ชิ้ง!
เสียงคำรามแห่งคมดาบดังกึกก้องปฐี
วินาทีนั้น ทุกสิ่งโดยรอบต่างก็แหลกกระจายลงไม่ต่างไปจากกระจกที่แตกร้าว
ซูฉางอันเด้งตัวลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว ก่อนดาบจะพุ่งเข้ามาอยู่ในมือเพียงชั่วพริบตา
เขาหอบหายใจและอ้าปากกว้างเพื่อสูดอากาศเข้าปอดอย่างต่อเนื่อง บนหน้าผากบัดนี้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาอย่างมากมาย
เขาสงบจิตสงบใจลง จากนั้นก็กระจายพลังจิตไปทั่วร่างซูฉางอันพบว่าบัดนี้ ในตันเถียนของเขามีปราณดาราอยู่สองดวงด้วยกันดวงหนึ่งเป็ปราณดาราที่ได้จากการรวบรวมปราณดาราทั้งเก้าเข้าด้วยกัน ส่วนอีกดวงเป็ปราณดาราที่ได้รับมาจากฉู่ซีฟงนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีของเหลวสีแดงฉานจำนวนมากซัดกระหน่ำอยู่ในนั้นอย่างต่อเนื่องคล้ายเป็มวลลาวาก็ไม่ปาน
ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่นเขารู้ดีว่าเป็เพราะเขาใช้พลังของโลหิตเทพที่เมืองหลานหลิง ดังนั้นโลหิตเทพที่เคยถูกข่มลงไปจึงมีท่าทางราวกำลังจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ความฝันอันแสนเหลวไหลที่เห็นเมื่อครู่ย่อมเป็ผลมาจากโลหิตเทพแท้ด้วยเช่นกัน
ช่างเป็อะไรที่อันตรายเหลือเกินหากเขาสำเร็จพิธีไหว้ฟ้าดินในงานวิวาห์สำเร็จ ซูฉางอันไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างบางที เขาอาจติดอยู่ในโลกแห่งความฝันตลอดไปหรือไม่โลหิตเทพก็อาจจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งในร่างของเขา แต่ไม่ว่าจะทางไหนย่อมไม่ใช่เื่ดีทั้งนั้น
หากไม่ใช่เพราะโลหิตเทพแท้สร้างภาพลวงขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบมากจนเกินไปมากจนไม่มีจุดบกพร่องเลยแม้แต่น้อยละก็ ซูฉางอันคงจะหลงเชื่อไปแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉางอันก็เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิก่อนจะขับเคลื่อนพลังิญญาในร่างกายขึ้น ทันใดนั้น พลังิญญากระแสหนึ่งก็แหวกว่ายไปทั่วตันเถียนและค่อยๆ กดข่มของเหลวสีแดงคล้ายมวลลาวาเ่าั้ลง
ั้แ่ซูฉางอันได้รับพลังจากแสงแห่งดวงดาวในคืนนั้นพลังของเขาก็คล้ายจะมีความสามารถในการข่มโลหิตเทพแท้ได้บ้างแล้วภายใต้การกดข่มของซูฉางอัน เพียงไม่นาน โลหิตเทพแท้ที่โหมกระหน่ำอยู่ภายในก็ค่อยๆสงบลงอย่างช้าๆ จนในที่สุด พวกมันก็กลับไปรวมกันที่มุมเล็กๆ ของตันเถียนอีกครั้งราวกับว่ามันจมสู่ห้วงแห่งการนิทราอีกครั้ง
เมื่อทำทั้งหมดเสร็จ ซูฉางอันก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาเขามองไปยังปราณดาราสีม่วงภายในร่างกาย จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่สักพัก และในที่สุดปราณดาราของเขาก็ประกายแสงสว่างออกมาโอบล้อมปราณดาราสีม่วงเอาไว้จนมิดชิด
เพียงไม่ถึงสิบนาทีปราณดาราในร่างก็กลืนปราณดาราสีม่วงเข้าไปเสียแล้ว หลังจากนั้นปราณดาราของเขาก็มีแสงจากสายฟ้าเพิ่มขึ้นมาทั้งยังมีพลังดาบที่แตกต่างไปจากพลังของมั่วทิงอวี่วนเวียนอยู่ด้วยแต่ซูฉางอันยังไม่หยุดลงแค่นั้น เพราะตอนนี้จิตมั่นของเขากลายเป็ ‘อำนาจ’ไปเรียบร้อยแล้ว
เขาถ่ายทอดคำสั่งไปทางจิต เพียงเท่านั้นอำนาจที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของปราณดาราก็ปะทุออกมาครอบคลุมพลังดาบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ และสายฟ้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เขานั่งนิ่งอยู่กับที่จนเมื่อเวลาเลยผ่านไปนานถึงหนึ่งชั่วยาม เด็กหนุ่มจึงทอดประกายรอยยิ้มบางๆออกมาที่มุมปากพร้อมกับลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้พลังสะสมที่ทั้งแข็งแกร่งทว่าก็หลากหลายภายในร่างของเขาหลอมรวมกับ ‘อำนาจ’จนกลายเป็หนึ่งเดียวกันแล้ว นับบัดนี้เป็ต้นไป ทุกกระบวนดาบของเขามีอำนาจรวมไปถึงพลังจากสายฟ้าและเพลิงศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ด้วยแม้ระดับพลังของเขาจะไม่มีความก้าวหน้ามากขึ้นเลยแม้แต่น้อยทว่าความแข็งแกร่งของเขากลับเพิ่มขึ้นแบบก้าวะโเลยทีเดียว
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังออกมาจากข้างนอก
“คุณชายซู ท่านตื่นหรือยัง?” เสียงอันแสนอ่อนโยนของฝานหรูเยว่ดังขึ้น
ซูฉางอันขานตอบ จากนั้นลงจากเตียง และเปิดประตูออก และพบกับฝานหรูเยว่ที่ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับข้าวปลาอาหาร
เมื่อเห็นว่าซูฉางอันใบหน้าแดงระเรื่อแลดูสุขภาพดีไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว นางจึงรู้สึกวางใจขึ้นมามาก เหตุนี้ โฉมงามจึงปรากฏรอยยิ้มบางๆขึ้นอย่างอ่อนโยน นางส่งอาหารในมือไปให้ซูฉางอัน “คุณชายซูไม่ได้กินอะไรมาทั้งคืนหรูเยว่คิดว่าเมื่อตื่นขึ้น ท่านต้องอยากกินอะไรแก้หิวเป็แน่ ก็เลย... ทำอาหารมาให้คุณชายซู”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ จู่ๆ เสียงของนางก็แ่ลงมากทั้งยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตา หน้าแดงก่ำราวกำลังเขินอายอยู่
หาใช่เพราะอาหารมื้อนี้มีความพิเศษอะไรนักหนาแต่เพราะก่อนหน้านี้ฝานหรูเยว่ไม่เคยเข้าครัวเลยแม้เพียงสักครั้ง นางต้องรวบรวมความกล้าอยู่นานกว่าจะกล้าเข้าครัว และทำอาหารให้ซูฉางอัน ซึ่งนี่เป็ครั้งแรกเลยที่นางทำอาหารเพื่อบุรุษเช่นนี้จึงอดรู้สึกเขินอาย และอดเพ้อไปไกลเสียไม่ได้ เพราะแบบนั้น นางก็เลยรู้สึกเขินอายอย่างที่เห็นนั่นเอง
ทางด้านซูฉางอัน ตอนนี้เขายังดึงตัวเองออกมาจากความดีใจเื่ความก้าวหน้าด้านวรยุทธิ์ไม่ได้เลยแต่เพราะก่อนหน้านี้ เขาเคยได้ลิ้มลองรสมือของโฉมงามทั้งสามโดยมีเซี่ยโหวฟ่งอวี้เป็แกนนำมาแล้ว หางคิ้วจึงพากันกระตุกขึ้นเพื่อบอกลางร้ายอย่างอดไม่ได้ทว่าเมื่อมองไปยังฝานหรูเยว่ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาด้วยความเขินอาย อย่างไรเสียเขาก็ปฏิเสธนางไม่ลงซูฉางอันรับอาหารมาจากฝานหรูเยว่ด้วยท่าทางฝืนใจเล็กน้อยขณะที่ภายในใจก็เอาแต่คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะหนีจากเคราะห์กรรมในครั้งนี้พ้นกันหนอ...
“จริงสิ เซี่ยนจวินเป็ยังไงบ้าง?” ซูฉางอันถามขึ้นกะทันหัน
“แม่นางกู่ฟื้นแล้ว แต่ร่างกายยังอ่อนแออยู่ตามที่ใต้เท้าอวี้เหิงพูดมา นางยังต้องพักรักษาตัวอีกสักสองสามวัน” ฝานหรูเยว่ตอบ
“อย่างนั้นรึ?” ซูฉางอันพยักหน้า แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง“พวกเราไปเยี่ยมนางกันเถอะ” พูดไปพลาง ซูฉางอันก็วางอาหารในมือลงจากนั้นก็ดึงมือของฝานหรูเยว่ มุ่งหน้าไปที่ห้องของกู่เซี่ยนจวินทันที
ฝานหรูเยว่รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด ใบหน้าที่เดิมก็แดงอยู่แล้วยิ่งแดงมากขึ้นจนคล้ายเป็ลูกมะเขือเทศในเสี้ยววินาที แต่ดูเหมือนนางจะไม่พอใจกับการตัดสินใจของซูฉางอันสักเท่าไหร่จึงพูดเตือนด้วยเสียงที่แ่เบา “แล้ว... อาหารละ...”
ซูฉางอันชะงักนิ่งไป เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงยกอาหารขึ้นมาอีกครั้ง “เอาไปให้เซี่ยนจวินกินเถอะ ร่างกายของนางยังไม่แข็งแรงหากได้กินอาหารที่หรูเยว่ลงมือทำด้วยความตั้งใจ นางต้องแข็งแรงขึ้นแน่ๆ”
ฝานหรูเยว่เองก็ชะงักนิ่งไปเพราะคำพูดนี้แม้จะเสียดายที่ซูฉางอันไม่ได้กินอาการที่ตนตั้งใจทำ แต่อย่างไรเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสุขภาพของกู่เซี่ยนจวิน นางคิดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าซูฉางอันกล่าวล้วนมีเหตุผล จึงไม่ได้คัดค้าน หรือกล่าวสิ่งใดออกมาอีกแต่ยอมปล่อยให้ซูฉางอันดึงมือ และพาไปที่ห้องของกู่เซี่ยนจวินแต่โดยดี
ทว่าความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทางฝ่ามือของซูฉางอัน กลับทำให้ฝานหรูเยว่ใจเต้นไม่เป็ส่ำขึ้นอย่างประหลาดราวกับมีกลองศึกส่งเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหวอยู่ภายใน
เมื่อซูฉางอันผลักประตูห้องของกู่เซี่ยนจวินให้เปิดออกพวกเขาก็พบว่ากู่เซี่ยนจวินยังนอนอยู่บนเตียงอยู่เลย แม้ใบหน้าของนางจะยังมีสีซีดอยู่บ้างแต่ก็ดีกว่าตอนอยู่ในเมืองเฟิงตูหลายเท่าแล้ว
เมื่อเห็นซูฉางอันกับฝานหรูเยว่เดินเข้ามาหากู่เซี่ยนจวินก็ลุกขึ้นมานั่งทันที
“คุณชายซู หรูเยว่ มากันแล้วรึ?”
กู่เซี่ยนจวินทำท่าราวจะลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อต้อนรับทั้งสองซูฉางอันจึงรีบเดินเข้าไปกดร่างของนางเอาไว้อย่างห้ามปรามจากนั้นก็นั่งลงที่ข้างเตียง ทางด้านฝานหรูเยว่เองก็เข้ามายืนอยู่ข้างเตียงยืนอยู่ข้างซูฉางอันอย่างสงบ ราวทั้งสองเป็คู่สามีภรรยาที่รู้ใจกันอย่างไรอย่างนั้น
“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?” ซูฉางอันกล่าวถาม
“อืม” กู่เซี่ยนจวินพยักหน้าจากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นไปมองซูฉางอัน ั์ตาคู่นั้นราว้าจะถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่างออกมา“ได้ยินมาว่าคุณชายซูเป็คนช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“เออ...” ซูฉางอันส่ายหน้าเบาๆ อย่างทำตัวไม่ถูก“คนที่ช่วยเ้าเอาไว้ น่าจะเป็ผู้าุโฉู่มากกว่า แม้ข้าตามไปที่นั่นก็เถอะแต่ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด ซ้ำยังทำให้ผู้าุโฉู่เดือดร้อนมากขึ้นไปอีก”
ทว่ากู่เซี่ยนจวินกลับทำราวไม่เข้าใจว่าซูฉางอันกำลังพูดอะไรอยู่ดวงตาของนางส่องประกายแสงอันแสนอ่อนโยนขึ้น “โจรพวกนั้นเก่งกาจกันมาก เดิมทีข้าคิดว่าตัวเองจะไม่มีทางรอดกลับมาเสียแล้วคิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายซูจะช่วยข้าออกมาจากอันตรายเช่นนี้ ข้าไม่รู้จริงๆว่าควรจะตอบแทนเช่นไรดี”
สายตาอันแสนประหลาดของนาง ทำให้ซูฉางอันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ๆ ภาพที่กู่เซี่ยนจวินกลายเป็ภรรยาของเขาซึ่งเคยพบเห็นในความฝันก็ผุดขึ้นมาในสมอง ทำให้ซูฉางอันหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็หันหน้าหนีไปอีกทางเพื่อหลบสายตาของกู่เซี่ยนจวินอย่างมีพิรุธ
“ทำไมโจรพวกนั้นต้องจับตัวเ้าด้วยข้าได้ยินพวกนั้นบอกว่าเ้า...”ซูฉางอันหยุดพูดลงกลางคันเมื่อตระหนักได้ว่านอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้วยังมีฝานหรูเยว่อยู่ด้วย แน่นอน นั่นไม่ได้แปลว่าเขาไม่ไว้ใจฝานหรูเยว่แต่ผู้รับใช้เทพพวกนั้นทั้งแข็งแกร่งและลึกลับมาก นอกจากนี้พวกมันยังเืเย็นและอำมหิต ถึงขั้นฆ่าคนทั้งเมืองแบบนั้น การรู้มากไปอาจไม่เป็ผลดีกับฝานหรูเยว่ก็ได้
ทางด้านฝานหรูเยว่ที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนนางจะรู้สึกได้ว่าทั้งสองกำลังจะพูดเื่ที่ไม่อยากให้ตนได้ยินแม้จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่นางก็ยังทำความเคารพต่อทั้งสองอย่างรู้งานแล้วพูดขึ้น “หรูเยว่ยังมีธุระต่อ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนคุณชายซูกับแม่นางกู่แล้ว”หลังพูดจบ ฝานหรูเยว่ก็เดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางสง่างาม
เมื่อฝานหรูเยว่เดินออกไปจากห้องกู่เซี่ยนจวินก็ถอนหายใจออกมา “ข้าเป็ทายาทแห่งเทพเ้า มารดาของข้า หลิงเยี่ยนจีเป็ครึ่งเทพ”
คำตอบของกู่เซี่ยนจวินทำให้ซูฉางอันชะงักอึ้งไปเขาไม่รู้หรอกนะว่าหลิงเยี่ยนจีเป็ใคร แต่นี่เป็ครั้งแรกเลยที่เขารู้ว่านอกจากเทียนจ้าวแล้ว ยังมีครึ่งเทพคนอื่นอยู่ในโลกด้วยแถมหนึ่งในนั้นยังมีลูกกับโหวเยตระกูลกู่แห่งแผ่นดินต้าเว่ยอีก
ราวจะดูออกว่าซูฉางอันกำลังสงสัยอะไรอยู่กู่เซี่ยนจวินจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “เท่าที่จำความได้ ข้าไม่เคยเจอนางเลยสักครั้งแต่เพราะได้ยินบทสนทนาของท่านพ่อกับท่านปู่โดยบังเอิญ ข้าถึงได้รู้เื่นี้ยิ่งไปกว่านั้น มีใครคนหนึ่งตามสังหารข้ามาโดยตลอด คนๆ นั้นแข็งแกร่งเหลือเกินแม้แต่ท่านพ่อและท่านปู่ที่มีพลังแข็งแกร่งก็ยังสู้ด้วยลำบาก ดังนั้น พวกเขาจึงหาทางส่งข้ามาที่เมืองฉางอันเพื่อขอให้ท่านอวี้เหิงช่วยปกป้อง”
“ถ้าเป็แบบนั้น แล้วทำไมเ้ายังออกไปจากเมืองฉางอันอีกละ? ข้าได้ยินผู้หญิงที่ชื่อมายารัตติกาลบอกว่าดูเหมือนจะเป็เพราะคนที่ชื่อกู่ฮว่าจี่อะไรสักอย่าง? เขาเป็ใครรึ? แล้วทำไมพวกเขาต้องจับตัวเ้าด้วย”
“ตระกูลกู่แห่งดินแดนทางเหนือมีอ๋องหนึ่งคนกับโหวอีกสามคน แถมเรายังมีกำลังทหารอยู่ในเป็จำนวนมากเป็ใหญ่ในดินแดนทางเหนือ ถือเป็ขุนนางที่ทรงอำนาจมาก แล้วแบบนี้ องค์จักรพรรดิจะไว้วางใจพวกเราได้ยังไงกู่ฮว่าจี่เป็ตัวประกันที่ตระกูลกู่ส่งมาให้องค์จักรพรรดิเขาเป็พี่ใหญ่ของบิดาข้า เป็ตัวประกันที่มหาจักรพรรดิเก็บเอาไว้ใกล้ตัวเขาดีกับข้ามาก เมื่อได้ยินว่าเขาถูกฆ่ายกจวนเช่นนี้ จะให้ข้าจะทนอยู่เฉยๆ ได้เช่นไร”
“ส่วนเื่ที่ว่าผู้รับใช้เทพพวกนั้นจับข้ามาเพื่ออะไรข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ขณะพูดประโยคนี้ออกมาสีหน้าของกู่เซี่ยนจวินก็แลดูเย็นะเืเหลือเกินไม่รู้เหมือนกันว่าความโกรธเคืองที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นเกิดขึ้นเพราะผู้รับใช้เทพที่สังหารกู่ฮว่าจี่กับคนทั้งเมือง หรือเป็เพราะองค์จักรพรรดิที่ปล่อยให้เขาตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยกันแน่หรือไม่ ก็อาจเป็ทั้งสองอย่าง
เมื่อได้ฟังจนจบ ซูฉางอันก็นิ่งเงียบลงเช่นกันผู้รับใช้เทพพวกใส่โลหิตเทพแท้เข้าไปในร่างของมั่วทิงอวี่ที่ดินแดนทางเหนือต่อมาโลหิตเทพแท้ก็มาตกอยู่ในร่างของเขาเพราะความบังเอิญ แล้วในเมืองหลานหลิงฉู่ซีฟงก็เกือบจะตายเพราะพวกมันอีกซูฉางอันจึงเข้าใจความรู้สึกของกู่เซี่ยนจวินเป็อย่างดี
หลังความเงียบสงัดเข้าปกคลุมได้สักพักซูฉางอันก็ถามคำถามที่เก็บซ่อนอยู่ในใจมานานออกไปในที่สุด
“เซี่ยนจวิน เื่ที่เขาโยวหยุน เ้ายังจำได้ใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินดังนั้น กู่เซี่ยนจวินก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังซูฉางอันด้วยดวงตากลมโตที่เปล่งประกายงดงามจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยเสียงแ่เบา “ที่คุณชายซูหลบหน้าข้ามานานหลายเดือนเป็เพราะเื่นี้ใช่หรือไม่?”
ซูฉางอันจับจมูกตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูกจากนั้นจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เพราะฐานะของอาจารย์หญิงค่อนข้างพิเศษไปจากคนอื่นข้าก็เลยกลัวว่า...”
“กลัวว่าข้าจะฟ้องเอาความท่านเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัว?” กู่เซี่ยนจวินมองบนใส่ซูฉางอัน “ในสายตาของคุณชายซูเซี่ยนจวินเป็คนที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคนเช่นนี้เองรึ?”
“แต่เ้าก็ไม่ได้บอกข้านี่ ข้าก็เลยไม่รู้ว่าเ้าคิดเช่นไรกันแน่”ซูฉางอันพูดราวเป็ฝ่ายเสียเปรียบ
กู่เซี่ยนจวินมองบนใส่ซูฉางอันอีกคราจากนั้นจึงพูดด้วยเสียงประชดประชัน “ข้าก็อยากจะพูดเื่นี้กับคุณชายซูเหมือนกันแต่ทุกครั้งที่เจอกัน คุณชายซูก็ทำเหมือนเจอผีไปเสียทุกครั้ง แล้วข้าจะมีโอกาสพูดได้เมื่อไรกัน?”
ซูฉางอันเริ่มทำหน้าไม่ถูกมากขึ้นทุกขณะจิตเขามองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของกู่เซี่ยนจวิน แล้วจู่ๆก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี
“ที่ข้าเข้าใกล้คุณชายซู เพียงเพราะรู้สึกว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็เหมือนกับหมาป่าที่ดินแดนทางเหนืออันแสนหนาวเย็น ที่นั่นพวกมันไม่มีคบเพลิงหรือฟืนไฟ ทำได้แต่เพียงรวมกลุ่มเข้าด้วยกันเพื่อหาความอบอุ่นจากกันและกัน”กู่เซี่ยนจวินก้มหน้าลง ก่อนใบหน้าจะทอประกายสีแดงออกมาเล็กน้อย งดงามเหลือเกิน
ซูฉางอันเถียงไม่ออกเขาไม่รับรู้เลยสักนิดว่าคำพูดของกู่เซี่ยนจวินมีความหมายแอบแฝงอยู่เขามีเพียงความรู้สึกผิดเท่านั้น จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี
เมื่อรอมานานแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากซูฉางอันกู่เซี่ยนจวินจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อได้เห็นท่าทางของซูฉางอัน นางก็พลันแอบด่าว่าซูฉางอันซื่อบื้ออยู่ในใจแต่อีกใจก็คิดว่าซูฉางอันที่เป็แบบนี้ต่างหาก จึงจะเป็ซูฉางอันที่นางรู้จักเมื่อคิดได้ดังนั้น ความโกรธจึงทุเลาเบาบางลงไปโข
นางหันไปเห็นอาหารในมือของซูฉางอันในเวลาต่อมา จึงถามขึ้น“อาหารในมือ คุณชายซูเตรียมมาให้เซี่ยนจวินรึ?”
ซูฉางอันชะงักไป จากนั้นรีบพยักหน้าแล้วยื่นอาหารในมือไปให้
ความอบอุ่นเข้าพื้นที่ในหัวใจของกู่เซี่ยนจวินในเสี้ยววินาทีนางหลับไปนานมาก ทั้งยังได้รับาเ็สาหัส เดิมก็รู้สึกหิวมาตั้งนานแล้วเมื่อเห็นดังนั้น จึงรีบหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารในถ้วยเข้าปากทันที
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปหลายครั้งรสชาติของอาหารตรงหน้าแตกต่างจากที่นางคาดไว้ราวคนละโลกแต่เมื่อเหล่มองซูฉางอันที่กำลังมองมายังตนอย่างสนอกสนใจ นางก็คิดขึ้นในใจว่าผู้ชายอกสามศอกอย่างคุณชายซูอุตส่าห์เข้าครัวเพื่อนางทั้งทีนี่นับเป็เื่ที่ยากจะประสบพบเจอ ดังนั้น นางจึงกัดฟันกลืนอาหารในปากลงคอและประกายรอยยิ้มจริงใจออกมา
“อืม อร่อยมาก”
“หืม?” ซูฉางอันชะงักไปเขาคิดขึ้นในใจ...หรือฝีมือการทำอาหารของหรูเยว่จะดีขึ้นแบบก้าวะโระหว่างที่ตนหมดสติอยู่? เขานึกสงสัยขึ้นในใจแต่เมื่อเห็นกู่เซี่ยนจวินกินด้วยท่าทางมีความสุขเช่นนั้น จึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง“อร่อยก็กินเยอะๆ หน่อย เ้ายังาเ็อยู่ ต้องบำรุงร่างกายเสียหน่อยหากไม่พอค่อยให้หรูเยว่ไปทำเพิ่มอีกก็ได้”
พอได้ฟังดังนั้นอาหารที่คีบอยู่ที่ปลายตะเกียบก็ร่วงลงไปบนพื้นดินในทันที
ความซาบซึ้งใจและความหวานแหววที่เอ่อล้นอยู่ในใจอย่างยากจะลบล้างที่เคยมี พากันมลายไปสิ้น นางมองไปยังซูฉางอันด้วยดวงตาที่แสนงดงามซึ่งบัดนี้ถูกเติมเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้