ตัวหอกสั่นกึงๆๆ
ซุนอวี้หู่ถูกเสียบเข้ากับกำแพงทั้งเป็
ดีที่หอกนี้ไม่โจมตีจุดตาย แทงทะลุลาดไหล่แทน หาไม่แล้วคงถึงชีวิต
ทว่าความเ็ปตรงไหล่นั้นกลับทำให้ซุนอวี้หู่ร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด ดิ้นรนอย่างคลุ้มคลั่ง ปากแผลเปิด เืสดๆ หลั่งทะลักออกมา เขากลอกตาขาว หมดสติไปในที่สุด
ทหารแห่งกรมสอดแนมเห็นภาพนั้นแล้วล้วนะเืใจเป็ที่สุด
พลหอกยาวแถวแรกพลิกมือกระชับหอกไว้แน่น ชูหอกขึ้นสูง ขยับแขนไปด้านหลัง นี่หมายความถึงสัญญาณบอกว่าจะพุ่งหอก เมื่อพลหอกลงมือ ทหารทั้งหมดของกรมสอดแนมก็เหมือนกับศาสตราลึกลับริเริ่มการต่อสู้
“อย่าลงมือ!”
จางเหิงแม่ทัพเจดีย์ดำสะบัดแขน ตวาดสั่งการ
การกระทำของเหล่าทหารหยุดนิ่งในทันที ราวกับรูปปั้นหินเรียงรายเป็ระเบียบ
ภาพนั้นทำให้เ่ิูนึกชื่นชมอย่างห้ามมิได้
กรมทหารสอดแนมคือเขี้ยวเล็บของกองทหารประจำการอาณาจักร คุณสมบัติของทหารกล้าเช่นนี้พาให้คนมองต้องทึ่ง ไวดุจวายุ เนิบนาบราวกับพงไพร ไม่ขยับราวกับภูผา ถึงกระนั้นก็น่าเสียดายเป็อย่างยิ่งที่กองทหารพวกนี้กลายเป็เครื่องมือที่พวกชนชั้นสูงไว้บงการอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ
“ท่านคือใคร?”
จางเหิงจ้องเ่ิู น้ำคำกลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
เป็ทหารมาก็หลายปี จางเหิงเห็นเหตุการณ์มาหลายรูปแบบ เป็คนที่สายตาเฉียบคมอย่างไม่ต้องสงสัย เป็ของแท้หรือพวกรากหญ้า เพียงลองถามก็รู้แทบหมดเปลือก เขาพอมองออกว่าเด็กหนุ่มที่นั่งพิงบันไดอยู่นั้น มั่นคงไม่ไหวเอนในสถานการณ์ฉุกละหุก ลงมือลงไม้เมื่อใดก็เปิดเผยความมั่นใจในตัวเองมากมาย ไม่ง่ายกว่าที่เขาคิดไว้ขึ้นอีก
เ่ิูยิ้ม “เ้ามากับซุนอวี้หู่หวังจะทำลายกิจการข้า ท่าทีโอหัง แวบเดียวก็ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา นึกว่าจะกินข้าเข้าไปทั้งตัวเมื่อไรก็ได้ ก่อนเกิดเื่ดันไม่ถามว่าข้าคือใคร?”
จางเหิงอึกอัก เขาไม่พูดอะไร
“นายท่านข้า มาจากสำนักกวางขาว นามว่าเ่ิู” ถังซานทนความหวาดหวั่นไม่ไหว ถึงได้ชิงตอบกลับก่อน
เ่ิู?
จางเหิงนิ่งไป พลันเกิดรู้สึกว่านามนี้ช่างคุ้นหูนัก พอคิดไปแล้วก็นึกออก จิตใจพลันตระหนกเล็กน้อย ชำเลืองมองเขาหัวจรดเท้าอย่างละเอียดหลายครั้ง
“เ่ิูแห่งสำนักกวางขาวหรือ?” จางเหิงพยักหน้าแ่เบา คำพูดเขาอ่อนลงเป็กอง “ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานาน ที่แท้ท่านก็คือเ่ิูนั่นเอง ได้ ข้าเข้าใจแล้ว เื่นี้เป็ความผิดของข้าเอง ที่ไม่เสาะหามูลเหตุให้จงดี ขอคุณชายเย่อย่าได้ถือโทษเลย ข้าจักไม่ถามอะไรท่านอีก แต่ว่า...ทหารของกรมทหารสอดแนมตายไปหนึ่ง เื่นี้เกรงว่ากองพลทิศอุดรจะรู้ถึงหูได้ ขอคุณชายเย่โปรดระวังตัว”
เอ่ยจบแล้วเขาก็หันหลังเดินจากไป
“พวกเรากลับ”
จางเหิงสะบัดมือ เหล่าทหารหลายร้อยก็เก็บอาวุธกลับที่ ว่องไวและพร้อมกัน หันหลังดั่งคลื่นหวนคืนทะเล เดินจากไปอย่างเนิบนาบ
ซุนอวี้หู่ผู้ถูกแขวนเหมือนหมานอนตายถูกดึงหอกยาวออกจากตัว วางบนเปลคนเจ็บ หลังดึงหอกเืก็พุ่งพรวดออกมา เขาเจ็บจนตื่นขึ้นมาอีกรอบ ตะเกียกตะกายเหมือนแมลงตัวจ้อย “คนอื่นล่ะ? พวกสวะสมควรตายนั่น? โดนจับไปแล้วยัง? ข้าจะฆ่ามัน ข้าจะฆ่าล้างโคตรมันให้หมด...”
เ่ิูยกมือ “เดี๋ยวก่อน”
จางเหิงหยุดฝีเท้า เขาหันหน้ากลับมาถาม “อะไร?”
และตอนนั้นเองที่ซุนอวี้หู่เพิ่งตรัสรู้ว่าสภาพการณ์เป็เช่นไร ทหารสองสามคนข้างกายดันเขาอย่างเอาเป็เอาตาย เขาทำได้แค่เดินออกไปเท่านั้น แต่เมื่อเห็นแววตาเ่ิูมองมาเหมือนใบมีด ใจก็เปี่ยมเต็มด้วยความกลัวที่ไม่อาจอธิบาย เขากระอักเืแล้วสลบไปอีกหน
เ่ิูมองซุนอวี้หู่หน้าชั่วที่ถูกพาไป ส่วนลึกของั์ตาเรืองรองด้วยจิตสังหาร
เขาชี้ประตูไม้ซึ่งแตกละเอียด “ใครพังประตูข้า? ชดใช้ค่าเสียหายด้วย”
จางเหิงรู้สึกเหมือนสมองโล่ง นึกว่าจะเป็เื่อื่น เขาถอนใจอย่างโล่งอกแล้วหยิบของออกมาจากย่ามสารพัดนึก ส่งให้ถังซานพลางบอก “ทองหนึ่งหมื่น ชดใช้ประตูใหญ่โรงศิลปะยุทธ์ของคุณชาย”
ถังซานริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย เขาหันมองเ้านาย
ทองหนึ่งหมื่นมากพอจะซ่อมประตูไม้หลิวนี้พันรอบด้วยซ้ำ เป็ค่าชดเชยมหาศาลเกินกว่าราคาของประตูใหญ่ไปโข พอได้มาอยู่กับมือแล้วมันร้อนๆ ชอบกล
ทว่าเ่ิูนั้นไม่แม้จะเปิดเปลือกตา
ถังซานตั้งตัวได้ในพลัน เขาเก็บทองหนึ่งหมื่นลงย่ามสารพัดนึกอย่างเห็นสมควร
จางเหิงยิ้มแล้วหันหลังจะกลับ
ใครจะรู้ว่าเ่ิูจะเปิดปากพูดอีกครั้ง “รอก่อน”
จางเหิงหยุดก้าว สองคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเหมือนมีแววโกรธขึ้ง แต่สุดท้ายก็ระงับไว้ได้อย่างดี เขาหันกลับมาถามด้วยรอยยิ้ม “ไฉนกัน? หรือคุณชายเย่จะคิดว่าหนึ่งหมื่นจินไม่พอซ่อมประตูใหญ่นี้? ถ้าเป็เช่นนั้น เชิญท่านว่าราคามาเลย ดูกันว่าข้าจางเหิง กับพี่น้องกรมทหารสอดแนม จะชดใช้บานประตูนี้ได้หรือไม่ได้”
ลักษณะการพูดบ่งได้ชัดว่าตำหนิในความโลภมากของเ่ิู
ถังซานเองก็เช็ดเหงื่อ รู้สึกว่านายท่านเขา อาจจะทำเกินไปจริงๆ?
ใต้สายตามากมายที่จ้องมอง เ่ิูส่ายหน้าเบาๆ
“เช่นนั้นท่านหมายความว่ากระไร?” จางเหิงถาม
เ่ิูกระดกเหล้าไปอีกอึกใหญ่ เช็ดเหล้ามุมปากอย่างสบายอารมณ์ มือเคาะไหเหล้าแ่เบา เหมือนกำลังตรึกตรองอะไรอยู่ ครู่ต่อมาถึงพ่นออกมาเป็กลิ่นเหล้า
เขามองจางเหิง ใบหน้ายิ้มน้อยๆ เมื่อเอ่ยเชื่องช้า “นับั้แ่ข้ากลับคฤหาสน์ตระกูลเย่เป็ต้นมา ก็คบค้าสมาคมกับคนกองพลทิศอุดรหลายหนเหลือเกิน แต่ละครั้งก็ไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด มีวาสนาต่อกันจริงนะ เพราะงั้น รบกวนฝากเ้าไปถามใต้เท้ากองพลของเ้าที ว่าคิดกัดไม่ปล่อยตระกูลเย่ที่ลูกชายขาดพ่อและแม่หม้ายไร้สามี ตราทองเหลืองวีรบุรุษเป็แค่เศษเหล็กในสายตาใต้เท้าใช่หรือไม่?”
จางเหิงชะงักกึก
สีหน้าเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกถึงขีดสุด
จางเหิงมองใบหน้าสงบสุขุมของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้ว พลันล่วงรู้ว่าทุกเื่ที่เขากระทำไว้ก่อนหน้า เมื่อเทียบกับสีหน้าไม่สะทกสะท้านนี้แล้ว มันก็เทียบกันไม่ได้เลย บัดนี้เขาถึงรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้อย่างแท้จริง ทนรับความกดดันที่ผังแผ่ออกมา
จางเหิงพลันสำเหนียกได้ว่า วันนี้เขาไม่ควรมาเลย
เขาไม่คิดว่าเ่ิูกำเริบเสิบสานอีกต่อไปแล้ว
เพราะทุกอย่างช่างสมเหตุสมผลเหลือเกิน
ความจริงแล้วนับั้แ่ที่เขาได้ยินนามของเด็กหนุ่มคนนี้ เขาก็สำเหนียกได้ว่า แม้เขาจะเป็แม่ทัพรักษาการกรมทหารสอดแนม ตำแหน่งสูงนัก แต่ก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะเผชิญหน้ากับเ่ิูได้ ในเขตเหนือทั้งหมดนี้ อาจมีเพียงแค่ท่านใต้เท้าเท่านั้นถึงจะพอเทียบบารมีหนุ่มคนนี้ได้
เื่ตราทองเหลืองวีรบุรุษอันเกรียงไกรได้แพร่สะพัดไปทั่วหุบเขากวางตัดแล้ว มันเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างไร้เสียงและสัญญาณใด
คนๆ นี้สยายปีกเต็มคราบแล้ว
“ทราบแล้ว ข้าจะรายงานท่านใต้เท้า”
จางเหิงน้อมมือคำนับแล้วถอยหลังสองสามก้าว จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับ เขาโบกมือพาเหล่าทหารหลายร้อยคนใต้บัญชาล่าถอยเหมือนน้ำหลาก หายลับตาไปตรงหัวมุมถนน
สถานการณ์ตึงเครียดได้คลี่คลายลงแล้ว
พอทหารสอดแนมหายไปจากสายตา ถังซานถึงกับถอนใจโล่งไปเปลาะหนึ่ง เขายืนเช็ดเหงื่อจนมือแทบชุ่ม ใจเต้นระทึกไม่หยุด ที่สุดก็ได้เบาลงบ้าง
หลิงเทียนกับผองเพื่อนอีกสองคนหายใจหอบเฮือกใหญ่ ร่างกายเหมือนจะทรุดลงไปกองเต็มที แรงกระตุ้นและอารมณ์หนึ่งเดียวตรงหน้าพันล้อมพวกเขาไว้ ทั้งสามลอบมองเื้ัเ่ิู ในใจทุกคนเต็มเปี่ยมด้วยความแปลกใจและยำเกรงนายท่านแห่งทิงเทาซวนยิ่งนัก เพียงแค่นามเดียวเท่านั้นก็ทำให้จางเหิงล่าถอยได้ พลังอะไรกันแน่?
หลิงเทียนมั่นใจเต็มร้อย ว่าสิ่งที่เขาเลือกไปในวันนี้นั้นถูกต้องที่สุด
และยามนี้ นอกกำแพงดินเตี้ยๆ ของทิงเทาซวน ก็ได้มีคนไม่น้อยมารวมตัวกันอยู่แล้ว
ใบหน้าอ้วนผอมแตกต่างกันเต็มเปี่ยมด้วยความอัศจรรย์ใจถึงที่สุด สายตาทั้งแปลกใจและยำเกรงมองตรงสู่บุรุษผู้นั่งกอดไหเหล้าอยู่บนบันได ตอนที่สถานการณ์เริ่มตึงเครียด คนมากมายต่างฐานันดรก็แวบมารวมตัวกันไวเหมือนลมแรง เดิมทีจะสัญจรไปคนละทิศก็กลับกรูเข้ามาดูอย่างครึกครื้น
เกือบจะทุกคนล้วนคิดว่า คราวนี้ทิงเทาซวนเจอศึกหนักยากจะหนี
หลายปีมานี้ ความแข็งแกร่งและอิทธิพลของพลทหารประทับเป็เงามืดดำ หยั่งรากลึก แข็งแกร่งและรุนแรงในใจของชาวเมืองทุกคน ต่อให้เป็เหล่าลูกผู้ดีมีตระกูลก็ยังไม่กล้าทำผิดต่อทหารประจำการ โดยเฉพาะหน่วยชำนาญการาแห่งกรมทหารสอดแนม แทบจะเรียกได้ว่าเด็ดขาดไร้กังขา
ตอนเห็นประตูใหญ่พังนั้น บางคนหัวเราะเข้าให้
มีบางคนถึงขั้นวางแผนชั่วในใจว่า หากทิงเทาซวนล้มแล้ว เขาจะได้ผลประโยชน์อะไร เช่นจะซื้อที่ดินซึ่งทหารกรมสอดแนมเกี่ยวข้องด้วยนี่มาอย่างไร เอาไปทำอะไร เพราะที่ดินผืนนี้ก็ใช่จะน้อยๆ เป็เนื้ออันโอชะให้คนทั้งหลายพร้อมกัดกิน...
ใครจะนึก...
ประโยคเดียว นามเดียว
กรมสอดแนมก็ถอยทัพกลับ
ซุนอวี้หู่โดนซ้อมเหมือนหมาเน่า แม่ทัพรักษาการณ์โดนสั่งสอนต่อหน้า...เื่พวกนี้ไม่อาจทำให้ทหารหาญนึกโกรธเคืองได้
เกิดมาไม่รู้กี่ปี มีครั้งนี้นี่แหละที่เห็นทหารถูกขับไล่ออกมาลวกๆ อย่างนี้
แม่ทัพรักษาการจางเหิงเป็ที่รู้จักของคนมากมาย เป็พวกบ้าวิทยายุทธ์โด่งดังในเมือง ไล่ฆ่าเหยื่อ ทำสิ่งใดก็โเี้ พร้อมแตกหักกันง่ายดาย คลั่งขึ้นมาเมื่อไรต่อให้เป็ญาติก็ตัดเยื่อใย แม้แต่ชนชั้นสูงพวกเล็กๆ ยังต้องหวาดกลัว แต่ต่อหน้านายท่านแห่งทิงเทาซวนกลับทั้งชดใช้เงินและขอโทษ...
นี่มันหมายความว่าอย่างไรเล่า?
พอคิดถึงเื้ัของนายแห่งทิงเทาซวนแล้ว ชวนให้พวกเขาะเืใจยิ่ง
พวกดีดลูกคิดรางแก้วพลันหนาวะเืขึ้นมาทันที ไม่กล้าคิดโลภอยากฮุบอะไรเป็ของตัวเองอีก
ฟากพวกคนที่เคยรุมกินโต๊ะทิงเทาซวน และเคยรับมือธุรกิจอย่างอื่นของตระกูลเย่มาก่อนก็ชักกระวนกระวาย รีบส่งคนไปสั่งการให้เก็บแผนที่วางไว้นานแล้วเสีย เริ่มคิดว่าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างไร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้