Chapter twenty-six: the house
อากาศหนาวเย็นที่หายไปหลายเดือนกำลังกลับมากระทบที่ผิวอีกครั้ง ใบไม้ข้างนอกหน้าต่างเปลี่ยนจากสีเขียวชอุ่มกลายเป็สีส้มและน้ำตาลอ่อนคละกันไป และฝนที่ตกผะแ่อยู่ตลอดทั้งคืนนั้นก็เป็อีกสัญญาณที่ทำให้รู้ว่าฤดูใบไม้ร่วงได้คืบคลานเข้ามาแล้ว ดวงตากลมโตของแพทริเซียเหม่อมองออกไปมองใบไม้ที่กำลังร่วงลงมาทีละใบข้างนอกหน้าต่างอย่างใจเย็น อากาศเย็นชื้นทำโอเมก้าตัวเล็กต้องซุกหน้าลงไปกับผ้าพันคอนิ่มเพื่อหลบความหนาวเย็นนั้น กลิ่นของชาร้อนตรงหน้าตลบอบอวลอยู่ทั่วห้อง มือเล็กเอื้อมมือทั้งสองข้างไปััที่แก้วเซรามิกอุ่นร้อนนั้นไว้หวังจะคลายความเย็นที่มีมากจนปลายนิ้วเริ่มชา แพทริเซียไม่เคยชอบอากาศชื้นแบบนี้เลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็อากาศร้อนชื้นหรือเย็นชื้นมันก็มักจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีอยู่ตลอดและเขาเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน มีเพียงแค่ความรู้สึกไม่ชอบนั่นแหละที่มักจะมาทำให้เขานิ่งซึมอยู่แบบนี้บ่อย ๆ
หนังสือเล่มโตถูกเปิดพลิกทีละหน้าแต่คนที่กำลังเปิดหน้ากระดาษเ่าั้กลับไม่ได้สนใจเนื้อหาตรงหน้าเลยสักนิด ความเงียบเชียบของห้องกว้างนั้นมีเพียงแค่เสียงลมจากข้างนอกและเสียงพลิกหน้ากระดาษเท่านั้น จากวันหยุดที่เขาโปรดปรานกลับกลายเป็เพียงวันธรรมดาที่น่าเบื่อไปซะอย่างนั้น หากจะต้องมานั่งเบื่ออยู่อย่างนี้ สู้ให้เขาไปนั่งปวดหัวสอนอัลฟ่าขี้กวนนั่นยังจะดีกว่าอีก อย่างน้อยการที่ได้พูดคุยกับไซม่อนและเล่นสนุกกับเ้าแซมมี่ก็ไม่เคยทำให้เขาเบื่อซะจนอยากกลับบ้านทุกวันแบบนี้
เขาได้ยินมาจากพี่เลี้ยงและแม่นมของไซม่อนว่าใกล้จะถึงเวลาที่หลายวิชาที่อีกฝ่ายเรียนอยู่นั้นกำลังจะปิดคอร์สเรียนลง และนั่นก็ทำให้แพทริเซียได้ชื้นใจขึ้นมานิดหน่อยที่อย่างน้อยไซม่อนก็จะได้มีวันหยุดพักผ่อนกับเขาบ้าง ถึงแม้มันจะเป็เพียงไม่กี่สัปดาห์ก็เถอะ แต่ดวงตาอิดโรยของไซม่อนที่เขาได้พบในทุกวันที่เดินสวนกันมันก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดีขึ้นมาแปลก ๆ ชอบกล ไม่รวมกับตอนที่อีกฝ่ายมักจะชอบมาทิ้งตัวลงที่โซฟาตัวใหญ่และคอยบ่นกระปอดกระแปดกับเขาเื่ตารางเรียนที่อัดแน่นขึ้นทุกวันนั่นอีก และมันก็มีหลายครั้งที่แพทริเซียยอมเสียสละชั่วโมงการสอนตัวเองให้ไซม่อนได้งีบพักผ่อนบ้าง อย่างน้อยมันก็เป็เพียงแค่ไม่กี่อย่างที่เขาทำให้อีกฝ่ายได้นั่นแหละนะ
ถึงจะผ่านไปหลายสัปดาห์แล้วแต่แพทริเซียก็ยังคงติดอยู่กับความรู้สึกในคืนสุดท้ายของฤดูร้อนไม่ไปไหน สายตาอบอุ่นที่เขาได้รับพร้อมกับการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สื่อถึงความใส่ใจมันก็ยังทำให้เขาแพ้ทางคนอย่างไซม่อนอยู่ดี และไซม่อนก็คงไม่รู้หรอกว่าเขาพยายามมากแค่ไหนในการเก็บซ่อนสีหน้าของตัวเองและพยายามบังคับไม่ให้หัวใจเต้นแรงจนคนที่อยู่ข้างกันได้ยิน มีหลายครั้งที่เขาและไซม่อนอยู่ใกล้ชิดกันจนแพทริเซียต้องกลั้นหายใจ แต่ก็ยังดีที่เขายังมีสติอยู่บ้างจนพาตัวเองออกมาให้ห่างจากอีกฝ่ายได้สำเร็จ เพราะหากต้องอยู่ตรงนั้นต่อไป มีหวังเขาได้เผลอทำอะไรลงไปตามใจตัวเองแน่ ๆ
และทุกครั้งที่นึกถึงเื่ราวในวันนั้น
ก็จะทำให้เขายิ้มออกมาแบบยั้งตัวเองไม่ได้เลยสักนิด
แต่พอได้นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นก็ยังคงมีเื่ที่ทำให้แพทริเซียคิดมากกับมันไม่หยุดอยู่ซ้ำ ๆ อย่างนั้น ดูเหมือนว่าเื่นี้จะกวนใจเขามากกว่าเื่ของไซม่อนซะอีก ในตอนแรกที่ไปพายเรือกันแบบนั้นเขาก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะได้เจอเข้ากับบ้านหลังนั้น บ้านที่อยู่ในความฝันของเขาั้แ่่แรกที่มาอยู่ในคฤหาสน์ควินท์เรล บ้านที่ถูกล้อมรอบไปด้วยรั้วเหล็กสีดำดัดรูปดอกกุหลาบนั้นนั่นแหละที่ทำให้เขาขนลุกซู่ทันทีที่ได้หันไปมอง ทั้งที่เขาไม่ได้เข้าไปใกล้กับตัวบ้านเลยสักนิด ตอนนั้นเรือของพวกเขาแทบจะอยู่กลางลำธารและมันก็ค่อนข้างห่างไกลจากตัวฝั่งเหลือเกิน ในตอนแรกเขาเองก็ไม่ได้จะหันไปมองหรอกเพราะเขาเองก็มัวแต่เขินสายตาของอัลฟ่าตรงหน้าจนแทบไม่ได้สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้อะไรกลับดลใจให้เขาหันไปมองแบบนั้น และกว่าเขาจะรู้ตัวว่าตัวเองเอาแต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นก็ในตอนที่ไซม่อนมาแตะที่แขนของเขาจนสะดุ้งไปตามกันนั่นแหละ
แล้วใครจะไปเชื่อกันล่ะ ว่าบ้านหลังที่เขาเคยฝันถึงนั้นมันเป็หลังเดียวกันกับบ้านของคุณแม่ไซม่อน และยิ่งได้ฟังคำบอกเล่าที่ทำให้เขาแทบต้องกลั้นหายใจตอนที่กำลังฟังอยู่นั้นก็ทำให้เขาแทบจะสติแตกเลยด้วยซ้ำ แพทริเซียไม่ใช่คนที่เชื่อเื่ิญญาหรือสิ่งที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้หรอกนะ ก็ในสมัยนี้นั้นงานวิจัยมากมายที่ถูกตีพิมพ์ออกมามันก็ทำให้เราสามารถยึดติดกับความเป็จริงและไม่ต้องจมอยู่กับความเชื่องมงายแบบนั้นไม่ใช่เหรอ แต่เื่ราวความฝันของเขาและประวัติของบ้านโรสซีลินที่เขาได้ยินจากปากลูกชายแท้ ๆ ของคุณหญิงผู้ล่วงลับของตระกูลควินท์เรลก็ทำให้เขานั่งอึ้งไปอยู่พักใหญ่ หัวของเขาตื้อไปหมดจนแทบคิดอะไรไม่บอก ไร้ซึ่งเหตุและผลมารองรับของการที่คนนอกอย่างเขาจะฝันถึงบ้านโรสซีลินที่ถูกตั้งซ่อนไว้ในปราสาทที่ลึกลับอย่างควินท์เรล และต่อให้คิดทบทวนยังไง แพทริเซียก็คิดหาเหตุและผลมารองรับมันไม่ได้เลยสักนิด
แต่เขาเองก็ไม่ได้ด่วนสรุปหรอกนะ
ว่าสิ่งที่เจอมันคือเื่เหนือธรรมชาติอะไรพวกนั้นน่ะ
เ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยกมือขยี้ผมนุ่มของตัวเองจนมันยุ่งเหยิงไปหมดก่อนจะฟุบหน้าลงกับแขนตัวเองด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะทำยังไงเขาก็ไม่สามารถเลิกคิดเื่นี้ได้เลยสักนิด และมันก็ทำให้เขาเอาแต่จมความคิดของตัวเองจนเก็บไปฝันร้ายติดกันหลายคืนอีกนั่นแหละ และการฝันร้ายมันก็ทำให้เขาต้องทรมานกับความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องสะดุ้งตื่นแทบจะทั้งคืนอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ จะมีก็แต่วันที่เขาได้สอนไซม่อนนั่นแหละที่ทำให้เขาได้หลับสนิทอยู่บ้างเพราะอย่างน้อยก็มีคนที่จะรับฟังและไม่ได้มองว่าเขาประหลาด ขนาดเพื่อนสนิทของเขาก็ไม่ได้รู้เื่นี้เลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะคอยส่งข้อความถึงกันในทุกวันก็เถอะ
เพราะเื่นี้มันเกี่ยวข้องกับคุณแม่ของไซม่อน
และมันก็คงไม่ดีนัก ถ้าเขาจะเอาเื่นี้ไปคุยกับใคร
แล้วจู่ ๆ เสียงประตูไม้ก็ถูกเปิดออกจนคนที่กำลังฟุบอยู่ต้องรีบหันขวับไปมอง แต่คนที่อยู่หลังประตูบานนั้นก็โผล่มาแค่ผมสีเข้มและดวงตาลูกหมาเท่านั้น ต่อให้มองแค่แวบเดียว แพทริเซียก็รู้ได้เลยว่าคนที่เปิดประตูเข้ามานั้นเป็ใคร
“ไม่เคาะประตูหน่อยเหรอคุณไซม่อน”
“เราเคาะไปแล้วนะ” เ้าของเสียงทุ้มพูดพร้อมแทรกตัวเขามาในห้องและดันปิดประตูอย่างเบามือ
“เราไม่เห็นจะได้ยิน”
“เพราะคุณเอาแต่เหม่อต่างหาก”
“เราไม่ได้เหม่อสักหน่อย”
“คุณยอมรับเถอะแพท คุณเหม่อแบบนี้มาเป็สัปดาห์แล้ว”
อัลฟ่าหนุ่มพูดน้ำเสียงไม่ได้จริงจังนักและนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเขา แพทริเซียไม่ได้ตอบอะไรกลับอีกฝ่ายไปแต่ทำเพียงแค่มองหน้าอีกคนเงียบ ๆ เท่านั้น เพราะทุกอย่างมันก็เป็จริงอย่างที่ไซม่อนพูดทั้งหมดนั่นแหละ ก็ในเมื่อเขาฝันร้ายทุกคืนขนาดนั้น จะให้ตื่นมาสดชื่นในทุกวันแบบที่เคยเป็ก็คงจะแปลก ถุงกระดาษสีน้ำตาลถูกวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเลื่อนมาตรงหน้าด้วยฝีมือของอัลฟ่าที่อยู่ข้างกาย แพทขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนจะหยิบถุงนั้นออกมาเปิดดูและพบว่าเป็โดนัทที่เขาได้รับอยู่ทุกเช้า แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองนักหรอก ไม่ได้อยากจะคิดสักนิดว่าถุงที่ถูกวางนั้นไม่ใช่ฝีมือของสาวใช้แต่เป็ฝีมือของไซม่อน
หากคิดอย่างนั้นมันก็ดูเหมือนเป็การหลงตัวเองเกินไปละมั้ง
“เอามาฝากเราเหรอ?”
“อื้ม เดินผ่านครัวมา”
“แล้วทำไมคุณถึงรู้ว่าเราอยู่ที่นี่”
“เราถามคนนั้นที่ชื่อเบลล์ เขาบอกคุณนั่งอยู่ที่นี่คนเดียวมาเป็ชั่วโมงแล้ว”
“เลยมาอยู่เป็เพื่อนเราเหรอ?”
“อื้ม” อัลฟ่าหนุ่มตอบกลับมาพร้อมหยิบโดนัทเข้าปากอย่างสบายใจ
แต่เพราะท่าทางที่ดูสบายใจมากและตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแบบนั้นก็ทำให้ใบหน้าหวานขึ้นสีทันที แพทริเซียเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชามากอบกุมไว้ในมือก่อนจะแสร้งเป่ามันทั้งที่ไอร้อนแทบจะไม่มีแล้วด้วยซ้ำ แต่ขอแค่ได้หาอะไรทำให้หลบหน้าคนข้าง ๆ สักครู่นึงมันก็คงจะดีกว่าการที่ต้องหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยตรงละนะ
“วันนี้คุณต้องทำอะไรหรือเปล่า?”
“หือ เราเหรอ?” แพทริเซียเงยหน้าขึ้นมามอง
“ใช่ วันนี้เราเรียนเสร็จแล้ว”
“เราไม่ได้ทำอะไรแล้ว ทำแผนการสอนส่งคุณเจมส์เรียบร้อยหมดแล้วละ”
“งั้นอยากไปบ้านของคุณแม่ไหม?”
“วันนี้เลยเหรอ?” แพทริเซียเบิกตากว้างด้วยความใจนคนถามต้องหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู
“วันนี้แหละ”
“ทำไมต้องวันนี้ด้วย เรายังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยนะ” คนตัวเล็กบ่นอุบอิบพลางรีบเก็บของที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยความร้อนรน
“รีบไปนั่นแหละดีแล้ว คืนนี้คุณจะได้นอนหลับสนิทสักทีไง”
ไซม่อนตอบพร้อมส่งยิ้มอบอุ่นมาให้จนทำแพทริเซียชะงักไปครู่นึง ทั้งที่มันเป็คำพูดปกติทั่วไปด้วยซ้ำแต่เพราะั์ตาคมที่แฝงความเป็ห่วงส่งมาให้นั่นแหละทำเขาต้องรีบก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ
“ขอบคุณนะ” แต่ก็ไม่วายต้องบอกขอบคุณเขาด้วยเสียงแ่เบาอยู่ดี
เสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ของอัลฟ่าหนุ่มดังขึ้นทันทีที่เขาเอ่ยประโยคขอบคุณจบ อีกฝ่ายเดินนำไปรอที่ประตูไม้บานใหญ่ก่อนจะเปิดมันค้างไว้อย่างนั้นพลางมองมาทางเขาที่กำลังหอบของพะรุงพะรังอยู่เต็มทั้งสองมือ
“เดี๋ยวช่วยถือ”
“ไม่เป็ไรคุณ เราถือได้”
“เอามานี่เถอะคุณแพท ให้เราช่วยนะ”
ไซม่อนก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนจะดึงถุงกระดาษและกระเป๋าที่เขากอดอยู่แนบอกไปถือไว้ในมือเดียว และยังไม่ทันที่แพทริเซียจะได้เอ่ยทักท้วงอะไร อีกฝ่ายก็พยัดพเยิดหน้าเป็เชิงให้เดินออกไปจากประตูสักทีจนเขาต้องรีบก้าวออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งตัวอะไรเลยสักนิด
ถึงการกระทำเล็กน้อยเ่าั้จะดูงุนงงสักหน่อย
แต่มันกลับทำให้ใจเขาเต้นแรงซะจนเกือบะเิออกมาด้วยซ้ำ
ไซม่อนนี่อันตรายมากจริง ๆ
- Simon’s theory -
เสียงของฝ่าเท้าที่ย่ำลงไปกับพื้นหญ้าชุ่มนั้นดังเฉอะแฉะซะทำให้แพทริเซียรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก สวนฝั่งข้างคฤหาสน์ที่เขาไม่เคยแม้แต่จะก้าวผ่านเลยสักนิดนั้นเต็มไปด้วยดอกกุหลาบหลากหลายพันธุ์ที่ถูกปลูกไว้จนทั่ว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของกุหลาบป่าโชยเข้ามาแตะที่จมูกทันทีที่ลมเย็นพัดผ่านและกลิ่นนั้นก็ยิ่งทำให้แพทรู้สึกเย็นวาบที่หลังคอทันทีเพราะความคุ้นเคย และถึงความรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นนี้มันจะมีมากแค่ไหนแต่มันก็ไม่ได้ทำให้แพทคิดออกเลยสักนิดว่าเขาเคยได้กลิ่นมาจากที่ไหน แถมเขายังรู้สึกว่ามันยิ่งยากมากขึ้นไปอีกเมื่อกลิ่นเรานั้นเริ่มส่งกลิ่นหอมเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปใกล้ประตูรั้วสีเหล็กสีดำที่อยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าวแล้ว
ภาพความทรงจำที่เขาฝันถึงผุดซ้อนขึ้นมาทันทีที่แพทมาหยุดยืนที่หน้าประตูรั้ว รั้วเหล็กสีดำดัดเป็รูปกุหลาบสวยงาม และต่อให้ไซม่อนมักจะบอกย้ำซ้ำ ๆ ว่าบ้านหลังนี้อาจจะดูเก่าหรือทรุดโทรมแต่พอเขาได้มาเห็นใกล้ ๆ ด้วยสองตาของตัวเองมันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ เสียงประตูเหล็กบานใหญ่ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของคนที่ถือลูกกุญแจโบราณไว้ในมือ ไซม่อนค่อย ๆ ไขมันและผลักประตูบานใหญ่ออกช้า ๆ วินาทีที่ประตูค่อย ๆ ถูกเปิดออกนั้นทำแพทริเซียกลั้นหายใจอยู่ชั่วครู่อย่างไม่รู้ตัว และเมื่อประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกเขาก็พบว่าทุกอย่างที่เขาได้เห็นตรงหน้าตอนนี้นั้นมันเหมือนกับในความฝันของเขาแทบจะทุกอย่าง มีเพียงแค่ความรกร้างที่ไม่ได้เหมือนกับในฝันนั่นแหละที่ทำให้เขาโล่งใจขึ้นมาเปราะนึง สภาพบ้านหลังเล็กนั้นไม่ได้ดูทรุดโทรมเท่าไหร่นัก และยิ่งดอกกุหลาบสีแดงสดที่ถูกปลูกไว้รอบบ้านนั่นก็ยิ่งทำให้บรรยากาศของบ้านนั้นดูสดชื่นไม่เหมือนกับบ้านที่ไร้ซึ่งคนอยู่อาศัยเลย
แพทริเซียก้าวขาเรียวเดินตามแผ่นหลังกว้างของไซม่อนเงียบ ๆ ไปยังบ้านหินทรงโบสถ์หลังเล็กที่ถูกตั้งอยู่ตรงหน้า ดวงตากลมโตยังคอยมองรอบตัวอย่างระแวดระวังเพราะความฝันมันทำให้เขากลัวเหลือเกินในการที่จะก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ และยิ่งได้เห็นว่าบ้านที่เขาเคยฝันถึงเป็เหมือนกับความจริงทุกอย่างก็ทำให้หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นอยู่ตลอดที่ก้าวเข้าไปใกล้ หากมีใครสักคนมากระชากเขาจากด้านหลังเหมือนกับในฝัน สาบานได้เลยว่าแพทริเซียจะเปลี่ยนอาชีพในอนาคตของตัวเองให้เป็หมอดูหรือนักทำนายอะไรพวกนั้นแทนที่จะเป็นักแสดงหรือคนเขียนบทแน่ ๆ
แล้วแพทริเซียก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงเปิดประตูที่คุ้นเคยดังขึ้น แต่ก็ยังโชคดีที่คนที่กำลังเปิดอยู่นั้นเป็ไซม่อนและอีกฝ่ายก็ยังหันมายิ้มให้ก่อนที่ก้าวเข้าไปในบ้านหลังเล็ก โอเมก้าตัวขาวเอื้อมมือขึ้นมาหยิกแขนตัวเองเล็กน้อยเพื่อย้ำเตือนกับตัวเองว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ใช่ความฝัน สุดท้ายก็ต้องสะดุ้งเพราะความเจ็บจากแรงหยิกของตัวเองนั่นแหละถึงทำให้เขาต้องส่ายหัวน้อย ๆ เพราะความบ้าบอของตัวเอง
“เข้ามาสิ เราเปิดไฟไว้หมดแล้ว”
“ไม่จุดเทียนเหรอ?”
“เทียน? นี่มันยุคไหนแล้วคุณแพท” ไซม่อนหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามแปลก ๆ จากโอเมก้าที่กำลังทำตัวเงอะงะอยู่ตรงหน้าประตู
“ก็มัน.. ช่างมันเถอะ”
ต่อให้อธิบายไปไซม่อนก็คงไม่เข้าใจเขาหรอก เพราะถึงจะเล่าเื่ความฝันของตัวเองละเอียดมากแค่ไหนแต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกับสถานที่อยู่แล้วก็คงไม่เข้าใจถึงความน่ากลัวในการฝันถึงสถานที่แปลก ๆ ที่ตัวเองไม่เคยแม้แต่จะพบเจอหรอก นึกแล้วก็อยากจะเดินไปหยิกไซม่อนสักที โทษฐานที่หัวเราะตอนที่เขาถามน่ะ ก็ใครมันจะไปรู้กันล่ะ ในเมื่อในฝันของเขาบ้านหลังนี้ถูกจุดเทียนตั้งไว้แทบจะทุกที่เลยด้วยซ้ำ คนตัวเล็กเลื่อนมือขึ้นตบสองข้างแก้มของตัวเองเพื่อตั้งสติก่อนจะถอนหายใจออกมายาว ๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่หยุด
อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็อยู่ในโลกแห่งความจริงละนะ
หรือถ้าหากจะมีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยเขาก็ยังมีทายาทควินท์เรลอยู่ด้วย
คงไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาหรอกมั้ง
ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในบ้าน บรรยากาศที่แสนอบอุ่นผิดกับสิ่งที่เขาคิดไว้มาตลอดก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจ ของตกแต่งในบ้านนั้นไม่ได้ต่างจากบ้านของคนทั่วไปที่เขาเติบโตมาแต่มันก็น่าแปลกใจเพราะเขาไม่คิดว่าจะได้เจออะไรที่แสนธรรมดาแบบนี้ในเขตคฤหาสน์ควินท์เรลเลยด้วยซ้ำ ดวงตากลมโตไล่มองไปรอบห้องโถงที่มีโซฟาตัวเล็กตั้งอยู่ตรงกลางและเตาผิงไฟที่ดูเหมือนจะไม่ได้ถูกใช้งานมานานก็ไม่ได้ดูสกปรกอย่างที่คิด เสียงของหน้าต่างที่ยังคงถูกไล่เปิดทีละบานด้วยฝีมือของอัลฟ่าหนุ่มยังคงดังขึ้นเป็ระยะ แพทริเซียก้าวเล็ก ๆ ทีละก้าวก่อนจะไปหยุดที่หลังของไซม่อนด้วยความประหม่า
“คุณไปนั่งสิ”
“เราเกรงใจ”
“เกรงใจอะไร?”
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ปัง!
แพทริเซียเม้มปากแน่นเมื่อเสียงบานหน้าต่างกระแทกดังจนต้องทำให้เลื่อนมือไปจับที่ชายเสื้อของไซม่อนอย่างไม่รู้ตัว
“ขอโทษที ใไหม?”
อัลฟ่าหนุ่มรีบหันกลับมาดูคนที่หลับตาและกำชายเสื้อตัวเองแน่นด้วยความใ โอเมก้าตัวขาวยืนตัวสั่นจนไซม่อนทำอะไรแทบไม่ถูก ฝ่ามือหนาเลื่อนขึ้นแตะแ่เบาที่แผ่นหลังเล็กแล้วลูบขึ้นลงหวังจะคลายความกลัวให้อีกคน เ้าของดวงตากลมโตที่หลับตาแน่นซ่อนอยู่ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะช้อนตามองใบหน้าของคนที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ คนตัวขาวพยักหน้าส่งให้น้อย ๆ ก่อนจะคลายมือออกจากชายเสื้ออีกคน
แรงดันจากฝ่ามือใหญ่ผลักให้แพทริเซียเดินไปที่โซฟาตัวเล็กก่อนจะกดไหล่เล็กทั้งสองข้างให้นั่งลง แพทริเซียไม่ได้พูดอะไรแต่ทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นไปมองอัลฟ่าหนุ่มเท่านั้น จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ใช่คนขี้ใอะไรขนาดนั้นหรอกแต่เพราะความฝันที่นั่นแหละที่ทำให้จิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักนิด แล้วพอได้ยินเสียงดังกะทันหันแบบนั้นเลยทำให้ใซะจนเข่าเกือบอ่อน
“ดีขึ้นไหม?”
“อื้อ เราแค่ในิดหน่อย”
“ขอโทษนะ คุณหน้าซีดเลย ไม่เป็อะไรแน่ใช่ไหม?” คนตัวสูงทรุดตัวนั่งลงคุกเข่าตรงหน้าพร้อมมองใบหน้าหวานด้วยความเป็ห่วง
“เราไม่เป็อะไรแล้ว เดี๋ยวก็คงดีขึ้น”
“งั้นนั่งพักก่อนนะ”
แพทริเซียพยักหน้าตอบรับอีกฝ่ายไปทันที ไซม่อนมองเขาอยู่อย่างนั้นสักพักจนเขาต้องเอ่ยพูดซ้ำ ๆ ว่าไม่เป็ไร เขาถึงยอมลุกไปเปิดหน้าต่างที่เหลือต่อ โอเมก้าตัวเล็กขยับตัวพิงนั่งที่โซฟาตัวเล็ก ดวงตากลมโตมองตามไซม่อนที่กำลังเดินไปเปิดหน้าต่างทีละบานจนเขาสังเกตเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นเปื้อยยิ้มน้อย ๆ ทุกครั้งที่มองออกไปนอกหน้าต่าง และโอเมก้าขี้สงสัยอย่างเขามีเหรอที่จะนั่งอยู่เฉย ๆ
“บอกให้นั่งพักก่อนไง”
“ก็เราอยากรู้ว่าคุณยิ้มอะไร”
“เรามาดูดอกกุหลาบที่เราปลูกไว้ สวยไหม?”
ไซม่อนเบี่ยงตัวให้คนตัวเล็กเข้ามายื่นข้างกันพลางชี้ไปยังกลุ่มดอกกุหลาบที่เขาตั้งใจปลูกไว้อย่างดี ถึงใบของมันจะเริ่มเปลี่ยนสีไปแล้วแต่สีแดงสดของกลีบกุหลาบยังคงไม่ได้เปลี่ยนไปนักแม้ฤดูกำลังผลัดเปลี่ยน
“เดี๋ยวเราจะมาตัดดอกกุหลาบก่อนหมดฤดูใบไม้ร่วง”
“ทั้งบ้านนี่เลยเหรอ?”
“อื้ม”
“คุณจะทำไหวเหรอไซม่อน มันไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ” เสียงหวานเอ่ยท้วง
“ไหวสิ เราทำมันทุกปี”
“แล้วคนสวนล่ะ?”
“เราไม่เคยให้ใครมายุ่งกับกุหลาบของคุณแม่”
อัลฟ่าหนุ่มเท้าคางกับขอบหน้าต่างพร้อมตั้งใจมองกุหลาบเ่าั้ด้วยแววตาภูมิใจ แพทริเซียเองก็อยากจะหันไปมองดอกกุหลาบเ่าั้กับเขาอยู่หรอก แต่พอได้เห็นแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยนแบบนั้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถละสายตาจากไซม่อนได้เลยสักนิด
“งั้น... เราขอช่วยได้ไหม?”
ไซม่อนหันกลับมามองหน้าเขาพร้อมกับส่งยิ้มและพยักหน้าให้เป็คำตอบ และในตอนที่สายตาของเขาทั้งคู่สบกัน แพทริเซียก็ไม่อาจเมินหน้าหลบั์ตาคมของอัลฟ่าตรงหน้าได้แม้จะอยากหลีกหนีมากแค่ไหนก็เถอะ จังหวะหัวใจที่กำลังเต้นแรงขึ้นทีละนิด และแพทก็ไม่รู้ว่าแรงดึงดูดมากมายที่ทำให้เขากำลังขยับเข้าไปหาคนตัวโตกว่านั้นมันมาจากไหน ยังไม่ทันที่เขาจะได้ขยับเข้าไปใกล้มากกว่านั้น เสียงฝนจากภายนอกตัวบ้านก็ตกลงกระทืบกับพื้นอย่างหนัก และมันก็ทำให้เขาทั้งคู่หลุดจากภวังค์ก่อนจะเมินหน้าหนีกันในทันที
“ฝน ฝนตก” เ้าของเสียงทุ้มกระแอมออกมาน้อย ๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศ
“งั้นเราก็ต้องตากฝนกลับเหรอ?”
“แบบนั้นเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”
“นั่นสิ”
“หลบฝนอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ มันคงไม่ตกทั้งวันหรอกมั้ง นะ”
เสียงออดอ้อนที่ถูกใช้ในคำสุดท้ายของประโยคทำหูของแพทริเซียขึ้นสีทันที และคำตอบของเขาจะเป็อะไรไปได้ล่ะ นอกจากจะยอมติดฝนอยู่กับอัลฟ่าข้างกายสองต่อสองแบบนี้
แพทริเซียน่ะ
ขัดไซม่อนไม่ได้หรอก
– Simon’s theory -