Chapter twenty-five: summer night
แสงแดดยามบ่ายสะท้อนกับพื้นผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับ ชวนให้สองคนที่นั่งอยู่บนเรือมองผิวน้ำใสอย่างเพลิดเพลิน แดดที่เคยร้อนจัดในตอนเช้าแปรเปลี่ยนเป็แดดอุ่นที่มาพร้อมกับลมเย็นเพียงเท่านั้น ทั้งที่ในตอนแรกเขาคิดว่าอากาศจะต้องร้อนซะจนแผนที่วางไว้จะต้องล่มแน่ ๆ แต่พอตก่บ่ายอากาศกลับเย็นขึ้นซะจนไซม่อนยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจในทันที อากาศช่างดูเป็ใจให้กับอัลฟ่าหนุ่มจอมวางแผนซะเหลือเกิน
ดวงตาคู่สวยของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามถูกบดบังด้วยเงาของหมวกใหญ่ แต่แววตาที่เป็ประกายนั้นก็ยังคงฉายแววแห่งความสุขจนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้ เสียงจ้วงของไม้พายที่กระทบลงกับน้ำดังขึ้นเป็ระยะ ท่ามกลางเสียงนกที่ขับร้องและใบไม้ที่พัดปลิวตามแรงลม บทสนทนาที่เงียบหายไปั้แ่พวกเขาขึ้นเรือกันมาก็ไม่ได้ถูกสานต่ออีกเลย ทั้งที่เขาเองก็มีเื่มากมายที่อยากพูดคุยกับคนตรงหน้า แต่พอได้เห็นรอยยิ้มพร้อมสายตาที่มองไปยังบรรยากาศรอบ ๆ ตอนนี้ก็ทำเอาเขาพูดไม่ออกเลยสักนิด
แพทริเซียดูมีความสุขกับการพายเรือมาก
ตลอดเวลาทั้ง่เช้าเขาและแพทเอาแต่พูดคุยหยอกล้อกันไปมาทั้งที่ความเขินที่มีกับบทสนทนาก่อนหน้ามันทำให้เขาทั้งคู่ใบหน้าขึ้นสีกันทั้งคู่ มันไม่ใช่แค่แพทริเซียหรอกที่เอาแต่ก้มซ่อนใบหน้าเขินอายในขณะที่คุยกัน แต่ตัวเขาเองก็ต้องพยายามเมินหน้าหนีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นหูที่กำลังแดงอยู่เหมือนกัน ไซม่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปแบบนั้น รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาได้เห็นใบหน้าอึ้ง ๆ ของอีกฝ่ายที่มองตอบกลับมาแทนคำพูดนั่นแหละ มันน่าอายชะมัด
เขาใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์ในการอ่านหนังสือเล่มนั้นและมันก็ทำให้เขาได้เรียนรู้กับอะไรที่เขาไม่เคยได้เข้าใจมาก่อน สิ่งที่เขาเคยคิดว่ามันเป็เพียงเื่ธรรมดาทั่วไปแต่แท้ที่จริงแล้วมันกลับมีชื่อเรียก เพราะหนังสือเล่มนี้จึงทำให้ไซม่อนได้เข้าใจว่าความรู้สึกที่เขาโหยหาแพทริเซียมากมายเหลือเกินในขณะที่ต้องห่างกันมันคือความรู้สึกของการคิดถึง การคิดถึงที่ไม่ได้มาในรูปแบบของการอยู่ห่างไกลกันกับอีกคนแต่กลับเป็ความคิดถึง่เวลาที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน และโอเมก้าตัวขาวตรงหน้าก็ได้ทำให้เขาได้ัักับความรู้สึกนี้ป็นครั้งแรกในชีวิต
ความคิดถึงที่ไม่ได้ทรมานเหมือนในตอนที่เสียคุณพ่อไป เขาไม่ได้เ็ปกับการคิดถึงซะจนทำให้รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเหมือนอย่างทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกอยากตั้งใจทำทุกอย่างให้เวลาผ่านพ้นไปให้เร็วที่สุดและเฝ้ารอกับปลายทางที่นับถอยหลังในวันที่เขาจะได้ใช้เวลาร่วมกับแพทริเซียอีกครั้ง
ตอนแรกก็คิดว่าจะเหมือนกับตอนที่เจซไปต่างเมืองซะอีก
แต่พอได้มาลองคิดดูจนแน่ใจแล้ว
ไม่เหมือนสักนิดเลย
มือทั้งสองข้างของอัลฟ่าหนุ่มยังคงกำก้านไม้พายไว้อย่างมั่นคง แต่สายตาที่ควรจะจ้องมองทางตรงหน้ากลับเปลี่ยนมาจับจ้องที่แพทริเซียแทนซะอย่างนั้น มีหลายครั้งเหลือเกินที่ไซม่อนคิดว่าตัวเองได้สูญเสียการควบคุมไปเมื่อได้อยู่กับโอเมก้าตัวขาวตรงหน้า เขาไม่เป็ตัวของตัวเองจนทุกครั้งก่อนนอนจะต้องกลับมาทบทวนความคิดอยู่แทบตลอด และยิ่งในตอนที่มือของเขาและแพทริเซียได้ัักัน มันก็ทำให้เขาได้เข้าใจ ว่าเขาใจเต้นแรงกับคนตรงหน้าไปซะแล้ว
สองข้างทางที่เรือของพวกเขาเคลื่อนผ่านยังคงมีแต่ต้นไม้และดอกไม้ที่ถูกดูแลอย่างดีในทุกวัน ในส่วนของข้างคฤหาสน์ยังคงมีคนงานมากมายที่กำลังทำความสะอาดแบบที่เขาชินตาเป็ประจำ เพราะคุณย่าของเขาเป็คนเ้าระเบียบและให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาสิ่งของรอบตัวอยู่ตลอด ไซม่อนจึงแทบไม่เคยเห็นคฤหาสน์ควินท์เรลเสื่อมโทรมลงเลยสักครั้ง
“กว้างจัง...”
เขาเองที่ไม่เคยได้รู้เหมือนกันว่าบ้านของเขาที่ใครต่อใครเรียกมันว่าคฤหาสน์นั้นกว้างมากขนาดไหน แต่พอได้ฟังคำเพ้อ ๆ ที่ออกมาจากปากคนตรงหน้าแบบนั้นก็ทำให้ไซม่อนต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างห้ามไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยแม้แต่จะก้าวออกจากรั้วคฤหาสน์เลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาจึงไม่เคยได้เห็นบ้านปกติของคนทั่วไปกับตาตัวเองเลยสักครั้ง และนั่นก็ทำให้ความสงสัยมากมายเกิดขึ้นในใจของอัลฟ่าหนุ่มอีกครั้ง
“คุณแพท”
“หือ?” เ้าของใบหน้าหวานผินกลับมามองตามเสียงเรียกทันที
“บ้านที่คุณแพทอยู่เป็ยังไงเหรอ?”
“บ้านเรา?” แพทริเซียชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความงุนงงทันทีที่เขาถามอีกฝ่ายออกไป
“ใช่ บ้านคุณแพทนั่นแหละ”
“หมายถึงบ้านของเราที่คอตตอนเทลน่ะเหรอ?”
“อื้ม”
“ก็เหมือนบ้านธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ ไม่ได้ต่างจากบ้านคนอื่นเขาเลย”
“เหมือนบ้านเราไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลังเล
“บ้านคุณแทบจะเป็พระราชวังอยู่แล้วไซม่อน จะเหมือนได้ยังไงกันล่ะ”
“ก็เราไม่เคยเห็นนี่” อัลฟ่าหนุ่มบ่นอุบอิบทันทีที่ได้ฟังน้ำเสียงของอีกฝ่าย
“บ้านเราหลังไม่ใหญ่เท่าบ้านของคุณหรอก แต่ก็มีความสุขนะ”
อัลฟ่าหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักพร้อมรับคำพูดของอีกคน มีหลายครั้งที่แพทริเซียมักจะเล่าเื่ที่บ้านของตัวเองให้ฟังและก็เป็เขาเองนั่นแหละที่เอาแต่นั่งเงียบรับฟังอีกฝ่ายเท่านั้น ไซม่อนแทบจะจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่าครอบครัวเล็กที่แสนอบอุ่นนั้นเป็ยังไง เพราะเขาเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวใหญ่ที่กับบางคนเขาเองก็แทบจะไม่เคยพูดคุยกันด้วยซ้ำทั้งที่อยู่ในคฤหาสน์เดียวกัน และเขาก็เคยชินกับการที่ต้องนั่งจดจำบรรดาญาติของตัวเองจากการท่องจำผ่านหนังสือของตระกูลเท่านั้น
คำว่าครอบครัวเล็กที่แสนอบอุ่นแบบนั้นน่ะ
เขาไม่เคยจะได้ััถึงมันหรอก
เสียงเจื้อยแจ้วของแพทริเซียที่กำลังบรรยายถึงบ้านหลังเล็กที่แสนอบอุ่นของตัวเองทำให้ไซม่อนต้องยิ้มออกมา เพียงแค่ได้ฟังจากที่แพทริเซียเล่าก็ทำให้เขารู้ได้เลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีความรักมากมายที่พร้อมจะมอบให้คนรอบตัวขนาดนี้ เพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กน้อยที่แพทริเซียได้มอบให้ก็ทำให้เขารู้สึกถึงมันได้ในทุกวัน เขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาถึงไว้วางใจคนตรงหน้าได้มากถึงขนาดนี้ มากถึงขนาดที่เขาพร้อมจะบอกทุกอย่างที่อีกฝ่ายถามได้ในทุกเวลาเลยด้วยซ้ำ
และไซม่อนก็รู้สึกว่าความไว้ใจมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
แต่เขากลับไม่เคยกลัวที่จะมอบมันให้กับคนตรงหน้าเลยสักครั้ง
‘อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ’ นั่นเป็คำพูดของคุณพ่อที่พร่ำสอนเขามาั้แ่เด็กจนโต ตอนที่เขายังเด็กอยู่นั้นเขาก็คิดอยู่เสมอว่าคุณพ่อคงจะพูดด้วยความเป็ห่วง แต่ในความคิดของเขา ความเป็ห่วงที่คุณพ่อมีให้ลูกชายเพียงคนเดียวในวัยนั้นก็คงเป็เพียงแค่การถูกหลอกให้กินอะไรแปลก ๆ เพียงแค่นั้น แต่เมื่อเขาโตขึ้น ความหมายของคำสอนจากคุณพ่อก็ดูจะเปลี่ยนไปจากมุมมองของเขาที่กำลังโตขึ้นทีละนิด ทั้งที่เขาได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่น่าจะดูปลอดภัยที่สุด เขาได้อยู่ใต้การรักษาความปลอดภัยที่มีอย่างหนาแน่นตลอดทั้งวันทั้งคืน อยู่ภายในสายตาพี่เลี้ยงและแม่นม รวมทั้งคนในคฤหาสน์ทั้งหลังแทบจะทุกนาทีเลยด้วยซ้ำ
แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่มีใครสักคนที่สามารถไว้ใจได้
แม้แต่กับญาติที่มีสายเืเดียวกันก็ตาม
และพอบุคคลสุดท้ายในชีวิตของเขาที่เป็เ้าของคำพร่ำสอนเ่าั้ลาลับจากโลกนี้ไป เขาก็เหลือเพียงแค่เจซเท่านั้นที่เป็เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เขาไว้ใจจะพึ่งพิงทุกเื่ได้ เอาเข้าจริงแล้ว ความคิดของเขาที่ไม่เคยคิดจะต่อต้านคำสั่งที่ต้องอยู่เพียงในคฤหาสน์หลังนี้นั้นเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดเมื่อเขาเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้รู้หรอกว่ามันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่ จากที่เขาไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกลิดรอนอิสระภาพไปั้แ่เมื่อไหร่ แต่ในตอนนี้เขากลับโหยหามันเหลือเกิน ไซม่อนไม่ได้คิดถึงการหลบหนีจากคฤหาสน์หลังนี้สักนิดเพราะยังไงเขาก็ยังรักครอบครัวของเขาอยู่เสมอ ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเขากับคนในครอบครัวมันจะไม่ได้แน่นแฟ้นเท่าความสัมพันธ์ของเขากับแซมมี่เลยสักนิดก็เถอะ แต่เขาหวังเพียงแค่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปบ้างเป็ครั้งคราวก็เพียงเท่านั้น
และความหวังเ่าั้ก็ดูช่างริบหรี่เหลือเกิน
เรือลำเล็กถูกเคลื่อนไปบนผิวน้ำใสช้า ๆ ด้วยฝีมือการพายของไซม่อนและแพทริเซีย คลื่นน้ำที่ค่อนข้างสงบทำให้การล่องเรือของพวกเขาในครั้งนี้ที่เป็ไปอย่างไม่ยากลำบากนัก ถึงท่าทางของคนทั้งคู่จะดูเงอะงะอยู่บ้างจากการพายเรือด้วยกันครั้งแรกแต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำมันออกมาได้ดีซะจนเขานึกอยากจะพาแพทริเซียออกมาพายเรือเล่นกันอย่างนี้ทุกวันด้วยซ้ำ
ดวงหน้าหวานของคนที่มักจะพูดอวดเื่การพายเรือกับเขานั้นเริ่มชื้นเหงื่อขึ้นน้อย ๆ จนไซม่อนสังเกตเห็นได้ และทุกครั้งที่เขาพยายามจะจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายในตอนที่ทำหน้าเหน็ดเหนื่อยกับการพายเรือ แพทริเซียก็จะพยายามปรับสีหน้าให้เป็ปกติซะจนเขาเองก็อดขำกับอาการเ่าั้ไม่ได้ เขารู้ดีว่าอีกฝ่าย้าจะที่แสร้งทำเหมือนกับว่าการถือไม้พายเคลื่อนเรือลำนี้นั้นมันไม่ได้ยากเย็นอะไรแต่เพียงแค่สีหน้าที่ไม่เหมือนเดิมก็ทำให้ไซม่อนรู้สึกได้แล้วว่าแพทนั้นกำลังเหนื่อยมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายแบบที่จะไปพูดหักหน้าอีกฝ่ายหรืออะไรแบบนั้นหรอก มีเพียงแค่การเพิ่มแรงพายของตัวเองนั่นแหละที่คนอย่างไซม่อนจะทำได้ อย่างน้อยก็ทำให้อีกฝ่ายได้ยิ้มมากขึ้นแค่นั้นเขาก็พอใจแล้วละ
แต่จู่ ๆ ใบหน้าหวานนั้นก็ถอดสีทันทีที่หันไปมองริมฝั่งแม่น้ำ ดวงตากลมโตสั่นระริกและมือทั้งสองข้างที่กำลังจับไม้พายอยู่ก็กำมันแน่นขึ้นซะจนทำให้ไซม่อนใตามไปด้วย แต่สถานที่ที่แพทริเซียจ้องอย่างไม่วางตาอยู่นั้นก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที
เพราะบ้านหลังเล็กในรั้วเหล็กสีดำที่อยู่หลังคฤหาสน์หลังนั้น
มันเป็บ้านพักของคุณแม่ของเขา
“คุณแพท”
“..”
“แพทริเซีย”
มือเล็กทั้งสองข้างยังคงกำไม้พายไว้แน่นเหมือนเดิม ในตอนนี้แพทริเซียนั่งนิ่งไม่สนใจคำพูดที่เขาเรียกเลยสักนิด ราวกับว่าแพทนั้นไม่ได้ยินเสียงของเขายังไงอย่างนั้น เขาตัดสินใจเอื้อมฝ่ามือใหญ่ของเขาไปแตะบนแขนเล็กอย่างแ่เบา แต่อีกฝ่ายกลับสะดุ้งสุดตัวจนเขาต้องรีบชะงักมือกลับด้วยความใ
“คุณแพท เป็อะไรหรือเปล่-”
“บ้านหลังนั้น”
“ครับ?”
“ใคร.. ใครอยู่บ้านหลังนั้นเหรอ?” อีกฝ่ายพูดเสียงสั่นพร้อมชี้นิ้วให้เขาดู
ไซม่อนขมวดคิ้วด้วยความงุนงงก่อนจะมองตามมือเล็กนั้นด้วยความไม่เข้าใจ ถ้าหากจะมองเพราะความสวยงามของบ้านหลังเล็กนั้นเขาก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่นี่คนตรงหน้ากลับมองด้วยความใและแววตาที่แฝงความกลัวอยู่นั่นอีก ทั้งที่บ้านหลังนั้นก็แทบจะไม่มีใครเคยเห็นหรือได้ก้าวเข้าไปด้วยซ้ำ จะมีเพียงก็แต่แม่บ้านที่เข้าไปทำความสะอาดและซ่อมแซมสิ่งของในบ้านทุกวันอาทิตย์ แล้วก็มีเพียงเขาเท่านั้นแหละที่จะเข้าไปใช้เวลาอยู่ที่นั่นในวันเกิดและไปอยู่เพื่อระลึกถึงวันที่เขาได้เสียผู้เป็แม่ไปจากโลกใบนี้ ถึงเขาและแม่นั้นจะแทบไม่เคยได้พูดคุยกันเลยสักครั้ง แต่สายใยความเป็แม่ลูกและเื่ราวที่คุณพ่อมักจะคอยเล่าให้เขาฟังว่าคุณแม่นั้นรักเขามากแค่ไหนมันก็ทำให้เขารู้สึกถึงมันอย่างไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายด้วยซ้ำ
บ้านหลังเล็กที่ถูกสร้างโดยความตั้งใจของคุณพ่อที่อยากจะให้คุณแม่ได้มีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองบ้าง เป็บ้านหลังที่คุณแม่ใฝ่ฝันที่จะอยากมีมันมาตลอด บ้านที่ไม่ใช่คฤหาสน์ใหญ่โตที่จะต้องห่างเหินกับทุกคนแต่เป็เพียงบ้านหลังที่คุณแม่จะสามารถทำขนมและเพลิดเพลินไปกับมุมเล็ก ๆ ของบ้านเพื่อที่จะนั่งอ่านหนังสือที่ท่านชอบ ได้มีมุมปลูกดอกกุหลาบที่ท่านโปรดปรานที่สุด ถึงท่านจะจากไปแล้วแต่ของทุกชิ้นที่เคยถูกวางไว้ในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็ยังคงถูกวางไว้ที่เดิมไม่เคยเปลี่ยนไป แม้แต่หนังสือเล่มโปรดของคุณแม่ที่วางอยู่คู่กับผ้าพันคอที่ท่านชอบก็ยังไม่ถูกขยับเขยื้อนไปไหน มีหลายครั้งที่เขาแอบได้ยินสาวใช้มักจะซุบซิบตอนที่คุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ คำพูดมากมายที่เอาแต่พูดว่าคุณพ่อของเขานั้นอาจจะบ้าไปแล้วที่เสียคนรักไปจึงเอาแต่วนเวียนไปที่บ้านหลังเล็กนั้นที่คุณแม่ไม่ได้อยู่อีกแล้ว แต่เขากลับไม่เคยมองอย่างนั้นเลยสักครั้ง ในใจลึก ๆ เขาแอบโกรธคำพูดของสาวใช้พวกนั้นมากกว่าที่ดูถูกความรักของคุณพ่อมากมายขนาดนี้ แต่เมื่อคุณพ่อได้รู้เื่ คุณพ่อกลับไม่โกรธสักนิดและทำเพียงส่งยิ้มกลับมาให้เป็คำตอบ ในตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจนักหรอกแต่พอได้เห็นสิ่งที่คุณพ่อทำซ้ำในทุกวันและมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนหน้าเสมอนั่นแหละจึงทำให้เขาเข้าใจ
ว่าคำพูดของคนอื่นนั้นไม่ได้สำคัญเลยสักนิด
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสุขของการได้ระลึกถึงคุณแม่ต่างหาก
และนั่นก็เป็เหตุผลว่าทำไมเขาจึงต้องไปที่บ้านหลังเล็กนั้น ถึงแม้จะไม่ได้ไปทุกวันแบบที่คุณพ่อทำแต่อย่างน้อยการได้ระลึกถึงคุณแม่ในวันเกิดและวันที่พรากท่านไปจากโลกใบนี้มันก็ยังดีกว่าการถูกปล่อยให้เื่ราวของท่านถูกหลงลืมไปซะเฉย ๆ
ถึงแม้ว่าเื่ราวของท่านนั้นจะไม่มีทางที่จะถูกลืมไปได้ง่าย ๆ เพราะถ้าหากได้กล่าวถึงประวัติของผู้ก่อตั้งเมืองควินท์เรล เขาเองก็เชื่อว่าทุกคนคงจะจดจำเหยื่อผู้บริสุทธิ์ในคืนที่โหดร้ายคืนนั้นได้และมันคงจะถูกจดจำกันไปรุ่นสู่รุ่นเหมือนกับเทพนิยายหรือตำนานเล่าขานอะไรพวกนั้น แต่หากพูดถึงความรู้สึกในฐานะลูกชายที่เติบโตมาโดยที่เสียแม่ไปจากเหตุการณ์แบบนั้น ไซม่อนสาบานได้เลยว่าเขาไม่อยากให้เื่ราวการเสียชีวิตของคุณแม่ของเขาถูกเล่าส่งต่อกันแบบนั้นหรอก เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่การสูญเสียที่แสนเ็ปแต่เพราะความบาดหมางที่เกิดขึ้นระหว่างตระกูลมันไม่เคยหายไปด้วยนั่นแหละที่แสนน่ากลัวเหลือเกิน ถึงคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้คงจะรู้เื่นี้หมดแล้วก็เถอะ แต่เขาเองก็ไม่ได้อยากจะพูดเื่นี้ให้ใครฟังเลยสักนิด แม้แต่ถูกถามเพียงแค่นิดเดียว ไซม่อนก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ เขาอยากเก็บซ่อนเื่ราวของคุณแม่ให้มิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอยากให้ท่านได้หลับสบายโดยไม่ต้องเป็ตราบาปหรือถูกพูดถึงเกี่ยวกับเื่ราวในคืนนั้นอีกสักครั้ง
“ถ้าคุณไม่อยากพูดถึงก็ไม่เป็ไรนะคุณไซม่อน” เสียงเล็กเอ่ยแ่เบาหลังจากที่เห็นว่าเขาเงียบไปพักใหญ่
“บ้านของคุณแม่”
“..”
“บ้านหลังนั้นของคุณแม่เราเอง”
แพทริเซียเม้มปากแน่นทันทีที่ได้ยินคำตอบจากเขา อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่ทำเพียงแค่นั่งจ้องมองใบหน้าของไซม่อนที่กำลังตั้งใจพายเรืออยู่อย่างนั้น และไซม่อนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อแต่มีแค่รอยยิ้มกว้างที่ส่งไปให้โอเมก้าตรงหน้าชื้นใจขึ้นเท่านั้น เขารู้ดีว่าแพทริเซียกำลังรู้สึกผิดเพราะสีหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อนั่นแหละ
“ขอโทษนะ”
“ไม่ต้องขอโทษ”
“แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะถา-”
“เดี๋ยวอีกสักครู่ก็จะมืดแล้ว รีบเข้าฝั่งกันเถอะ”
ไซม่อนเอ่ยขึ้นตัดบททันทีที่อีกฝ่ายจะพูดขอโทษขึ้นมาอีกครั้ง
“จะเล่าให้ฟังตอนเรานั่งผิงไฟกันคืนนี้นะ ทั้งหมดเลย”
“เราเอาที่คุณสบายใจนะไซม่อน เราแค่อยากรู้เฉย ๆ เพราะเราเคยฝันถึง”
“ครับ จะเล่าให้ฟังแบบสบายใจทั้งหมดเลย”
อย่างน้อยก็มีแค่แพทริเซียนี่แหละมั้ง
ที่เขาวางใจจะเล่าเื่ราวเหล่านี้ให้ฟังโดยที่ไม่ต้องกลัวอะไร
- Simon’s theory -
ดวงอาทิตย์ดวงโตได้ลาลับขอบฟ้าไปหลายชั่วโมงแล้ว ในตอนนี้มีเพียงความมืดมิดเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าและแต่งแต้มด้วยดวงดาวระยิบระยับอยู่เต็มไปหมดจนทำให้คนที่นั่งเงยหน้ามองอยู่ต้องยิ้มออกมาด้วยสบายใจ เสียงของสะเก็ดไฟที่ดังเปาะแปะอยู่ข้างกองไฟขนาดย่อมตรงกลางนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยเก้าอี้ไม้สองตัวสำหรับเขาและแพทริเซีย ความอุ่นร้อนจากกองไฟนั้นช่วยบรรเทาความหนาวจากลมเย็นที่คอยพัดมากระทบผิวเขาอยู่แทบจะตลอดเวลา เขาไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าเขาจะได้มีโอกาสทำอะไรอย่างนี้กับคนอื่นที่ไม่ใช่เจซ แม้แต่กับเจซเขาก็ยังไม่เคยทำอะไรอย่างนี้เลยด้วยซ้ำ และถ้าเพื่อนสนิทตัวดีของเขาได้รู้ก็คงมีหวังงอนเขาไปอีกเป็สัปดาห์แน่ ๆ
หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ เขากับแพทริเซียก็เตรียมของสำหรับแคมป์ปิ้งมากมายเพื่อมาใช้เวลาในคืนสุดท้ายของฤดูร้อนด้วยกัน ถึงมันจะดูแปลกตาไปบ้างเพราะโดยปกติแล้วคนในคฤหาสน์ควินท์เรลมักจะไม่ได้เห็นคนอื่นที่ไม่ใช่คุณชายแมคคอยด์เดินข้างไซม่อนแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้ทุกคนกลับมองเห็นว่าการที่ไซม่อนและแพทริเซียพร้อมกับแซมมี่เดินไปพร้อมกันในทุกวันนั้นเป็เื่ปกติที่ทุกคนคุ้นชินไปซะแล้ว
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาเอาแต่เล่าเื่ราวเกี่ยวกับบ้านหลังเล็กที่เป็สมบัติเพียงไม่กี่อย่างที่ทิ้งไว้ต่างหน้าในนามคุณแม่ของเขา ในบางจังหวะที่เขาเล่า ถึงมันจะมีความรู้สึกที่เหมือนกับว่ามีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่อกบ้างก็เถอะ แต่พอได้เล่าเื่ราวเ่าั้ให้คนที่พร้อมจะรับฟังเขาอย่างแพทริเซียฟังมันก็ทำให้เขาโล่งใจขึ้นมาซะจนต้องยิ้มออกมา แต่เื่ราวเกี่ยวกับความฝันของแพทริเซียที่อีกฝ่ายเล่ากลับมาให้เขาฟังนั้นก็ทำให้เขาขมวดคิ้วอยู่เหมือนกัน
“ฝันว่าเข้าไปในบ้านเหรอ?”
“อื้ม”
“แล้วในฝันของคุณมันเป็ยังไงล่ะ บ้านน่ากลัวไหม?”
“ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่แต่ความรู้สึกมันเหงาแล้วก็วังเวงยังไงชอบกล”
“ก็จะไม่วังเวงได้ยังไง ที่นั่นไม่มีใครอยู่เลยนี่นา”
“แต่เราก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเราถึงฝันแบบนั้น”
ไซม่อนส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับท่าทางของคนขี้สงสัยที่กำลังเลื่อนมือขึ้นถูตามต้นแขนของตัวเองเพื่อคลายความหนาว อัลฟ่าหนุ่มถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตัวเองออกก่อนจะคลุมมันลงไปกับกายเล็กของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงแม้แพทริเซียจะหันมามองใบหน้าของเขาด้วยความไม่เข้าใจก็เถอะแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร นั่นคงเป็คำตอบที่เห็นได้ชัดอยู่แล้วละว่าอีกฝ่ายกำลังหนาวอยู่จริง ๆ
“ขอบคุณครับ”
“ห่มไว้เถอะ เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา”
แพทริเซียพยักหน้ารับก่อนจะก้มหน้าซุกลงไปกับเสื้อคลุมตัวใหญ่ของเขาจนเหลือแค่ผมสีอ่อนกับดวงตากลมเท่านั้นที่โผล่ออกมาจากปกเสื้อ รอยยิ้มบาง ๆ ของไซม่อนปรากฏขึ้นทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ถึงแม้อีกฝ่ายจะเอาแต่บ่นเื่ที่ไม่เข้าใจความฝันของตัวเองก็เถอะ แต่ในตอนนี้ไซม่อนไม่ได้สนใจอะไรที่แพทริเซียพูดเลยสักนิด เพราะเขาเอาแต่จดจ้องความน่ารักนั้นซะจนไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว
“คุณไซม่อน”
“หืม?”
“เอาแต่มองอยู่ได้ เราถามเื่บ้านหลังนั้นอยู่นะ” แพทริเซียหน้าง้ำงอทันทีที่เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจคำพูดตัวเองเลยสักนิด
“ถ้าสงสัยมากจะพาไป”
“พาไป?”
“อื้ม เดี๋ยวสัปดาห์หน้าเราจะพาไปบ้านของคุณแม่แต่ตอนนี้ปิ้งมาร์ชเมลโล่กันก่อนดีไหม?”
“จริงนะ”
“จริงสิ เราจะโกหกคุณไปทำไมกัน”
“งั้นปิ้งมาร์ชเมลโล่กัน”
เ้าของเสียงหวานเอ่ยออกมาพร้อมท่าทางระริกระรี้ที่ดูดีใจเกินกว่าความจำเป็ซะจนไซม่อนอย่างเอื้อมมือไปดึงแก้มกลมนิ่มนั้นด้วยความมันเขี้ยวสักครั้ง และนั่นก็เป็อีกครั้งที่เขาเอาแต่เงียบไม่พูดอะไรออกมา อัลฟ่าหนุ่มทำเพียงแค่เฝ้ามองการกระทำของคนที่หยิบก้อนมาร์ชเมลโล่สีขาวนิ่มเสียบไม้อย่างบรรจงทีละชิ้นแล้วยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว
แล้วจู่ ๆ ประโยคที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดออกไปตอนไหนก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนตรงหน้าได้เป็อย่างดี
“ฤดูร้อนหน้ามาทำแบบนี้กันอีกไหม?”
ไร้ซึ่งประโยคตอบรับจากโอเมก้าแก้มขาว มีเพียงแก้มที่กำลังขึ้นสีทีละนิดเท่านั้นที่เป็คำตอบให้กับเขา เอาเข้าจริงไซม่อนก็ไม่รู้หรอกว่าฤดูร้อนหน้านั้นเขาและแพทริเซียจะยังรู้จักกันแบบนี้อยู่ไหมแต่เขาก็เอาแต่เงยหน้าอธิษฐานต่อดวงดาวในคืนสุดท้ายของฤดูร้อนเพียงเท่านั้น
เพราะฤดูร้อนปีนี้นั้นมอบความสุขให้เขาจนบรรยายออกมาแทบไม่ได้
ขอให้เขาและแพทริเซียได้มีฤดูร้อนร่วมกันอีกครั้งเถอะ ได้โปรด
- Simon’s theory -