โอเค พวกเรายังไม่ได้รู้จักโลกกว้างมากนักแต่การที่ไม่เคยเห็นด้วยตาก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีนี่สวนซูโจวที่เคยเห็นในโทรทัศน์ยังสวยกว่านี้มาก...หลินลั่วหรานพยายามที่จะใช้คำพูดเหล่านี้พูดปลอบประโลมตัวเองเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่านี่เป็บ้านที่ตัวเองมาดู และอาจจะถูกคนอย่างตัวเองซื้อความงดงามที่อยู่ตรงหน้าก็ดูลดลงไป
ด้านหลังของตัวบ้าน มีเกาะเล็กๆ ที่ถูกขุดบ่อน้ำล้อมไว้มีสะพานไม้พาดเอาไว้ให้เดินข้ามผ่าน บริเวณใจกลางมีกระท่อมไม้ไผ่เล็กๆที่ถูกรายล้อมไปด้วยต้นไผ่ที่ตั้งอยู่ เส้นทางหินกรวดถูกปูลากยาวั้แ่หน้าประตูไปจนถึงบริเวณสะพานไม้รอบข้างทางเดินเต็มไปด้วยต้นชาที่มีส่วนสูงกว่าครึ่งตัวคน บริเวณกำแพงก็เต็มไปด้วยเถาองุ่นและยังมีไม้ไผ่ปักเอาไว้อีกมากมายน่าจะเพื่อปลูกพืชจำพวกถั่วฝักยาวหรือบวบเอาไว้อีกไม่น้อย
ด้านซ้ายของด้านหลังตัวบ้าน ยังมีหอสำรวจเอาไว้หากเดินขึ้นไปแล้ว ก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนและบ้านเมืองได้ตรงมุมยังแขวนกระดิ่งอันเล็กให้สั่นไหวส่งเสียงไพเราะไปตามสายลมงดงามจนไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดมาเปรียบ
บริเวณที่ว่างระหว่างบ่อน้ำและกำแพงถูกเ้าของบ้านใช้ในการปลูกผัก ฤดูหนาวก็สามารถเก็บผลผลิตได้ผักกาดขาวก็มีอยู่ไม่น้อย
ทั้งผักและต้นไผ่ปลูกสลับคละกันไปให้ความรู้สึกราวกับหมู่บ้านในสมัยก่อนเสียจริง แต่ปัญหาก็คือนี่มันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว เมือง R เองก็ถือเป็เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยโครงเหล็กและพื้นซีเมนต์ในบริเวณที่ไม่ได้ห่างจากใจกลางเมืองนัก ยังมีที่แบบนี้อยู่มันไม่ดูแปลกไปหน่อยเหรอ?
“พี่หวัง ที่นี่...ราคาเท่าไรกันคะ?” หลินลั่วหรานกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกังวลสงสัยว่าเงินที่เหลืออยู่ไม่ถึงห้าล้านของเธอจะใช้ซื้อห้องห้องนี้ยังอาจจะไม่พอด้วยซ้ำไปยิ่งไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ทั้งหมดว่าสองไร่นี่เลย
หลินลั่วหรานยังจำตอนที่เธอลาออกจากมหาลัยตอนนั้นได้สถานที่ที่เธอเรียนซื้อพื้นที่จากโรงเรียนเก่าๆ ในบริเวณในเมืองดูเหมือนว่าหนึ่งไร่จะราคาราวๆ 8 ล้านหยวนเห็นจะได้ มาจนถึงตอนนี้พื้นที่ในบริเวณแถบๆ นี้ ราคาก็น่าจะขึ้นไปเท่าๆ กับพื้นที่ในเมืองในสมัยนั้นแล้ว
หวังเมี่ยวเอ๋อส่ายหน้าไปมาก่อนจะชี้ไปที่บริเวณแปลงผัก “เื่นี้คงต้องถามเ้าของเองแล้วล่ะ”
ได้ยินดังนั้นหลินลั่วหรานกับเป่าเจียถึงได้สังเกตเห็นว่ามีร่างของใครคนหนึ่งถูกซ่อนอยู่ในกลุ่มใบสีเขียวของต้นชาเมื่อได้ยินคำพูดของพี่หวัง ก็ยืดตัวขึ้นมา เขาสวมหมวกฟางเอาไว้เส้นผมและเคราต่างกลายเป็สีขาว แต่ใบหน้ากลับผ่องใส
หวังเมี่ยวเอ๋อกลายร่างเป็สาวน้อยนุ่มนวลอย่างที่หาได้ยากก่อนจะรีบะโคำว่า “คุณลุง” ออกไป
เมื่อหลินลั่วหรานเห็นว่าชายชรากำลังส่งยิ้มตรงมาทางเธอก็ได้แต่เกาหัว ก่อนจะส่งเสียงเรียกออกไป “อาจารย์เจี่ย” ในเวลานั้นตัวของเธอแน่นิ่งแข็งเป็หินไปในทันทีแม้แต่หวังเมี่ยวเอ๋อเองก็ได้แต่งุนงง
“เธอรู้จักคุณลุงเจี่ยด้วยเหรอ?”
ชายชราพยักหน้ารับ “เธอเป็ลูกศิษย์คนใหม่ของฉันเอง”
หวังเมี่ยวเอ๋อใมากตระกูลของเธอรู้จักกับชายคนนี้มาเนิ่นนาน เธอรู้จักชายคนนี้มาั้แ่เธอยังเป็เด็กในตอนที่เธอเริ่มคบกับเสี่ยซุยแรกๆ ก็ยังพาเสี่ยซุยมาพบเขาหวังให้เขารับและคอยสนับสนุน จนทำให้ผู้าุโตระกูลหวังยอมรับไปกว่าครึ่ง
แน่นอน เสี่ยซุยไม่มีอะไรแต่ก็ยังไม่ท้อใจพูดอะไรไม่คิด จนถูกเขาใช้ไม้กระบอกไล่ออกไป
เื่ราวเก่าๆ มักสวยงามเสมอ เมื่อนึกถึงวันวานใบหน้าของหวังเมี่ยวเอ๋อก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็คนกันเอง น้องสาวที่แท้พวกเรายังมีความสัมพันธ์แบบนี้กันอีกนะ คงจะเป็พรหมลิขิตแน่ๆ!”
คุณเจี่ยกวักมือเรียกให้พวกเธอทั้งสามเข้าไปที่กระท่อมไม้ไผ่ ภายในห้องมีโต๊ะที่ทำจากไม้ไผ่ถูกวางเอาไว้ที่แท้ที่นี่ก็เป็ห้องชานี่เอง
เป่าเจียที่เต็มไปด้วยพลังเสมอมาเมื่อได้พบกับชายชราที่ดูสงบนิ่งและห้องไม้ไผ่ที่งดงามสะกดนิ่งเอาไว้จนเรียบร้อยขึ้นมาก
ใบหน้าของหลินลั่วหรานขึ้นสีแดง “อาจารย์เจี่ยฉันไม่รู้ว่านี่เป็บ้านของคุณ...” เป็ครั้งแรกที่ได้มาบ้านของอาจารย์แต่กลับมามือเปล่าแบบนี้ หลินลั่วหรานรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
ราวกับว่าสามารถอ่านใจของเธอได้ออกชายชราลงมือรินน้ำชาให้ทั้งสามไปพร้อมกับตอบกลับด้วยความไม่เร่งรีบ “ไม่เป็ไรหรอกอย่าทำตัวห่างไกลนักเลย นิสัยของเธอฉันเองก็รู้ดีอยู่ อย่างโสมูเานั่นเธอกล้าเอามาเป็ของขวัญให้ครูที่เพิ่งสอนมาได้กลางทางอย่างฉันจะเป็คนขี้เหนียวไปได้อย่างไร?”
ได้ยินแบบนั้นใบหน้าของหลินลั่วหรานก็ยิ่งแดงขึ้น ก่อนจะพูดออกมา “ตอนแรกพี่หวังไม่ได้บอกว่าจะเป็บ้านแบบนี้ลูกศิษย์คงซื้อบ้านหลังใหญ่แบบนี้ของอาจารย์ไม่ไหว...” เธอเกรงว่าชายชราอาจจะรอใช้เงินอยู่หากตั้งความหวังเอาไว้มาก เมื่อผิดหวังก็จะยิ่งเสียใจอย่างไรก็ควรพูดให้ชัดเจนเอาไว้เสียก่อนว่าตอนนี้เธอคงไม่มีเงินต่อจะซื้อบ้านหลังนี้ได้
ชายชราเผยรอยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ตอนนี้มีเงินอยู่เท่าไร?”
“ไม่ถึงห้าล้านค่ะ...” เฮ้อ น่าจะพอซื้อแค่ห้องห้องนี้เท่านั้น
ชายชรายังคงถามถึงการงานและสภาพสถานะทางบ้านของเธอแต่ไม่ได้หัวเราะเยาะในความไม่เจียมตัวของเธอยิ่งเมื่อรู้ว่าเธออยากจะได้บ้านชั้นต่ำๆ ที่มีสวนเพราะกังวลว่าพ่อแม่อาจจะเบื่อก็เริ่มเห็นด้วยกับหลินลั่วหรานขึ้นมา
ที่บ้านก็ไม่ใช่มหาเศรษฐีอะไร ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีเงินแค่ห้าล้านกว่าหยวนแต่กลับกล้าที่จะมอบโสมูเาที่มีราคาสูงกว่าห้าแสนให้กับอาจารย์ที่เพิ่งสอนเธอมาได้ไม่ถึงเดือนอีกทั้งยังดูแลพ่อแม่ดี นอกจากคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์แล้วก็คงไม่มีอะไรจะใช้อธิบายได้อีก
“บ้านหลังนี้ฉันฝากให้เมี่ยวเอ๋อขายให้เดิมทีราคาคือสามสิบล้านแต่ถ้าเธออยากได้ยี่สิบล้านก็พอแล้ว...อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธเลยจ่ายเงินเอาไว้สักห้าล้านก่อนก็ได้ ฉันไม่ได้รีบร้อนจะใช้เงินอะไรส่วนที่เหลือก็ค่อยๆ ทยอยจ่ายให้ซู่เอ๋อก็พอแล้ว
ราคายี่สิบล้านนั้นแม้ในสายตาคนทั่วไปแล้วจะเป็ราคาที่สูงมากแต่หลินลั่วหรานรู้ดีว่านี่เป็ราคาที่ที่ดินแบบนี้สามารถขายออกไปได้อย่าเพิ่งพูดถึงหยาดเหงื่อแรงใจที่ชายชราต้องสูญเสียไปกับบ้านหลังนี้เลยแล้วไหนจะยังข้าวของที่อาจจะเป็วัตถุโบราณเ่าั้อีก
เป่าเจียเกือบจะเผลอพ่นน้ำชาในปากออกมาไม่ใช่เพราะราคาที่สูงจนน่ากลัว แต่เป็เพราะเพียงคำว่า “อาจารย์” ก็สามารถทำให้ราคาลดลงไปได้กว่าสิบล้าน เื่ดีๆ แบบนี้ทำไมถึงไม่เกิดขึ้นกับเธอบ้างกันนะ?
แต่ปัญหาก็คือเธอรู้ดีว่าหลินลั่วหรานไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น หรือว่าจะต้องไปพนันหยกอีกสักครั้ง? ถึง่นี้เพื่อนรักจะดูมีลับลมคมในต่างจากแต่ก่อนแต่ก็ยังดวงดีถึงขนาดพนันถูกทุกครั้งไหมนะ...เป่าเจียเองก็ถูกบ้านหลังนี้ทำให้สับสนมึนงงไปหมด
“อาจารย์เจี่ยถ้าคุณไม่ได้รีบร้อนใช้เงิน แล้วจะขายบ้านหลังนี้จริงๆ เหรอคะ?” บ้านโบราณที่งดงามแบบนี้ เดิมทีก็เป็ที่ที่เหมาะแก่การพักใน่วัยชราหลินลั่วหรานเกรงว่าชายชราจะลำบากอะไร จึงได้ถามออกไป
“ไม่ต้องกังวลเื่นี้หรอกฉันตั้งใจจะย้ายไปอยู่กับเพื่อนแล้ว บ้านหลังนี้ก็เป็หนึ่งในมรดกตกทอดแต่ถ้าจะยกให้ลูกหลาน ฉันคิดว่าขายให้คนที่รักที่นี่จริงๆ เสียยังจะดีกว่า”
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานกำลังคิดตัดสินใจอยู่ชายชราก็ไม่ได้เร่งอะไรเธอ เมื่อมองเวลาแล้ว ก็ลูบเคราขาวกับพูดออกมา “ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ไหนๆก็มาแล้ว จะเชิญให้ลองชิมฝีมือของฉันหน่อยแล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าชายชราจะไปทำอาหารให้พวกเด็กๆอย่างเธอทั้งสามด้วยตัวเอง แม้แต่คนที่หาญกล้าอย่างหวังเมี่ยวเอ๋อก็กังวลขึ้นมาก่อนจะรีบหันไปส่งสายตาให้กับหลินลั่วหราน
หลินลั่วหรานจึงบอกว่าเธอเป็ศิษย์จะปล่อยให้อาจารย์ลำบากไม่ได้ ชายชราได้ยินดังนั้นถึงได้พยักหน้าเห็นด้วยและยอมให้เธอลงมือทำไป
อาหารการกินของชายชราผู้นี้ต่างออกไปจากผู้บังคับบัญชาฉินที่คลั่งไคล้การทานเนื้ออาหารของเขาเห็นได้ชัดว่าต่างเป็อาหารที่ดูแลสุขภาพ
อย่างเช่น “กลุ่มเมฆหมอกอันหอมหวน” จานนี้ เมื่อได้ยินชื่อ ต่างก็ต้องสงสัยว่ามันคืออะไรแต่กลับเลือกใช้สีขาวสะอาด มีความยืดหยุ่นสูง ของเนื้อในกุ้งสดอย่างแรกคือต้องนำเนื้อกุ้งไปต้มรวมกับหอมและขิงเอาไว้กว่าสองชั่วโมงเพื่อดับกลิ่นคาวของมันออกไป และได้รับกลิ่นของหอมเข้ามาแทน
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงก็นำเนื้อกุ้งขึ้นมาและสับรวมไปกับเนื้อส่วนติดไขมัน นำใบชาจากป่าฝนจงซานต้มจนเปื่อยแล้วเอามาผสมกับเนื้อกุ้ง ก่อนจะเอาไปผัดรวมกับถั่วเมล็ดสนอีกครั้งและต้องทานคู่กันกับซอสมะเขือเทศ แค่มองก็ให้ความรู้สึก สงบ เงียบ งดงามแล้วไม่ต้องพูดถึงตอนที่ได้กินเข้าไปเลย
ทั้งสามอยู่ที่นั่นจนเวลาผ่านไปจนถึงเย็นก่อนจะกลับออกมา
เป่าเจียลูบท้องของเธอไปมาหน่อไม้ผัดแฮมที่เพิ่งกินเข้าไปนั้น เรียกความอยากอาหารของเธอได้ดีได้ยินมาว่าหน่อไม้นั่น ต่างก็เป็หน่อไม้ที่ได้มาจากสวนด้านหลังของบ้านทั้งนั้น
“เสี่ยวหรานบ้านหลังนี้อยู่สบายเกินไปแล้ว ยังไงก็ซื้อเอาไว้ดีกว่าไหม?”
หลินลั่วหรานมองไปยังต้นอบเชยที่เติบโตสูงเลยกำแพงออกมาอิฐสีดำและเสาหลักสีแดง ช่างเป็บ้านที่ทำให้คนใจเต้นเสียจริง พ่อกับแม่จะต้องชอบมากแน่ใช่ไหม? ด้านหลังบ้านยังใหญ่ขนาดนั้นเด็กชายก็น่าจะมีพื้นที่ให้ได้เล่นด้วย...
อย่างไรก็ควรจะซื้อเอาไว้ใช่ไหม?