อวิ๋นซานได้ยินคำรายงานขององครักษ์ด้านนอกก็อึ้งไปเล็กน้อย มีคนมาหาเขา มิหนำซ้ำยังเป็แม่นางน้อยผู้หนึ่ง?
จ้าวลี่เจียได้ยินเช่นนั้นก็อดมองไปยังอวิ๋นซานไม่ได้ นางถาม “เ้าไปสร้างหนี้ดอกท้อไว้ด้านนอกมา ใช่หรือไม่” อย่าได้มองว่าอวิ๋นซานอายุมากเลยเชียว เพราะรูปร่างหน้าตาของเขายามนี้ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากบุรุษในวัยสามสิบต้นๆ ทั้งยังมีเสน่ห์มากอย่างที่สามารถทำให้แม่นางน้อยสักคนลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำได้ง่ายๆ
อวิ๋นซานมองภรรยาไปทีหนึ่งด้วยสีหน้าเคืองๆ “พูดอะไรน่ะ ข้าเป็ตาแก่ปูนนี้แล้ว เ้าพูดคำเช่นนี้ออกมา ไม่กลัวคนเขาจะขำเอาหรือ”
จ้าวลี่เจียพูดอย่างไม่เกรงใจ “เ้าจะพูดว่าตัวเองแก่ก็พูดไปสิ แต่ข้าไม่เคยคิดหรอกนะว่า ตัวข้าจะแก่แล้ว” ทั้งๆ ที่นางอายุมากกว่าอวิ๋นซาน แต่อวิ๋นซานกลับบอกว่าตัวเองเป็ตาแก่ ด้วยเื่นี้จะไม่ใช่ว่ากำลังว่านางเป็ยายแก่ไปด้วยเหมือนกันหรือ
สำหรับผู้หญิง สิ่งที่เกลียดที่สุดคือ การถูกคนอื่นบอกว่าแก่ โดยเฉพาะคนข้างหมอนนี่แหละที่ทำให้ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี
เพ่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่อีกด้านยิ้มพูดว่า “นายท่าน ฮูหยินโกรธแล้วเ้าค่ะ ท่านพูดเช่นนี้เท่ากับบอกเป็นัยว่าฮูหยินเองก็แก่แล้วนะเ้าคะ”
ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซานถึงกับดึงสติตนกลับมาได้ หัวเราะฮ่าฮ่า “เป็ข้าที่แก่แล้ว เ้ายังสาวอยู่มาก”
“ไปไกลๆ เลย” เมื่อจ้าวลี่เจียได้ยินคำแก้ตัวที่มาช้าเกินไปก็สาดสายตาเ็าใส่อวิ๋นซานทันที นางเพิ่งค้นพบว่า ่นี้ชายคนนี้รู้จักพูดเป็อย่างมาก อีกทั้ง คำพูดที่เปล่งออกมา บางครั้งก็ชวนให้คนรู้สึกหน้าแดง
ทั้งที่บอกว่า ตนเองเป็ตาแก่แล้ว แต่ยังจะมาทำเล่นเช่นนี้อยู่อีก
คนทั้งสองพากันมองแม่นางน้อยที่สาวใช้พาเข้ามา ผู้มาใหม่มีดวงหน้ารูปเมล็ดแตงโม ขนตางอน และดวงตาน่ามองเหมือนนกการเวก ถึงแม้คนจะแต่งกายธรรมดายิ่ง แต่อาภรณ์ธรรมดาที่สวมใส่อยู่นั้นไม่อาจบดบังความงดงามที่มีชีวิตชีวาได้
“เ้าคือใคร เหตุใดจึงอยากพบข้า” อวิ๋นซานถามตรงๆ
ฟู่ชิงอวิ๋นมองชายหญิงที่นั่งอยู่บนที่นั่งหลักไปทีหนึ่ง ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจทันทีว่า ท่านทั้งสองนี้คือผู้ใด นางคุกเข่าลง พูดว่า “บ่าวชิงอวิ๋น คารวะนายท่านอวิ๋น ฮูหยินอวิ๋นเ้าค่ะ”
จ้าวลี่เจียและอวิ๋นซานสบตากันทีหนึ่ง และเป็จ้าวลี่เจียที่พูดขึ้นเรียบๆ “ลุกขึ้นเถอะ บอกเหตุผลที่เ้ามาที่นี่เสีย”
ฟู่ชิงอวิ๋นพยักหน้า ไม่คิดพูดจาไร้สาระให้มากความ นางพูดเข้าประเด็นทันที “นายท่านอวิ๋น ฮูหยินอวิ๋น บ่าวเป็สาวใช้ที่อยูในตำหนักสิงกงเ้าค่ะ” แนะนำตัวเพียงสั้นๆ ก็เริ่มพูดถึงเป้าหมายที่มาในครั้งนี้ของตน “วันนี้ข่าวลือภายนอกที่พูดเกี่ยวกับคุณหนูจาง คาดว่าทั้งสองท่านคงจะทราบกันแล้ว และเพราะเื่นี้ ทำให้เจิ้นหนานอ๋องถึงกับสำรอกโลหิตออกมา ตอนนี้คนยังสลบไสลไม่ได้สติ เราเชิญท่านหมอมาแล้ว ท่านหมอบอกว่าหากไม่พักผ่อนให้ดี บางทีอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”
คำพูดเหล่านี้ นางแอบได้ยินมาตอนที่ท่านหมอพูดกับเด็กที่ถือกล่องยาข้างกาย วันนี้ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว นางก็ไม่อาจปิดบังมากเกินไปได้ อีกทั้ง ฟู่ชิงอวิ๋นรู้ดีว่า สองท่านตรงหน้านี้ต่างก็มีวิชาแพทย์สูงส่ง หากพวกเขายินยอมยื่นมือเข้าช่วย ไม่แน่เื่ราวอาจจะมีจุดเปลี่ยนก็เป็ได้
อวิ๋นซานและจ้าวลี่เจียต่างคิดไม่ถึงว่าผู้มาใหม่จะพูดออกมาเช่นนี้ เื่ของจางเหวินเหมย แน่นอนว่าพวกเขารู้แล้ว หากให้พูดตามจริง อวิ๋นซานคิดว่าสตรีนางนั้นช่างขายหน้านัก และคงมีแต่เจิ้นหนานอ๋องเท่านั้นที่ตัดใจไม่ลง เพราะหากบุตรสาวของเขาเป็เช่นนี้ เขาคงจะฆ่านางไปนานแล้ว
“จางเหวินเหมยพักอยู่ที่ตำหนักสิงกงมิใช่หรือ จะอย่างไรนางก็ต้องดูแลเจิ้นหนานอ๋องเองอยู่แล้ว” อวิ๋นซานไม่แม้แต่จะคิดก็พูดออกไปเลย สำหรับบิดาของตนผู้นี้ เขาไม่อยากจะเข้าไปใกล้ชิดด้วย
ฟู่ชิงอวิ๋นเม้มปาก พูดเสียงเบา “่นี้บ่าวติดตามรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินหลิน จากที่บ่าวเห็นกับตาตน ฮูหยินหลินมิได้ใส่ใจเจิ้นหนานอ๋องถึงเพียงนั้น สำหรับบ่าวแล้ว เจิ้นหนานอ๋องนับเป็วีรบุรุษของใต้หล้า จึงให้ความเคารพต่อตัวท่านเป็อย่างมาก ในใจบ่าวทนไม่ไหว วันนี้จึงได้เร่งมาหานายท่านอวิ๋นและฮูหยินอวิ๋นเ้าค่ะ”
จ้าวลี่เจียมองสาวน้อยตรงหน้า ดูเหมือนว่าคนจะมีอายุสิบห้าสิบหก แม้จะเป็เพียงสาวใช้คนหนึ่ง แต่กลับมีความคิดถึงเพียงนี้ ในโลกนี้พบเห็นได้น้อยนัก อีกทั้ง นางยังพบว่าคำกล่าวของฟู่ชิงอวิ๋นน่าสนใจมากจริงๆ เริ่มแรกคนเรียกขานจางเหวินเหมยว่าคุณหนูจาง พูดไปพูดมากลับเรียกว่า ฮูหยินหลิน
ยิ่งกว่านั้น แม่นางน้อยรู้ฐานะของอวิ๋นซาน แต่กลับไม่เรียกขานเขาว่า นายท่านจาง และเลือกที่จะเรียกว่า นายท่านอวิ๋น แทน จากคำเรียกเหล่านี้ก็ทำให้นางได้รู้แล้วว่า แม่นางน้อยคนนี้เฉลียวฉลาดมาก
“เ้าอยากให้พวกเราไปเยี่ยมเจิ้นหนานอ๋อง และช่วยตรวจดูอาการให้ ใช่หรือไม่? ” จ้าวลี่เจียถามพร้อมรอยยิ้ม
ฟู่ชิงอวิ๋นถูกคนพูดแทงใจดำ หัวเราะแก้เก้อเบาๆ ก่อนจะตอบคำตามจริง “เื่นี้ บ่าวคิดเช่นนั้นจริงเ้าค่ะ” นางคิดเช่นนี้จริงๆ นั่นแหละ ส่วนเื่ที่ว่าพวกเขาจะยินยอมช่วยหรือไม่ ก็หาใช่เื่ที่นางจะสามารถบีบบังคับได้
จ้าวลี่เจียพูดกับสามี “เด็กคนนี้น่าสนใจจริงๆ ”
อวิ๋นซานเลิกคิ้ว “เ้าคิดจะทำสิ่งใด? ”
“ผู้อื่นอุตส่าห์มาเชิญถึงที่ แน่นอนว่าข้าต้องไปตามคำชวนสักรอบ” พูดจบ นางก็ลุกขึ้น พูดกับลวี่อินสาวใช้ที่ติดตามอยู่ข้างกาย “ไปนำกล่องยาของข้ามา พวกเราจะไปตำหนักสิงกงกัน”
“เ้าค่ะ” ลวี่อินพยักหน้า รีบถอยออกไป
เมื่อฟู่ชิงอวิ๋นได้ยิน ในใจก็ยินดี นางรีบพูด “เช่นนั้น บ่าวขอตัวกลับก่อนนะเ้าคะ” อย่างไรเสีย หากตนออกมานานเกินไป ต้องถูกใครทราบเข้าเป็แน่
จ้าวลี่เจียเปิดปากรั้งคนไว้ “ไปพร้อมกับข้านี่แหละ ข้าจะให้คนไปส่งเ้าที่ประตูหลังของตำหนักสิงกง” เด็กคนนี้น่าสนใจ นางมองแล้วชอบใจเป็อย่างมาก...
แม้เื่ราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง อวิ๋นซีจะไม่ได้รับรู้ด้วย แต่เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตำหนักสิงกง รวมถึงทุกๆ ถ้อยคำที่จางเหวินเหมยและหลินหรงเว่ยสนทนากันก็มาถึงหูของจวินเหยียนแล้ว เมื่อเขาทราบเื่ก็ได้แต่หัวเราะเ็า กลิ่นอายเย็นะเืบนร่างแผ่กำจายออกมาทันใด “จางเหวินเหมย หลินหรงเว่ย ดีนี่”
“นายท่าน เหตุใดจึงไม่ฆ่าทิ้งเสียเลยเล่าขอรับ” เว่ยอิงถามเสียงต่ำด้วยความไม่เข้าใจ
“สถานะของหลินหรงเว่ย พวกเ้าสืบหามานาน ก็ยังไม่พบเจอปัญหาใด ทว่า คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมเพียงนี้ ชาวบ้านซื่อๆ ธรรมดาๆ ที่ใดจะให้กำเนิดออกมาได้? ความเป็มาของเขายังไม่กระจ่าง ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ยังฆ่าไม่ได้”
หากไม่ใช่เพราะ้าใช้เบาะแสนี้สืบเื่อื่น เขาคงไม่รีรอสั่งสังหารไปนานแล้ว ส่วนจางเหวินเหมย หึหึ ก็แค่สตรีโง่เง่าที่ถูกบุรุษปรนเปรอจนเต็มที่เท่านั้น
“เพิ่มองครักษ์คุ้มกันจวนอ๋อง และส่งข่าวไปให้เว่ยซาน ให้เขาปกป้องพระชายาให้ดี” หากคิดจะแตะคนของเขา ก็ต้องดูว่าหลินหรงเว่ยมีความสามารถนี้หรือไม่ ถึงกระนั้นเขาก็แอบหวังอยู่ว่า คนจะพอมีฝีมืออยู่บ้าง อย่าให้เขาได้ดูถูกดูแคลนเลย
................................................................................................
ณ จวนรัชทายาท
โอวหยางเทียนหัวได้ยินเื่ที่เกิดขึ้นระหว่างจางเหวินเหมยและชิวเสียงแล้ว สีหน้าเขาตอนนี้ไม่น่ามองเป็อย่างยิ่ง สาเหตุที่ทำให้เป็เช่นนี้ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น ก็แค่ชิวเสียงเป็คนของเขา ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ลานล่าสัตว์ พระบิดาเพิ่งจะพระราชทานสมรสให้ชิวเสียงไป แต่ตอนนี้คนกลับตบหน้าเสด็จพ่อของเขาด้วยการกระทำอย่างแรง
อย่างไรก็ตาม พระบิดาได้พระราชทานคุณหนูสามหลินที่งดงามราวดอกไม้ให้ตบแต่งให้ชิวเสียง แต่เขากลับไปหลับนอนกับมารดาของผู้อื่นเสียนี่ หึหึ ช่างเป็การตบหน้าได้ดังดีทีเดียว น่าตายนัก โอวหยางเทียนหัวต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะผลักดันชิวเสียงให้ไปถึงตำแหน่งรองเ้ากรมอาญาได้
“องค์รัชทายาท อย่าได้คิดมากอีกเลยเพคะ” ลู่หลิงฉิงมองโอวหยางเทียนหัวที่อารมณ์ไม่สงบ นางเดินมาถึงข้างเตียงของเขาพร้อมน้ำแกงบำรุงร่างกายในมือ ก่อนจะนั่งลง จากนั้นก็ใช้มือหนึ่งของตนเกาะกุมมือโอวหยางเทียนหัวไว้ แล้วนำมาวางลงบนครรภ์อายุเกือบหกเดือนของนางอย่างระมัดระวัง “ลูกชาย รีบบอกเสด็จพ่อเ้าสิว่า ขอพระองค์อย่ากริ้วอีกเลย”
โอวหยางเทียนหัวมองท้องของนางที่ยื่นออกมา เขาลูบเบาๆ ไปสองสามที ฉับพลันนั้นเด็กในท้องก็เตะโดยแรงราวกับเป็การตอบสนองผู้เป็บิดา เมื่อโอวหยางเทียนหัวเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่า พูดว่า “เ้าเด็กดี”
อย่างไรก็ตาม หวงกุ้ยเฟยได้แอบเชิญหมอหลวงมาตรวจดูครรภ์แล้ว หมอบอกว่า เด็กในท้องคนนี้เป็ซื่อจื่อน้อย และเพราะเหตุนี้โอวหยางเทียนหัวถึงกับไม่รู้ว่าควรจะดีใจมากมายเพียงใดดี แม้เขาจะถูกอวิ๋นซีทำให้ขาหักจนอารมณ์ไม่ดีมาตลอด แต่ก็ไม่เคยระบายความโกรธแค้นใส่ลู่หลิงฉิงเลย
ส่วนลูกสายรองจากสนมชุ่ยเอ๋อร์ หมอหลวงเองก็บอกเช่นกันว่ามีความเป็ไปได้ถึงแปดเก้าส่วนที่เด็กในท้องจะเป็ลูกชาย
นับแต่ที่โอวหยางจวินเหยียนกลับมาเมืองหลวงก็คงเป็สองเื่นี้ที่นับเป็ข่าวดีที่สุดที่องค์รัชทายาทได้รับ ในที่สุดตอนนี้เขาก็จะมีลูกชายแล้ว