหากองค์รัชทายาทหมดสนุกและปล่อยวางหลังนางออกเรือน หากจะพบหน้ากันก็ไม่เป็อะไรทุกคนต่างใจกว้าง ไม่จำเป็ต้องเอาเื่บุญคุณความแค้นเ่าั้มาใส่ใจ
คงต้องรอดูวันที่กลับไปกราบไหว้บิดาหลังออกเรือนเื่ขอเกษียณราชการที่ท่านพ่อกราบทูลต่อฝ่าาจะสำเร็จหรือไม่
ช่างบังเอิญยิ่งนักขณะหรงหว่านซีกับเฉินอ๋องเดินขึ้นบันไดทันใดนั้นพบกับองค์รัชทายาทที่เดินออกมาจากข้างในห้องเข้าพอดี
เมื่อองค์รัชทายาทเสด็จมาเยือนแน่นอนว่าห้องรับรองขนาดใหญ่ที่สุดย่อมต้องเป็ขององค์รัชทายาทส่วนเฉินอ๋องจึงทำได้เพียงใช้ห้องรับรองด้านข้าง องค์รัชทายาทสนุกสนานยิ่งนักเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีไม่น้อย เขารีบดึงเฉินอ๋องพร้อมกับเอ่ย “น้องสามมาแล้วรึรีบเข้ามานั่งข้างในเร็วเข้า คุณชายซงก็อยู่เช่นกัน”
เฉินอ๋องเอ่ยหยอกล้อ“ท่านโหวน้อยก็อยู่ด้วยหรือ บอกว่าจะเลี้ยงสุราเปิ่นหวางกับพี่ใหญ่แต่เหตุใดถึงเชิญพี่ใหญ่ผู้เดียว? นี่เรียกว่าการขอโทษอย่างนั้นหรือ?”
เขาพูดเหมือนเื่ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเป็เพียงเื่ทั่วไปไม่ได้มีความหมายใดแอบแฝงแม้แต่นิด
องค์รัชทายาทยกยิ้มแฝงความนัย “น้องสามเื่ราวผ่านไปแล้ว หากจะสืบสาวราวเื่ก็คงไม่ดีนักแค่เพียงสุรามื้อเดียวเท่านั้น น้องสามอย่าได้ทำให้ทุกคนต้องหมดสนุกความเป็พี่น้องของพวกเราจะมาแตกหักเพราะสุรานารีเช่นนี้ได้อย่างไร? ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็องค์ชายต้องมีความอดทนอดกลั้นให้สมกับฐานะถึงจะถูก”
แม้คำพูดขององค์รัชทายาทจะฟังดูกำกวมไปสักหน่อยแต่หลังจากหรงหว่านซีได้ยินก็รู้ว่าทุกประโยคของเขาล้วนมีความหมายไปในทิศทางเดียวและความหมายนี้มีเพียงเฉินอ๋องเท่านั้นที่เข้าใจ
ก่อนพิธีแต่งงานตนถูกลักพาตัวเฉินอ๋องเป็คนช่วยนางกลับมา ทว่าตอนนั้นเฉินอ๋องกลับไม่พูดถึงรายละเอียดขณะช่วยนางออกมาเพราะเื่นี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเฉินอ๋องและองค์รัชทายาทท่านพ่อจึงไม่อยากเอ่ยถาม แท้จริงแล้วเป็ฝีมือผู้ใดต้องช่วยออกมาอย่างยากลำบากหรือไม่ขอเพียงต่างฝ่ายต่างรู้อยู่แก่ใจเหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่เป็พอ
หรงหว่านซีจึงคิดว่าคำกล่าวเช่นนี้ขององค์รัชทายาทจะต้องเกี่ยวกับเื่เมื่อคราวก่อนอย่างแน่นอน
คล้ายเฉินอ๋องจะน้อมรับคำเตือนขององค์รัชทายาทเอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า “ท่านพี่กล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก”
หลังจากนั้นไม่เอ่ยถึงเื่นี้อีก“เพียงแต่น้องพาสหายมาด้วย เพราะฉะนั้นคงไม่ร่วมสนุกกับพี่ใหญ่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ...”องค์รัชทายาทตบลงบนบ่าเฉินอ๋องด้วยท่าทางแลดูจริงใจ“ผู้เป็พี่เช่นข้ากังวลว่าเ้าจะรู้สึกไม่ดีเพราะถึงอย่างไรเ้าก็ถูกพี่รองของเ้าหักหน้าในวันแต่งงาน หรงหว่านซีผู้นี้...ฮึฮึ่ม..ช่างเถิด ถึงอย่างไรนางก็กลายเป็คนที่เ้าแต่งเ้าจวนไปแล้วในฐานะผู้เป็พี่จึงไม่ควรพูดอะไร”
“เมื่อครู่เปิ่นกงยังบอกกับซงโหวน้อยว่าน่าสงสารน้องสามผู้สง่างามถึงเพียงนี้...เฮ้อ... ไม่พูดแล้วๆ วันหน้าหากเ้ากลัดกลุ้มใจก็มาดื่มสุรากับพี่พี่พร้อมจะอยู่ข้างเ้าเสมอ”
เฉินอ๋องเอ่ยทั้งรอยยิ้ม“จำเป็ต้องกลุ้มใจเื่อะไรด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
รอยยิ้มฉายแววปลิ้นปล้อนโดยพลันเอ่ยเสียงเบาว่า “แท้จริงแล้วน้องกลับรู้สึกภูมิใจยิ่งนัก ผู้คนต่างหลงรักคนงามทว่าคนงามกลับรักมั่นเพียงข้าผู้เดียว พี่ใหญ่ว่า ภายในใจของน้องจะไม่รู้สึกสำราญได้อย่างไร?”
องค์รัชทายาทกระตุกยิ้ม“เ้าปลอบใจตนเองเช่นนี้ก็ถือเป็วิธีขจัดทุกข์เช่นกัน”
จึงเห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าหรงหว่านซีก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน
ตอนนี้หรงหว่านซีกำลังคิดว่าหากอีกครู่องค์รัชทายาทเห็นหน้านางอย่างชัดเจน เขารู้สึกขัดเขินหรือไม่? เพราะถึงอย่างไรเขาก็กำลังทำเื่นินทาว่าร้ายผู้อื่นอย่างลับหลัง
องค์รัชทายาทตบบ่าเฉินอ๋องเพื่อปลอบใจก่อนจะเดินไปยังบันไดเพื่อลงไปชั้นล่าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้