จึงถือโอกาสย่องเข้าไปโดยพลการ เพราะคิดเอาเองว่าคงไม่เป็ไร เมื่อได้โทรศัพท์แล้วจะออกมาก่อนที่ยามจะกลับมาเห็น
ครู่ต่อมา…
ด้านหลังตึกค่อนข้างมืด เพราะว่าจุดที่มีแสงไฟส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณด้านหน้าเท่านั้น
ซีนน์ปีนขอบกำแพงซึ่งไม่สูงนัก…
ขึ้นมาเหยียบอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เอามือผลักเข้าไปเบาๆ บานหน้าต่างที่ชำรุดอยู่ก็เปิดออกง่ายดาย
ซีนน์ะโลงมายืนกับพื้นที่มีความสูงแค่เอว จากนั้นเดินตรงไปยังล็อกเกอร์ตั้งอยู่หน้าห้องน้ำ
และในขณะที่กำลังเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหากุญแจไขช่องล็อกเกอร์ของตัวเอง
จู่ๆ ก็มีอันต้องใแทบช็อก…
เมื่อร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งพุ่งเข้ามาจู่โจมจากทางด้านหลัง
“โอ๊ย… ”
ซีนน์ร้อง…
กุญแจในมือที่ยังไม่ทันได้ไขตู้ ร่วงลงกับพื้น แผ่นหลังโดนกดด้วยเข่าและลำตัวกำยำของคนข้างหลังเบียดเข้ามาเอามือรวบแขนสองข้างแล้วล็อกเอาไว้ด้วยกุญแจมืออย่างรวดเร็ว
“ไอ้หัวขโมย… ”
เสียงกระด้างกระซิบเบาๆ ข้างหู…
แต่ร่างกำยำที่เบียดเข้ามาแข็งแรงมากจนร่างน้อยๆ ของซีนน์แทบแหลกสลาย ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดต้นคอของซีนน์ที่อยู่ในอาการใแทบช็อก
“อื๊อ… ปล่อยผมนะ… ผมใช่ขโมย… ”
ซีนน์รีบบอก…
เสียงสั่นเครือไปด้วยความหวาดกลัว
“ถ้าไม่ใช่ขโมยแล้วจะเรียกว่าอะไร คนดีเขาไม่ปืนเข้าข้างหลัง พฤติกรรมน่าสงสัยแบบนี้แหละเรียกว่าขโมย”
ร่างสูงใหญ่ที่ประกบอยู่ทางด้านหลังกล่าวด้วยเสียงดุเข้มน่าเกรงขาม
“ผมเป็นักศึกษาคณะนี้ครับ… ลุงน่าจะจำผมได้นะ… ผมแค่จะมาเอาโทรศัพท์ไม่ได้มาขโมยของ”
ซีนน์กล่าวเสียงอ่อนลง…
เมื่อรู้ว่าเป็ลุงยามตัวใหญ่คนนั้น…
ร่างสูงใหญ่ที่ประกบอยู่ทางด้านหลังเอามือรวบหัวไหล่ หมุนตัวของซีนน์กลับมาเผชิญหน้าทั้งที่มือสองข้างยังโดนกุญแจมือล็อกเอาไว้ข้างหลัง
“รู้น่ะ… ว่าเป็นักศึกษาคณะนี้… ”
ลุงยามจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของซีนน์แล้วเอื้อมมือขึ้นมาเชยคางมนอย่างให้ความสนใจ
“และลุงก็รู้ด้วยว่าเอ็งชื่อซีนน์เป็เดือนคณะ”
ลุงยามมองสบตาซีนน์แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม…
ดวงตาลุกวาวไปด้วยประกายแห่งไฟราคะผุดขึ้นมาเด่นชัดจนไม่อาจปิดบังความรู้สึกข้างใน
“อะไรนะ… ลุงรู้จักชื่อผมด้วยหรือนี่”
ซีนน์นึกแปลกใจ
“รู้… เอ็งคงไม่รู้ว่าลุงแอบมองเอ็งทุกวัน”
ลุงยามสารภาพในเื่ที่ทำเอาซีนน์ใ ด้วยไม่เคยรู้ว่าตัวเองตกเป็เป้าสายตาของลุงยามคนนี้มาตลอด
“อะไรนะ… แอบมองผมด้วยหรือนี่ แต่ลุงเพิ่งมาทำงานกะดึกได้แค่อาทิตย์เดียวนี่นา… ”
“หนูช่างสังเกตเหมือนกันนะ… เออ… ก็ใช่ ลุงเพิ่งมาทำงานเป็ยามกะดึกได้แค่อาทิตย์เดียว”
ลุงยามกล่าวขณะมองจ้องใบหน้าหล่อเหลาของซีนน์ราวจะกินเืกินเนื้อ
แต่ซีนน์ก็มองสบตาอย่างท้าทายไม่ลดละ ยิ่งได้เห็นใกล้ๆ ยิ่งยืนยันความหล่อเหลาของผู้ชายวัยลุงคนนี้
ลุงดำแอบมองซีนน์ทุกครั้งที่ได้เจอกันตอนเย็นเมื่อเข้ามาเปลี่ยนกะ
วันนั้นที่ลุงดำแอบมองแล้วซีนน์หันมาสบตาเข้าพอดี มันก็เหมือนผีเห็นผีนั่นแหละ แม้จะเป็เพียงแค่่จังหวะสบตาสั้นๆ
แต่ด้วยสัญชาตญาณอันแรงกล้าของลุงดำ ก็รับรู้ได้ว่าซีนน์เป็ยังไง
“ลุงชื่อลุงดำ… ผมรู้นะ… ”
ซีนน์กล่าว…
คำพูดที่ได้ยินทำเอาลุงยามยิ่งได้ใจ เพราะแอบคิดว่าตัวเองเป็ที่สนใจของหนุ่มน้อยคนนี้เช่นกัน
ไม่งั้นซีนน์คงไม่มองมาบ่อยๆ ตอนเดินเข้ามาเรียนที่คณะ มันคือจังหวะสบตาเงียบๆ ที่รับรู้กันเพียงสองคนระหว่างซีนน์กับลุงยามสุดหล่อล่ำคนนี้
