Chapter twenty-seven: rainy day
ท้องฟ้าที่ครึ้มมาั้แ่เช้าตรู่ ในตอนนี้เปลี่ยนเป็สีมืดสนิทในเวลาเที่ยงตรง เสียงฝนที่กำลังตกหนักอยู่ข้างนอกนั้นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ บานหน้าต่างที่เคยถูกเปิดไว้ก่อนหน้านี้ก็ถูกปิดเข้ามาหมดเพื่อไม่ให้ฝนกระเด็นสาดเข้ามาในตัวบ้าน เสียงฟ้าร้องดังครืนอยู่ทำให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟาสะดุ้งอยู่เป็ระยะ กลิ่นชาหอมที่ถูกชงโดยฝีมือของอัลฟ่าหนุ่มนั้นหอมตลบอบอวลคลายความกลัวให้คนที่กำลังดื่มชิมมันอยู่รู้สึกปลอดภัยขึ้นในทันที แพทริเซียใช้ทั้งสองมือประคองแก้วน้ำชาเพื่อซึมซับความอบอุ่นจากมัน อากาศในตอนนี้เย็นลงจนเสื้อคลุมตัวนอกที่เขาใส่มานั้นไม่สามารถกันความหนาวเย็นได้อีกต่อไป หูและจมูกของแพทริเซียเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะถูกอากาศเย็นนั้นกัดกินจนน่าสงสาร แต่ช่างต่างกับอัลฟ่าข้างกายที่นั่งอ่านหนังสือเล่มใหญ่อย่างสบายใจราวกับเขาและไซม่อนอยู่กันคนละที่ยังไงอย่างนั้น
“หนาวเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมา
“อื้อ นิดหน่อย”
“นิดหน่อยแต่จมูกคุณแดงเป็กวางรูดอล์ฟเลยนะ”
“คุณจะบ้าเหรอ”
“ก็มันเหมือนจริงนี่” ไซม่อนหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทำแพทริเซียที่นั่งหนาวสั่นอยู่ต้องเงยหน้ามองตามด้วยความสงสัย
“คุณจะไปไหน?”
“เอาผ้าห่ม เดี๋ยวจะมีคนแถวนี้แข็งตายซะก่อน”
“เดี๋ยวเถอะ!”
เสียงหัวเราะของไซม่อนดังขึ้นทันทีที่ถูกโอเมก้าตัวขาวค้อนใส่ ร่างสูงโปร่งของไซม่อนเดินหายลับไปบนบันไดชั้นสองและทุกการกระทำก็ยังอยู่ในสายตาของแพทริเซียอยู่ดีนั่นแหละ บรรยากาศวังเวงคืบคลานเข้ามาทันทีเมื่อไซม่อนไม่อยู่รอบตัว ดวงตากลมโตมองไปรอบบ้านแล้วก็รู้สึกขนลุกยังไงชอบกล ทั้งที่ตอนที่ไซม่อนนั่งอยู่ด้วยก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ อาจจะเป็เพราะฝนที่กระหน่ำตกลงมาหรือความมืดที่มาพร้อมกับฝนจึงทำให้บรรยากาศในบ้านดูน่าขนลุกขึ้นมาทันที แพทริเซียค่อย ๆ วางแก้วชาสีขาวที่วาดลวดลายกุหลาบสีแดงสดไว้บนจานรองแก้วอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อย ๆ ยกขาเรียวทั้งสองข้างขึ้นมากอดไว้เพื่อคลายความหนาว ใบหน้าหวานซุกลงที่ระหว่างหัวเข่ามนของตัวเองจนแก้มนิ่มดันขึ้นมาเป็ก้อน นึกแล้วแพทริเซียก็อยากจะขำตัวเองเหมือนกัน แทนที่เขาจะได้อยู่พักผ่อนในห้องแท้ ๆ แต่กลับตามไซม่อนมาที่บ้านหลังนี้อย่างไม่ทักท้วงอะไรเลยสักนิดด้วยซ้ำ
เปลี่ยนไปแล้วด้วยจริง ๆ นะตัวเรา
เสียงฟ้าร้องที่ดังขึ้นทำเ้าของไหล่บางสะดุ้งใพร้อมยกมือขึ้นมาปิดหูตัวเองไว้ทันที ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้เป็คนขี้ใขนาดนั้น แต่พอเป็เสียงฟ้าร้องมันก็ยากที่จะควบคุมความกลัวของตัวเองมาตลอด เพราะความทรงจำไว้เด็กที่เคยเห็นฟ้าผ่าลงมาที่ต้นไม้ต่อหน้ามันฝังใจแพทริเซียมาอยู่ตลอด หลังจากวันนั้นเขาจึงเกลียด่เวลาที่ฝนตกที่สุด ทั้งความชื้นแฉะของฝนที่มักจะทำให้พื้นเปียก ทั้งเสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบและฟ้าผ่านั่นก็ด้วย ถ้าหากเป็คนอื่นที่ไม่ใช่ไซม่อนที่เป็คนชวนเขามาในวันที่ฝนตกวันนี้ มีหวังจะต้องถูกเขาด่าเตลิดแน่ ๆ
ไซม่อนใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาพร้อมผ้านวมผืนใหญ่ที่ขนาดคนถือมายังมองแทบจะไม่เห็นทาง อัลฟ่าหนุ่มมายืนหยุดที่ตรงหน้าและกางผ้านวมออกให้เต็มผืนก่อนจะห่มพันรอบตัวโอเมก้าตัวขาวโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ แพทริเซียดึงกระชับผ้านวมผืนใหญ่ให้ปิดรอบหัวของตัวเองโดยโผล่ออกมาแค่ดวงตาและปลายจมูกโด่งเท่านั้น แรงยุบของโซฟาเกิดขึ้นเมื่อไซม่อนกลับมานั่งข้างกัน แขนแข็งแรงของเขาถูกยกขึ้นมากอดอกไว้ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะหันกลับมามองเขาที่นั่งขดตัวอยู่อย่างนั้น
“ดีขึ้นบ้างไหม?”
“ถ้าไม่ได้ผ้าห่มเราต้องแข็งตายแน่”
“ก็คุณดูหนาวซะขนาดนั้น”
“ว่าแต่ผ้าห่มผืนนี้ของใครเหรอ?”
แพทริเซียยกแขนที่ถูกคลุมด้วยผ้านวมผืนหนาพร้อมเขย่าเล็กน้อยตอนที่ถามอีกคน ลายผ้านวมที่แปลกตาไปทำแพทริเซียสงสัยในทันที เพราะโดยปกติแล้ว ผ้าห่มทุกผืนที่ถูกเปลี่ยนที่ห้องนอนของเขานั้นไม่เคยมีลวดลายอะไรเลย มีเพียงสีขาวบริสุทธิ์เท่านั้น และเขาเองก็เพิ่งได้รู้มาในภายหลังว่ามันเป็ความ้าของคุณย่าไซม่อน ผ้านวมทุกผืนในคฤหาสน์ควินท์เรลจึงมีแค่สีขาวเท่านั้น แต่ผ้านวมที่เขากำลังห่มอยู่น่ะสิ ถ้าหากผ้านวมผืนนี้เป็ของคุณแม่ไซม่อนขึ้นมาก็คงทำให้เขาไม่กล้าใช้มันต่อไปอีกแล้วละ ต่อให้จะไม่เชื่อเื่ผีหรือเื่เหนือธรรมชาติอะไรนั่นก็เถอะ แต่ความฝันเกี่ยวกับบ้านหลังนี้มันยังหลอกหลอนเขาไม่หยุด แค่คิดก็ขนลุกจะแย่แล้ว
“ผ้าห่มของเราเอง”
“ของคุณเหรอ?”
ลายกระต่ายเนี่ยนะ
“ใช่ เราทิ้งไว้ที่บ้านหลังนี้ เผื่อวันไหนไม่สบายใจจะได้มานอนค้าง”
“อ๋อ..” แพทริเซียพยักหน้าแต่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนที่จ้องลายของผ้านวมอย่างพิจารณา ผ้านวมผืนสีครีมอ่อนที่ถูกตกแต่งด้วยกระต่ายสีขาวที่ถูกปักไว้จนเต็มผืน จะมองยังไงมันก็ดูไม่เข้ากับไซม่อนเลยสักนิด ยิ่งในตอนที่เขามองใบหน้าที่กำลังฉายแววไม่พอใจใส่เขาสลับกับลายผ้าห่มยิ่งแล้วใหญ่
“แล้วทำไมคุณทำหน้าอย่างนั้น เราจะใช้ผ้าห่มลายกระต่ายไม่ได้เหรอ?”
“เปล่า ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“ก็สีหน้าคุณมันฟ้องนี่”
“เราแค่ไม่คิดว่าคุณจะชอบอะไรน่ารักแบบนี้”
“เราสั่งซื้อมาเพราะจะใช้มันคู่กับแซมมี่ต่างหากเพราะของแซมมี่เป็ลายแครอท”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว”
“คุณยังทำหน้าสงสัยอยู่เลย”
“เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยคุณไซม่อน”
เสียงของไซม่อนและเขาที่กำลังถกเถียงกันยังดังไปทั่วห้องนั่งเล่นของบ้านหลังเล็ก จะว่าไปแล้ว เขาก็แอบชินกับการที่เถียงหรือแกล้งเล่นกันกับไซม่อนไปแล้วละ ถึงบางครั้งมันจะดูไม่มีอะไรให้เถียงกันก็เถอะ แต่ยังไงเขาก็ชอบหาเื่ไปแหย่อีกฝ่ายและเกิดเื่ให้เถียงกันจนได้
แต่เสียงของเราทั้งคู่ก็ได้เงียบลงเมื่อไซม่อนยื่นหนังสือมาให้เขา เหมือนกับเป็สัญญาณให้หยุดเถียงกันสักที และแพทริเซียก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไปอีกนอกจากหัวเราะกับการกระทำนั้นแล้วก็รับหนังสือจากอีกฝ่ายมาด้วยความเต็มใจ ความเงียบระหว่างเราทั้งคู่เกิดขึ้นทันทีเมื่อต่างคนต่างเริ่มพลิกเปิดหน้ากระดาษเพื่ออ่าน ปกติแล้วเขามักจะไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือกับใครเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับเพื่อนสนิทยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งที่บางครั้งเขาบอกไปแล้วว่า้าสมาธิแต่เ้าเพื่อนตัวแสบก็มักจะก่อกวนอยู่เป็ประจำจนเขาเบื่อหน่ายที่จะดุไปแล้ว และนั่นก็เป็เหตุผลที่เขามักจะหลบไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดหรือใต้ต้นไม้ในสวนสาธารณะใกล้บ้านเป็ประจำ พอได้มาเจอกับไซม่อน ในตอนแรกเขาก็คิดว่าไซม่อนจะต้องถามกวนเขาตามประสาคนขี้สงสัยอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายแล้วไซม่อนกลับไม่ได้เป็อย่างที่เขาคิดสักนิด อีกฝ่ายมักจะปล่อยให้เขาได้อ่านหนังสือตามใจตัวเองโดยที่ไม่เอ่ยขัดหรือถามอะไรขึ้นมาสักครั้ง แม้ในตอนที่ไซม่อนอยากจะได้คำตอบจากเขาที่สุด อีกฝ่ายก็จะรอจนกว่าเขาจะเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเอง สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้แพทค่อนข้างประทับใจและสบายใจที่จะนั่งอ่านหนังสือด้วยกันกับไซม่อนทุกครั้ง
กระดาษหน้าแล้วหน้าเล่าที่ถูกพลิกไปแต่ฝนข้างนอกก็ยังคงตกอย่างบ้าระห่ำซะจนแพทริเซียแอบสงสารเ้าดอกกุหลาบแสนสวยที่ถูกปลูกอยู่ข้างนอกเหมือนกัน คนตัวเล็กยกมือขึ้นนวดที่เปลือกตาทันทีเมื่อความรู้สึกปวดล้าแล่นเข้าทำงาน เป็เวลาเกือบชั่วโมงแล้วที่เขาเอาแต่จดจ้องอยู่กับหนังสือเล่มโตที่อยู่ในมือโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสักครั้ง แขนเล็กยกยืดขึ้นบิดี้เีอย่างสุดตัวพร้อมเลื่อนมือลงมานวดขาที่ถูกนั่งขัดสมาธิในผ้าห่มเป็เวลานาน ความเมื่อยล้าถูกเกาะกินอยู่ทุกส่วนของร่างกายแพทริเซียซะจนเขาอยากจะนอนราบลงไปกับพื้นเพื่อจัดระเบียบร่างกายใหม่ซะให้เข็ด
ความเงียบเชียบของเขาและไซม่อนนั้นเกิดขึ้นมานานจนเขาเองก็อยากจะหันไปถามว่าอีกฝ่ายนั้นหลับไปแล้วหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากถามด้วยซ้ำ เพียงแค่หันไปมองแพทริเซียก็ได้รับคำตอบทันที
“หลับท่านี้ได้ยังไงเนี่ย”
ภาพของไซม่อนที่นอนเอียงกอดหนังสือเล่มโตอยู่กับอกกว้างของตัวเองทำแพทริเซียอดเอ็นดูไม่ได้ หัวของเขานั้นแทบจะตกไหลลงไปจากโซฟาอยู่รอมร่อแต่เ้าตัวก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตื่นเลยสักนิด แล้วไหนจะท่าทีที่พยายามซุกเข้าหาโซฟาตัวเล็กนั่นทั้งที่ตัวเองนั่งก็แทบจะเต็มโซฟาอยู่แล้วนั่นอีก
ไซม่อนเหมือนเ้าแซมมี่ไม่มีผิดจริง ๆ
ดวงตากลมโตเหมือนลูกแมวของแพทริเซียยังคงจดจ้องอัลฟ่าลูกหมาตัวโตอยู่อย่างนั้นไม่หยุด มือเล็กค่อย ๆ ดึงปลายผ้านวมอีกฝั่งที่ตกกองไปอยู่ตรงพื้นอยู่นานให้ขึ้นมาคลุมร่างของอีกฝ่ายไว้ และก็เป็ไปตามที่แพทริเซียคาดไว้ ไซม่อนคงจะหนาวมากจริง ๆ ไม่อย่างนั้นอัลฟ่าตัวโตคงไม่รีบซุกเข้าหาผ้านวมนุ่มทันทีที่เขาห่มให้หรอก นึกแล้วแพทริเซียก็อยากจะขำอยู่หรอกหากแต่ความเอ็นดูที่มีให้คนตรงหน้ามันเยอะเกินกว่าความหมั่นไส้ไปซะแล้ว มีที่ไหนทำเหมือนตัวเองไม่หนาวสักนิดแต่ขนที่ลุกซู่ตามแขนก็แทบจะะโฟ้องเขาอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายหนาวแค่ไหน แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเ้าตัวทำเหมือนว่าไม่หนาว แพทริเซียจะไปขัดได้ยังไง
ก็ในเมื่อหนึ่งในทฤษฎีเกี่ยวกับไซม่อนที่เขาเขียนไว้
ข้อนึงในนั้นก็มีเื่ของการห้ามขัดใจอยู่นี่นา
นึกดูแล้วเวลามันก็ช่างผ่านไปรวดเร็วซะเหลือเกิน ทั้งที่ในตอนแรกเขาคิดว่ามันไม่น่าจะเร็วแบบนี้ด้วยซ้ำ แต่เวลาสิบเดือนมันก็ยังน้อยเกินไปกับการได้ใช้เวลาร่วมกับคนดี ๆ อย่างไซม่อนจริง ๆ นั่นแหละ แพทริเซียไม่อยากจะนึกถึงเวลาที่เหลือที่เขาต้องอยู่ในคฤหาสน์ควินท์เรลเลย พอได้นับก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจยาวทุกครั้งไป มีหลายครั้งที่เขาลองกลับไปอ่านสมุดไดอารี่และบันทึกเกี่ยวกับทฤษฎีการสอนไซม่อนที่เขาเขียนไว้ั้แ่แรกแล้วก็หลุดยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ หลายเื่ระหว่างเขากับไซม่อนก็เป็เื่ที่ดีจนน่าประทับใจ และก็ยังมีบางเื่ที่เขากลับไปอ่านแล้วเสียใจแทบจะทุกครั้ง แต่เขาจะไม่นับว่ามันเป็เื่ที่แย่หรอก เพราะทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับเขาและไซม่อนล้วนแต่เป็บทเรียนทั้งนั้น
อย่างน้อย ในอนาคตเขาก็จะไม่ตัดสินใครจากเปลือกนอก
และไซม่อนก็คงไม่เข้าหาคนโดยการพูดอะไรโดยที่ไม่คิดเหมือนกัน
เขาเชื่ออย่างนั้น
เสียงขยับร่างกายของคนตัวโตทำแพทริเซียหลุดจากภวังค์ทันที ในตอนแรกเขาก็คิดว่าไซม่อนตื่นแล้วนั่นแหละเพราะมันก็เป็เวลาสักพักใหญ่ที่เขาหันไปมองอีกฝ่ายนั่งหลับอยู่แบบนั้น แต่สิ่งที่ไซม่อนทำก็ต้องทำให้โอเมก้าตัวขาวใตัวแข็งทื่อไปซะอย่างนั้น จากในตอนแรกที่ไซม่อนเอนหัวไปอีกฝั่งที่ไม่ใช่ทางที่เขานั่งอยู่ แต่ในตอนนี้เขากำลังค่อย ๆ ขยับหัวมาพิงที่ไหล่ของแพทริเซียและกระชับผ้าห่มไว้แน่นจนคนที่นั่งตัวแข็งอยู่ทำอะไรไม่ถูก
แต่เขาก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น
เ้าของกลุ่มผมสีเข้มไหลตัวลงไปเรื่อย ๆ และสุดท้ายศีรษะของอัลฟ่าหนุ่มก็วางอยู่ที่ตักของเขาโดยที่เ้าตัวกำลังหลับสนิทอยู่อย่างนั้น ฝ่ามือหนาดึงผ้าห่มฝั่งของตัวเองปกคลุมร่างกายสูงใหญ่ของตัวเองจนมิด ยังดีที่เขายังเหลืออีกฝั่งให้แพทริเซียได้ห่มอยู่บ้าง แต่ท่านอนของไซม่อนในตอนนี้น่ะสิที่กำลังเป็ปัญหากับโอเมก้าตัวขาว กายเล็กนั่งนิ่งเกร็งซะจนไม่กล้าขยับไปไหน ถึงแม้ในใจอยากจะยกหัวอีกฝ่ายออกจากตักตัวเองแค่ไหนก็ตาม แต่พอได้เห็นเปลือกตาที่หลับพริ้มแบบนั้นแล้วเขาก็ทำไม่ลงจริง ๆ ใบหน้าที่อิดโรยของคนที่กำลังนอนตักอยู่นั้นน่าสงสารเกินกว่าที่จะปฏิเสธการเป็ที่พักพิงให้ กลิ่นไม้หอมอ่อน ๆ ที่ถูกปล่อยออกมาในตอนที่อีกฝ่ายกำลังหลับสนิทไม่ได้กวนใจแพทริเซียเหมือนอย่างก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้กลิ่นของความอบอุ่นนั้นกลับโอบกอดโอเมก้าตัวขาวที่กำลังรู้สึกไม่ดีกับเสียงฟ้าร้องที่ไม่ยอมหยุดสักที
ดวงตากลมโตจ้องมองสำรวจใบหน้าของอัลฟ่าบนตักใกล้ ๆ และพบว่าไซม่อนนั้นมีจุดสีดำใต้ตาชัดกว่าที่เขาเคยได้เห็นจริง ๆ ด้วย จมูกโด่งที่รับกับริมฝีปากสวยของเขานั้นช่างเป็เอกลักษณ์เหลือเกิน ถ้าหากเปรียบใบหน้าของไซม่อนกับอะไรสักอย่าง แพทริเซียคงจะเปรียบกับผลงานปั้นชิ้นเอกอย่างแน่นอน ใบหน้าหล่อเหลาราวกับพระเ้าบรรจงปั้นแบบนี้ที่เขาไม่เคยได้พบเจอที่ไหนนั้นทำให้เขาละสายตาไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
พอมาคิดดูแล้วก็แอบเสียดายอยู่เหมือนกันที่เขาถูกเก็บซ่อนอยู่อย่างนี้
แต่มองอีกมุมก็กลับรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยก็เป็เขาที่ได้พบเจอ
และอยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้
สุดท้ายก็เป็เขาเองนั่นแหละที่หักห้ามใจตัวเองไม่ได้ ไวกว่าความคิด มือเรียวสวยของแพทริเซียก็เอื้อมไปลูบกลุ่มผมเข้มนั้นอย่างแ่เบา เขาไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่ที่เวลาแบบนี้ของเขาและไซม่อนจะหมดลง แต่ในตอนนี้เขาก็ได้ทำตามใจตัวเองสักหน่อยก่อนจะต้องไปหักห้ามใจตัวเองทีหลังก็แล้วกัน
- Simon’s theory -
ััหนัก ๆ ที่ถูกวางอยู่บนศีรษะของไซม่อนนั้นทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาจากความฝันทันที หมอนนุ่มนิ่มที่เขาเคยนอนนั้นถูกเปลี่ยนเป็อะไรบางอย่างที่แข็งมากกว่านั้น กว่าเขาจะรู้ตัวว่ากำลังนอนอยู่บนตักของแพทริเซียก็เป็ตอนที่เขาเลื่อนมือไปจับเข้ากับมือของอีกฝ่ายที่อยู่บนศีรษะของเขานั่นแหละ โดยปกติแล้วเขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับผมของตัวเองมากนัก แม้แต่พี่เลี้ยงและแม่นมของเขาก็แทบจะไม่มีสิทธิ์ได้แตะเลยด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกดีกับัันุ่มนิ่มที่วางอยู่บนศีรษะของเขาอย่างน่าประหลาดใจ โอเมก้าตัวขาวนอนหลับตาพริ้มอย่างไม่รู้ตัวและไซม่อนก็ไม่ได้้าให้อีกฝ่ายตื่นมาในตอนนี้ด้วย
ฝนข้างนอกนั้นเบาลงจนเหลือเพียงแค่สายฝนที่โปรยปรายลงมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท้องฟ้าที่เคยเป็สีมืดครึ้มก็แปรเปลี่ยนเป็ท้องฟ้าสีส้มอ่อนเป็สัญญาณบ่งบอกว่าใกล้จะถึงเวลาพระอาทิตย์ตกแล้ว ไซม่อนยกมือขึ้นขยี้ตาไล่ความง่วงเล็กน้อยพลางมองไปที่นาฬิกาบนผนังและพบว่าจะห้าโมงเย็นเข้าแล้ว เขาจำได้ว่าตัวเองนั่งอ่านหนังสืออยู่กับแพทริเซียั้แ่่บ่ายจนเผลอหลับไป แต่สิ่งที่เขากำลังสงสัยอยู่ก็คือ เขามานอนบนตักของโอเมก้าตัวขาวได้ยังไงกัน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความสงสัย ปกติแล้วเขาไม่ได้เป็คนนอนดิ้นเลยสักนิด เรียกได้ว่าถ้านอนท่าไหน เขาก็จะตื่นมาด้วยท่านั้น ถ้าหากจะบอกว่าเขาดิ้นมานอนบนตักอีกฝ่ายมันก็จะแปลกไปหน่อย
หรือแพทริเซียเป็คนดึงให้มานอนตัก?
เพียงแค่คิด เขาก็หลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ซะอย่างนั้น ฝ่ามือหนาเลื่อนขึ้นมาลูบใบหน้าของตัวเองไล่อาการเขินเพราะความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองออกไป ก่อนเขาจะตัดสินใจจับดึงมือของอีกฝ่ายให้ออกจากหัวตัวเองอย่างเบามือพร้อมลุกขึ้นมานั่งให้เสียงเบาที่สุดไม่รบกวนคนที่กำลังนั่งหลับอยู่ อัลฟ่าหนุ่มลุกยืนเต็มความสูงก่อนจะบิดไล่ความเมื่อยล้าออกไปจนหมดพลางยืนจ้องมองคนที่กำลังหลับสนิทอยู่ด้วยความลังเลว่าจะปลุกแพทริเซียดีหรือไม่
เอาจริง มันก็ยังไม่ได้ถึงเวลาที่เขาต้องกลับไปคฤหาสน์หรอกเพราะในวันนี้เขาบอกพี่เลี้ยงไปแล้วว่าอาจจะไปเดินเล่นให้สบายใจสักหน่อยแล้วก็ได้ทำการฝากเ้าแซมมี่ไว้กับพวกพี่เลี้ยงอีกด้วย ถึงแซมมี่จะดูหงอยลงที่ไม่เอามันออกมาด้วยก็เถอะ แต่เพราะคนที่เอาแต่นอนฝันร้ายอยู่เป็สัปดาห์นั่นแหละที่น่าสงสารมากกว่า เขาเฝ้ามองแพทริเซียที่มักจะเดินด้วยท่าทางเหม่อลอยจนชนนู่นนี่แล้วก็อดสงสารไม่ได้ ยิ่งเ้าตัวสารภาพว่านอนไม่หลับมาทั้งสัปดาห์เพราะเอาแต่กลับไปวนฝันเื่ที่เล่าให้เขาฟังซ้ำ ๆ นั่นอีก
เพราะอย่างนั้นเขาจึงอยากรีบพาแพทริเซียมาที่บ้านของคุณแม่สักที
อีกฝ่ายจะได้รู้ว่าที่บ้านของคุณแม่นั้นไม่มีอะไรน่ากลัวเหมือนในฝันเลยสักนิด
แล้วสุดท้ายไซม่อนก็ตัดสินใจจัดโอเมก้าตัวเล็กให้นอนลงไปกับโซฟาอย่างที่ควรจะเป็ ไซม่อนรู้มาตลอดว่าแพทริเซียนั้นตัวเล็กแค่ไหน แต่พอได้จัดให้อีกฝ่ายได้นอนสบาย ๆ แบบนี้ เขาก็เพิ่งได้รู้ว่าโซฟาที่เขามักจะบ่นว่าตัวเล็กนักหนานั้นมันพอดีกับตัวแพทริเซียเลยด้วยซ้ำ ฝ่ามือหนาเอื้อมดึงผ้านวมผืนใหญ่มาห่มคลุมไว้ให้คนที่นอนอยู่บนโซฟา อย่างน้อยเขาควรจะได้ปล่อยให้แพทริเซียได้พักผ่อนเต็มที่สักหน่อยเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายมักจะทำกับเขาอยู่เสมอ เขารู้ดีว่ามีหลายครั้งที่แพทริเซียมักจะปล่อยให้เขางีบในคาบเรียนของตัวเองโดยที่ไม่เอ่ยทักท้วงอะไร ถึงเขาจะแอบรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่ความรู้สึกขอบคุณมันก็มีมากขึ้นทุกครั้ง
ขายาวทั้งสองข้างก้าวออกไปยังนอกประตูบ้านหลังเล็กและสูดกลิ่นฝนเข้าเต็มปอด ในตอนนี้ฝนไม่ได้ลงเม็ดแล้ว อากาศเย็นชื้นที่พัดมากระทบกับผิวทำให้ไซม่อนรู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก อัลฟ่าหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าโปร่งหลังเมฆฝนได้สลายหายตัวไปแล้ว
ฟ้าหลังฝนมักจะสวยงามอย่างที่เขาว่ากันไว้จริง ๆ ด้วย
พอมานึกดูแล้ว ตลอด่เวลาที่ผ่านมาของไซม่อนนั้นก็ค่อนข้างหนักเหมือนกัน เขาไม่รู้หรอกว่าคำว่าหนักของแต่ละคนมันมีความหมายยังไงแต่การที่ต้องสูญเสียคนอันเป็ที่รักภายในเวลาไม่กี่ปีมันก็เป็เื่หนักมากสำหรับเขาเหมือนกัน หลังจากเหตุการณ์ของคุณแม่ ในตอนนั้นเขาก็ไม่ได้รู้เื่อะไรนักหรอก มารู้อีกทีก็ตอนที่เขาต้องมารู้ว่าเขาเสียคุณแม่ไปได้ยังไงในตอนที่โตขึ้นและมันก็กลายเป็แผลในใจของเด็กในวัยนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ พอโตขึ้น เขาก็ต้องเสียคุณปู่และคุณพ่อไปตามกัน ตอนนั้นเขาคิดว่าเขาจะไม่มีวันยิ้มและเชื่อใจใครได้อีกแล้วด้วยซ้ำ
แต่มาในวันนี้ เขากลับรู้ว่าเขาคิดผิดจริง ๆ
อย่างน้อยท้องฟ้าที่สดใสหลังพายุฝนนั้นก็ยังเป็เพื่อนสนิทอย่างเจซ
และคนที่เข้ามาใหม่อย่างแพทริเซียก็ด้วยนั่นแหละ
เป็เวลาเกือบชั่วโมงที่เสียงตัดกิ่งดอกไม้ดังขึ้นอยู่รอบตัวบ้านและคนที่กำลังตั้งใจตัดดอกกุหลาบอยู่นั้นก็ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่ามีโอเมก้าตัวขาวมายืนอยู่ข้างหลังด้วยความไม่พอใจซะแล้ว
“ทำไมคุณไม่ปลุกเรา?” แพทริเซียถามด้วยใบหน้าง้ำงอจนไซม่อนที่นั่งตัดดอกไม้อยู่ต้องหันขวับไปมองทันที
“ตื่นแล้วเหรอ”
“ใช่น่ะสิ แล้วดูซิ มาแอบตัดดอกไม้อยู่คนเดียวเลย ไหนบอกจะให้เราตัดด้วยไง”
“ดอกไม้มีตั้งเยอะตั้งแยะ อันนี้เราแค่ตั้งใจเอาไปขอบคุณคนเก่ง”
“งั้นครั้งหน้าต้องให้เราตัดนะ”
“ได้สิ”
ไซม่อนใช้เวลาไม่นานนักเพื่อตัดกุหลาบรอบตัวบ้านให้หมดก่อนที่ดอกของมันจะแห้งเหี่ยวไปตามฤดูกาล แขนข้างนึงของอัลฟ่าหนุ่มโอบกอดกุหลาบกำใหญ่ของตัวเองเอาไว้ก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้โอเมก้าตัวขาวเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ย้ำว่าถึงเวลาที่ควรจะกลับได้แล้ว
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าก่อนที่ประตูรั้วเหล็กดัดของบ้านโรสซีลินจะปิดลง และไฟอัตโนมัติในสวนติดขึ้นในตอนที่เขาและแพทริเซียกำลังจะเดินกลับคฤหาสน์ด้วยกัน เสียงพูดคุยระหว่างเราทั้งคู่ยังคงดังอยู่ตลอดทั้งทางเดิน อย่างน้อยเขาก็ชื้นใจขึ้นมาหน่อยที่แพทริเซียไม่ได้ดูกลัวบ้านของคุณแม่เขามากเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
“ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ฝันใช่ไหมล่ะ?”
“ถ้าน่ากลัวเท่าในฝัน เราคงวิ่งป่าราบไปแล้ว”
เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกันในตอนที่ประตูบานใหญ่ของคฤหาสน์ควินท์เรลเปิดต้อนรับ และทันทีที่ประตูถูกเปิดออกไซม่อนก็ถึงกับต้องถอนหายใจเพราะพี่เลี้ยงและเ้าแซมมี่กำลังรอเขาอยู่แล้ว
“ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วค่ะคุณไซม่อน” พี่เลี้ยงเอ่ยขึ้นพร้อมก้มหัวให้เขาทั้งคู่เล็กน้อย
ไซม่อนพยักหน้าตอบรับกลับไปก่อนจะส่งสัญญาณผ่านสายตาเป็เชิงให้พี่เลี้ยงจูงเ้าแซมมี่เดินนำไปก่อน แต่คนที่ไม่รู้อะไรอย่างโอเมก้าตัวขาวนั่นแหละที่ไม่แม้แต่จะบอกลาเขาที่อยู่ด้วยกันทั้งวันด้วยซ้ำ จนตอนที่พี่เลี้ยงของเขาได้หันหลังกลับไปนั่นแหละที่เขาจะได้มีโอกาสคว้าแขนเล็กนั้นไว้อย่างถือวิสาสะ
“คุณไซม่อน” แพทริเซียขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่หันกลับมามอง
ฝ่ามือหนารีบปล่อยออกจากแขนของอีกฝ่ายก่อนจะดึงดอกไม้ที่เขากอดไว้ที่แขนอีกข้างออกมาทั้งหมดและยื่นไปตรงหน้าของแพทริเซีย ในตอนแรกเขาก็หวั่นใจว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่รับมันไปก็ได้แต่เ้าของใบหน้าหวานที่กำลังขึ้นสีก็กลับรับมันไปจนเต็มอ้อมกอดของตัวเอง
“ทำไมถึงให้เราล่ะ?”
“แทนคำขอบคุณ”
“ขอบคุณอะไรกัน เราสิที่ต้องขอบคุณ”
“รับไว้เถอะ อย่างน้อยคุณก็ทำให้ได้รู้ว่าฟ้าหลังฝนมันดี”
“..”
“ราตรีสวัสดิ์คุณแพทริเซีย”
อัลฟ่าหนุ่มรีบหันหน้าหนีและเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วและโอเมก้าตัวขาวที่กำลังกอดดอกกุหลายอยู่นั่นก็รีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองด้วยอาการที่ไม่ต่างกัน
แต่หารู้ไม่ว่าตลอดทั้งทางที่พวกเขาได้เดินมาจากบ้านโรสซีลินนั้น
อยู่ในสายตาของใครบางคนอยู่ตลอดเวลา
- Simon’s theory -