ูเี่อันใส่รองเท้าตามที่เขาบอกและจับมือเขาขึ้นมา
“ไปกัน”
เธอลากลู่เป๋าเหยียนเดินออกไปอย่างร่าเริงด้วยรอยยิ้มกว้างไม่รู้ตัวเลยว่าตนเป็คนจับมือเขาก่อน
ลู่เป๋าเหยียนมองมือขาวเนียนของเธอพลางคิด
นี่แหละคือสิ่งที่เขา้าที่สุด
ชื่อเสียงและเงินทองทั้งหลายเทียบไม่ได้เลยกับการกระทำอันใกล้ชิดของเธอในตอนนี้
เมื่อจูงลู่เป๋าเหยียนเดินออกจากโรงแรมแล้วเรียบร้อยูเี่อันก็หันกลับมาถามเขา
“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าฉันจะพานายไปไหน”
ลู่เป๋าเหยียนยิ้มตอบ“เธอน่าจะบอกฉันได้แล้วนะตอนนี้”
“ที่จริงฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะหาเจอไหมนะ”ูเี่อันยื่นมือมาหาลู่เป๋าเหยียน
“มือถือ”
ลู่เป๋าเหยียนส่งมือถือที่หยิบติดมือมาด้วยก่อนออกจากห้องใหู้เี่อันเธอส่งข้อความหาซูอี้เฉิง ไม่ถึงหนึ่งนาทีเขาก็ตอบกลับมาเป็ที่อยู่ของสถานที่หนึ่ง
“ที่นี่ผมรู้จักครับ”คนขับรถกล่าว “แต่ว่าค่อนข้างไกลหน่อยนะครับ คงใช้เวลาสักสี่สิบนาทีกว่าจะถึง”
“ไม่เป็ไรค่ะ!”ูเี่อันจึงมือลู่เป๋าเหยียนขึ้นรถอย่างดีใจ
“ฉันไม่เคยเจอคุณตากับคุณยายส่วนคุณปู่กับคุณย่าก็เสียไปั้แ่ฉันยังเล็ก เท่าที่จำได้คนรุ่นเดียวกันกับพวกท่านที่โอ๋ฉันที่สุดน่าจะเป็คุณย่าสวี่ซึ่งเป็แม่นมของแม่ที่คอยดูแลแม่ฉันมาตลอดจนฉันอายุได้เจ็ดขวบคุณย่าสวี่ก็กลับบ้านเกิดไปแต่ทุกครั้งที่มีโอกาสคุณย่าก็มักจะมาเยี่ยมพวกเราที่เมือง A ตลอด และทุกครั้งที่มาก็จะเอาบ๊ะจ่างที่ลงมือทำเองมาฝากเยอะแยะเลยแต่พอแม่ฉันเสีย ฉันก็ไม่มีโอกาสได้เจอคุณย่าสวี่อีกเลย”
“เขาเป็คนเมืองนี้?” ลู่เป๋าเหยียนถาม
“อืม”ูเี่อันพยักหน้า “พี่เคยบอกกับฉันว่า คุณย่าสวี่กลับเมือง G มาเปิดร้านอาหารเล็กๆเวลาที่พี่มาทำงานที่นี่ ถ้าไม่ติดอะไรก็มักจะไปกินข้าวที่ร้านคุณย่าสวี่ตลอดเพราะอาหารที่คุณย่าสวี่ทำ รสชาติคล้ายที่แม่ทำที่สุดเลย!”
สี่สิบนาทีให้หลังรถคันงามก็ได้จอดลงตรงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ร้านนี้เป็ร้านบะหมี่เล็กๆที่ตั้งอยู่ในซอยเก่าแก่ทั้งร้านมีโต๊ะเก้าอี้เพียงแค่สี่ชุด ดูสะอาดสะอ้าน
ไฟในร้านมืดสลัวอาจจะปิดร้านแล้วก็เป็ได้ และเพราะได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในร้านเด็กสาวที่นั่งเคี้ยวเมล็ดแตงโมพลางดูหนังอยู่หลังเคาน์เตอร์จึงพูดขึ้นโดยไม่หันกลับมามองว่า
“ขอโทษด้วยค่ะร้านเราปิดแล้ว”
ูเี่อันจำได้ว่าคุณย่าสวี่มีหลานสาวอยู่คนหนึ่งน่าจะเป็เธอคนนี้สินะ ว่าแล้วูเี่อันจึงเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์
“สวัสดีค่ะ”
สวี่โย่วหนิงเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นูเี่อันจากนั้นก็อ้าปากค้างพลางอุทานออกมาเมื่อเห็นลู่เป๋าเหยียน
“ว้าว!หล่อกว่าในหนังสือพิมพ์อีกนะเนี่ย!”
ูเี่อันยิ้มพลางพูดขึ้นอย่างมีมารยาท
“ฉันมาหา...”
“ฉันรู้ว่าคุณมาหายายฉัน!”สวี่โย่วหนิงลุกขึ้นพลางเช็ดมือ “ยายบ่นถึงคุณมาตลอดหลายปี คราวนี้คงดีใจแย่รอแป๊บนะคะ เดี๋ยวฉันไปตามยายให้”
พูดจบเธอก็เปิดม่านประตูกลับเข้าหลังร้านไปอย่างรวดเร็วูเี่อันมองม่านประตูสะอาดสะอ้านที่ถูกซักจนเริ่มขาวซีดไปตามกาลเวลาพลางคิดไปถึงภาพของแม่และคุณย่าสวี่ที่คอยดูแลเธอในยามเด็ก
ลู่เป๋าเหยียนเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามากุมมือเธอไว้ ูเี่อันยิ้มให้เขาทันใดนั้นก็ได้ยินคนสูงวัยที่ติดจะสั่นเครือดังขึ้น
“เจี่ยนอัน”
เธอมองไปทางม่านประตูขอบตาเริ่มร้อนขึ้นมา
สิบปีแล้วกาลเวลาเปลี่ยนเธอจากเด็กน้อยไร้เดียงสาให้เป็ภรรยาของคนอื่นไปแล้วเฉกเช่นเดียวกับริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและหลังที่เริ่มค่อมของคุณย่าสวี่
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือความเมตตาที่อยู่ในแววตาของคุณย่า ทุกครั้งที่คุณย่ามองมาที่เธอเธอรู้สึกราวกับโลกใบนี้กำลังปลอบโยนเธอ
เมื่อเห็นเด็กสาวที่เติบโตกลายเป็หญิงสาวผู้งดงามยืนอยู่ตรงหน้าหญิงชราก็เริ่มน้ำตาคลอ
“เจี่ยนอันหนูโตขึ้นมาก เป็คนเก่งเหมือนพี่ชายไม่มีผิดแม่หนูที่อยู่บน์ก็คงวางใจได้สักที”
ูเี่อันกุมมือหญิงชราเอาไว้แน่นหลังจากนิ่งไปชั่วครู่จึงพูดขึ้น
“คุณย่าสวี่ หนูแต่งงานแล้วค่ะ”
เธอจูงมือลู่เป๋าเหยียนทำท่าจะแนะนำเขาแต่คุณย่าสวี่กลับยิ้มและพูดขึ้นก่อน
“ย่ารู้แล้วล่ะหนึ่งเดือนก่อนพี่ชายเธอบอกย่าแล้วตอนที่เขามาทำงานที่นี่หลายวันก่อนย่ายังบ่นถึงหนูอยู่เลย หนิงหนิงเลยเอารูปของพวกหนูให้ย่าดู”
คุณย่าที่เริ่มหลังค่อมแล้วเวลาเงยหน้ามองลู่เป๋าเหยียนจึงค่อนข้างลำบากูเี่อันกำลังคิดจะเข้าไปประคองให้เธอนั่ง แต่ลู่เป๋าเหยียนกลับไวกว่าเขายื่นมือออกไปพลางพูดด้วยรอยยิ้มบาง
“คุณย่าเชิญนะก่อนครับ”
คุณย่าสวี่ยิ้มอย่างปลื้มใจและตีมือลู่เป๋าเหยียนเบาๆ
“หนิงหนิงบอกย่าว่าเราเป็คนเก่งเหมือนพี่ชายเจี่ยนอันเขาไม่มีผิด อี้เฉิงรักเจี่ยนอันมากรับปากกับย่า ว่าเราจะดูแลเจี่ยนอันให้ดีเหมือนที่อี้เฉิงทำได้ไหม ”
ูเี่อันมองลู่เป๋าเหยียนอย่างอึดอัดเล็กน้อยแต่ก็พบว่ารอยยิ้มบางบนใบหน้าเขายังคงเดิม ไร้ซึ่งความเ็าและเย่อหยิ่งดั่งทุกที
“วางใจเถอะครับผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุด”
ูเี่อันรู้สึกโล่งใจความหวานเริ่มซึมแทรกเข้ามาในหัวใจอย่างประหลาด ทว่าหลังจากนั้นความกังวลก็เริ่มตามมา
ลู่เป๋าเหยียนอาจจะสัญญาออกไปเพียงเพื่อให้คุณย่าสวี่สบายใจก็เป็ได้
แล้วเธอจะดีใจไปทำไม?
คุณย่าสวี่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งดีใจจู่ๆ เธอก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“เจี่ยนอันพวกหนูกินข้าวมากินหรือยัง ทุกครั้งที่พี่ชายเรามาเมืองนี้ก็มักจะยุ่งอยู่กับงานปกติเขาก็มาหาย่าเวลานี้นี่แหละ มาทีไรต้องร้องหิวทุกทีแถมยังบอกว่ายอมทนหิวเพื่อมากินอาหารของย่าโดยเฉพาะด้วยนะ”
ูเี่อันยิ้มตอบ“พวกหนูก็เหมือนกันค่ะ คุณย่าสวี่คะ หนูอยากกินผัดมะเขือยาวฝีมือคุณย่าจัง”
“ได้เลยเดี๋ยวย่าไปทำให้เดี๋ยวนี้แหละ”
หญิงชรายิ้มพลางเดินเข้าครัวไปสวี่โยวหนิงเองก็เข้าไปช่วยด้วยอีกแรง ูเี่อันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงพูดกับลู่เป๋าเหยียน
“พวกเราจะกลับเมือง A กันเมื่อไรเหรอ”
“อยากกลับแล้ว?”
ูเี่อันส่ายหน้า“เปล่า ตอนกลางวันอยู่ห้องคนเดียวฉันเบื่อ ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่กลับล่ะก็ ฉันอยากจะมาที่นี่”
“พวกเราจะกลับกัน่บ่ายวันมะรืนพรุ่งนี้ฉันจะให้คนขับรถมาส่ง” ลู่เป๋าเหยียนพูด
ูเี่อันมีหลายเื่ที่อยากจะคุยกับคุณย่าสวี่จึงรีบพยักหน้าอย่างดีใจ
“โอเค!”
ถึงแม้ว่าคุณย่าสวี่จะอายุมากแล้วแต่เมื่ออยู่ในครัวเธอไม่ได้ดูเชื่องช้าเลยสักนิด ไม่ถึงสี่สิบนาที ผัดมะเขือยาวหมูเปรี้ยวหวาน และผัดคะน้าฮ่องกงก็เสร็จเรียบร้อยส่วนซุปเป็ซุปไก่ที่คุณย่าตุ๋นเอาไว้อยู่แล้วเธออุ่นมันให้ร้อนแล้วจึงให้สวี่โย่วหนิงยกออกมา คุณย่าสวี่พูดขึ้นว่า
“ทำไมหนูถึงผอมขนาดนี้แถมยังทำงานหนักอีก กินเยอะๆ นะลูก”
สวี่โย่วหนิงประคองให้คุณยายของเธอนั่งลง
“ยายจ๊ะสมัยนี้ผู้หญิงเขานิยมผอมๆ ไว้ก่อน ถ้ากินเยอะแล้วจะรู้สึกผิดต่อตัวเองนะยาย”
“ยังจะมาพูดอีก”หญิงชราอดหยิกหลานสาวตัวเองไม่ได้ “เราน่ะ หางานไปถึงไหนแล้วอี้เฉิงบอกให้ไปช่วยงานที่บริษัท ทำไมไม่ยอมไป”
“หนูอยากอยู่เป็เพื่อนยายนี่นาเลยไม่อยากจากเมืองนี้ไป แถมเครือเฉิงอันใหญ่โตขนาดนั้นหนูกลัวว่าความสามารถจะไม่ถึงเอาน่ะยาย” สวี่โย่วหนิงพูดยิ้มๆ“เื่งานหนูคิดไว้แล้วล่ะหนูกะว่าจะลองไปสมัครเป็พนักงานร้านหม้อไฟที่อยู่ตรงเขตเมืองเก่าที่นั่นทำงานวันละเจ็ดชั่วโมง เงินเดือนเดือนละสามพันหยวน พอให้หนูใช้จ่ายพอดีแถมเป็แค่พนักงานเสิร์ฟไม่มีแรงกดดันอะไรมากด้วย”
ูเี่อันชักแปลกใจว่าทำไมมันถึงบังเอิญขนาดนี้จึงถามออกไป
“ที่พูดถึงนี่ใช่ร้านหม้อไฟไม่มีชื่อที่อยู่ริมแม่น้ำหรือเปล่าเธออยากจะไปทำงานที่นั่นงั้นเหรอ”
“ใช่เลย!” สวี่โย่วหนิงพยักหน้างึกงัก“พวกเธอเคยไปกินหม้อไฟที่นั่นเหรอ? ฉันได้ยินมาว่าร้านนั้นรับเฉพาะแขกของเ้าของเท่านั้นในหนึ่งเดือนจะมีสักหกถึงเจ็ดวันที่พนักงานแทบไม่ต้องทำอะไรเพราะอย่างนี้ฉันเลยอยากไปทำงานที่นั่นไง พวกเธอกับเ้าของ...?”
“พวกเราเป็เพื่อนกับเขา”ลู่เป๋าเหยียนพูด “เดี๋ยวฉันจะคุยกับมู่ซือเจวี๋ยให้ เธอสะดวกเริ่มงานเมื่อไรก็ไปที่นั่นได้เลย”
เนื่องจากมู่ซือเจวี๋ยมักจะไปกินข้าวที่ร้านทำให้พนักงานส่วนใหญ่มักจะเป็คนรู้จักที่ไว้ใจได้ครั้งนี้เนื่องจากคุณน้าคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุได้รับาเ็ จึงประกาศรับคนเดิมทีสวี่โย่วหนิงเองยังกังวลอยู่เลยว่า ตนจะสามารถเข้าทำงานที่นั่นได้หรือไม่
แต่ตอนนี้...ดูเหมือนเธอจะได้งานแล้ว?
ว่าแต่ภูมิหลังของมู่ซือเจวี๋ยออกจะซับซ้อนขนาดนั้น ลู่เป๋าเหยียนเป็เพื่อนกับเขาได้อย่างไรกัน?
ถึงแม้ความคิดหลายอย่างจะผ่านเข้ามาในสมองแต่สวี่โย่วหนิงก็ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ได้พลางพูดอย่างดีใจ
“โอเค! ขอบคุณมากค่ะ!”
คุณย่าสวี่ถึงกับถอนหายใจ“เด็กผู้หญิงสมัยนี้เขาอยากจะก้าวหน้าในหน้าที่การงานกันทั้งนั้น สวี่โย่วหนิงทำไมเราไม่เป็อย่างคนอื่นเขาบ้าง”
สวี่โย่วหนิงกอดยายของเธออย่างออดอ้อน“คนพวกนั้นเขาก็อยากทำตามความฝันตัวเอง ส่วนหนูแค่อยากอยู่กับยายตลอดไปนี่นา”
หญิงชรายิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ทว่าแววตากับเต็มไปด้วยความสุข
เธอเหลือคนในครอบครัวแค่คนเดียวก็คือหลานสาวคนนี้แล้วจะไม่อยากให้หลานอยู่กับเธอทุกวันได้อย่างไร
หลังกินข้าวเสร็จูเี่อันก็บอกลาคุณย่าสวี่ และบอกว่าพรุ่งนี้เธอจะแวะมาใหม่ นี่ก็ดึกมากแล้วคุณย่าสวี่จึงเร่งให้พวกเธอรีบกลับไปพักผ่อน
เมื่อขึ้นรถูเี่อันจึงถามลู่เป๋าเหยียน
“นายบอกว่าเพื่อนนายจะเปิดร้านสาขาที่เมือง A? ถ้าที่ร้านต้อนรับเฉพาะคนสนิทแล้วทำไมถึงคิดจะไปเปิดร้านสาขาได้ล่ะ”
ลู่เป๋าเหยียนเลิกคิ้ว“ก็เพื่อต้อนรับคนสนิทที่เมือง A ไง”
เขาพูดราวกับการเปิดร้านอาหารเป็เื่ง่ายๆนี่สินะโลกของคนรวย! ูเี่อันคิดในใจ
ลู่เป๋าเหยียนโทรศัพท์บอกเื่สวี่โย่วหนิงกับมู่ซือเจวี๋ยเขาหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ
“นายสนใจเื่พวกนี้ั้แ่เมื่อไรตอนแรกฉันกะจะย้ายคนในแก๊งเข้าไปทำงาน แต่ถ้านายมีคนมาแนะนำแบบนี้ฉันจะให้คนลองสืบความเป็มาของเธอคนนั้นดูละกัน”
ไม่นานมู่ซือเจวี๋ยก็โทรกลับมา“เกิดที่เมือง G ไม่มีอุดมการณ์อะไร ไม่รักเรียนเท่าไร เข้ามหาวิทยาลัยเกรด C หลังเรียนจบก็หลอกยายตัวเองว่าจะไปเรียนเมืองนอกแต่ที่แท้กลับหนีไปเที่ยวรอบโลก ความสามารถพิเศษเพียงอย่างเดียวคือพูดได้หลายภาษา ฮึเธอคนนี้น่าสนใจนะ งั้นตกลงตามนี้ บอกให้เธอมาเริ่มงานได้เลย”
หลังลู่เป๋าเหยียนวางสายไปได้ไม่นานเสิ่นเยว่ชวนก็โทรเข้ามาเื่งาน เขาเอนพิงพนักเก้าอี้ มือหนึ่งถือโทรศัพท์ส่วนอีกมือจับผมยาวสลวยของูเี่อันขึ้นมาม้วนเล่นน้ำเสียงดูเคร่งเครียดขัดกับท่าทางสบายๆ อย่างสิ้นเชิง
ูเี่อันจ้องหน้าเขาเชิงบอกให้เขาเอามือออกไปแต่คนบางคนกลับทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้ ยังคงเล่นผมเธออย่างเอาแต่ใจเธอจึงจับมือเขาออกเอง
ลู่เป๋าเหยียนขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์จากนั้นจับมือเธอรั้งเข้าสู่อ้อมกอด มือแกร่งโอบรัดไหล่มนเอาไว้แน่น
คนที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างูเี่อันถึงกับอุทานอย่างใ
“อ๊ะ...”
เสิ่นเยว่ชวนที่อยู่ในสายถึงกับนิ่งไป“เอ๋ คุณผอ.ลู่ นายกับอาซ้อกำลังยุ่งอยู่งั้นสินะ ขอโทษทีที่มาขัดจังหวะถ้างั้นแค่นี้ก่อนละกัน เื่งานเอาไว้คุยต่อพรุ่งนี้ ส่วนพวกนาย...เชิญสานต่อกันตามสบาย”
เพราะถูกลู่เป๋าเหยียนกอดเอาไว้แถมในรถก็ยังเงียบเชียบ ทำใหู้เี่อันได้ยินทุกคำพูดของเสิ่นเยว่ชวนอย่างชัดเจนหน้าเธอร้อนขึ้นมาในทันที เธอเริ่มดิ้นให้หลุดจากวงแขนของเขา
ลู่เป๋าเหยียนยังคงโอบเธอไว้แน่นและพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“เสิ่นเยว่ชวนบอกให้พวกเราสานต่อเธอจะหนีไปไหน”
“ตาบ้า!”ูเี่อันเชิดหน้าขึ้นพลางยืนยันความบริสุทธิ์ใจ“พวกเราไม่ได้ทำอะไรกันสักหน่อย!”
ั์ตาดำขลับของเธอเปี่ยมไปด้วยความจริงจังและดื้อรั้น
ลู่เป๋าเหยียนยิ้มมุมปาก
“เริ่มทำตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
