ม่อเสวียนเช่อได้ยินเยว่เฟิงเกอพูดว่านางอาจรักษาพระมารดาของเขาได้ สายตาที่ใช้มองเยว่เฟิงเกอจึงเต็มไปด้วยความสงสัย
“เสด็จแม่ของข้าป่วยมานานหลายปี แม้แต่หมอหลวงในวังหลวงยังไม่อาจรักษาให้หายได้ ท่านสามารถรักษานางให้หายได้? ” คงไม่อาจโทษม่อเสวียนเช่อที่สงสัยในตัวเยว่เฟิงเกอได้ โรคของพระมารดาช่างสาหัสสากรรจ์ยิ่งนัก
ทุกครั้งที่อาการกำเริบ ร่างกายจะร้อนสลับหนาว ความเ็ปที่นางต้องทุกข์ทนไม่ใช่เื่ที่คนธรรมดาจะทานทนได้
เยว่เฟิงเกอไม่สนใจที่ม่อเสวียนเช่อไม่เชื่อใจ นางมีแต่ต้องเห็นอาการของฮองเฮาด้วยตนเองก่อนถึงจะบอกได้ว่าตนสามารถรักษาอีกฝ่ายได้หรือไม่
เยว่เฟิงเกอยังคงยืนยันเช่นเดิม “รบกวนองค์ชายนำทางข้าไปพบพระนางด้วยเถิด”
ม่อเสวียนเช่อขบคิด บางทีพี่สะใภ้รองคนนี้อาจจะสามารถรักษาเสด็จแม่ของเขาให้หายเป็ปกติได้ก็เป็ได้
จะอย่างไรเื่ราวก็มาถึงขั้นนี้แล้ว พานางไปดูเสียหน่อยก็คงไม่เป็ไร
คิดเช่นนี้ ม่อเสวียนเช่อก็หมุนกายนำทางไป “เช่นนั้น เชิญพี่สะใภ้รองตามข้ามาเถิด”
ม่อเสวียนเช่อพาเยว่เฟิงเกอมุ่งหน้าไปยังตำหนักคุนิของฮองเฮา ส่วนนางกำนัลคนนั้น หลังจากที่ม่อเสวียนเช่อจากไปไกลแล้ว ก็นั่งทรุดลงไปบนพื้นด้วยสีหน้าซีดขาว
นางแอบภาวนาในใจ หวังว่าชายาจั้นอ๋องคนนี้จะสามารถรักษาฮองเฮาให้หายได้ เช่นนี้ชีวิตน้อยๆ ของนางถึงจะยังคงรักษาไว้ได้...
วังหลวงใหญ่โตมาก ม่อเสวียนเช่อนำเยว่เฟิงเกอเดินไปตามเส้นทางต่างๆ อยู่นานกว่าจะมาถึงตำหนักคุนิ
ยามที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักคุนิ เยว่เฟิงเกอก็ได้กลิ่นประหลาดลอยออกมา
คิ้วเรียวสวยของนางอดขมวดเข้าหากันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้กล่าววาจาใด ทำเพียงติดตามม่อเสวียนเช่ออยู่เื้ัอย่างเงียบๆ จนไปถึงหน้าเตียง
นางเห็นสตรีที่อายุราวสามสิบกว่าสวมอาภรณ์แพรนอนอยู่ คนมีสีหน้าซีดขาว ดูเหมือนจะป่วยหนักมากจริงๆ
เยว่เฟิงเกอรู้ คนคนนี้ก็คือฮองเฮาแห่งเป่ยชวน
ทันทีที่ฮองเฮาได้ยินเสียงฝีเท้าก็ลืมตาขึ้นครึ่งหนึ่งมองไปยังคนทั้งสอง
เมื่อนางเห็นเยว่เฟิงเกอ สีหน้าฉายแววประหลาดใจ
“เสด็จแม่” ม่อเสวียนเช่อรีบสาวเท้าเข้าไป นั่งลงข้างเตียง จากนั้นจับมือฮองเฮาไว้ เอ่ยถามด้วยความห่วงใย “เสด็จแม่รู้สึกเป็อย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ? ”
ฮองเฮาส่งยิ้มอ่อนระโหยให้ม่อเสวียนเช่อ “ข้าไม่เป็ไร เช่อเอ๋อร์ไม่ต้องกังวลมากนัก” เมื่อพูดจบก็ไอออกมาอย่างรุนแรง
ม่อเสวียนเช่อมีสีหน้ากังวลใจ รีบลูบหลังให้ฮองเฮา
เยว่เฟิงเกอเห็นเช่นนั้นก็รีบร้อนเดินเข้ามา
นางคารวะฮองเฮาเป็อันดับแรก “คารวะฮองเฮาเพคะ”
ในที่สุดฮองเฮาก็กลับมาเป็ปกติ หลังจากหยุดไอแล้วถึงได้สบจ้องเยว่เฟิงเกอผู้มาใหม่ตาไม่กะพริบ
“แม่นางคนนี้คือ? ” ฮองเฮามองม่อเสวียนเช่อด้วยสีหน้าสงสัย
ม่อเสวียนเช่อรีบร้อนอธิบาย “เสด็จแม่ นางคือพี่สะใภ้รองของลูก หรือก็คือชายาจั้นอ๋อง วันนี้ที่ลูกพาพี่สะใภ้รองมาพบเสด็จแม่ก็เพราะนางจะมาช่วยดูอาการป่วยให้เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฮองเฮาได้ยินว่าสตรีตรงหน้าคือชายาจั้นอ๋อง ความสงสัยใดๆ ที่ประทับอยู่บนใบหน้าก็หายไปทันที ก่อนจะแปรเปลี่ยนมาเป็ความปีติยินดี
นางยื่นมือไปหาเยว่เฟิงเกอ ขณะที่เยว่เฟิงเกอเองก็ขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวแล้วกุมมือฮองเฮาไว้
“คิดไม่ถึงว่าชายาจั้นอ๋องจะงดงามถึงเพียงนี้ ข้าได้ยินฮ่องเต้บอกว่าเ้าเป็องค์หญิงจากแคว้นเสวี่ยอวี้ แต่เหตุใดข้าถึงไม่เห็นว่าเ้าจะผิวพรรณหยาบกร้านเฉกเช่นชาวเสวี่ยอวี้เลยเล่า” ฮองเฮาพูดอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาม่อเสวียนเช่อผู้เป็บุตรชายยังไม่อาจทนฟังต่อไปได้
เขารีบส่งเสียง “เสด็จแม่ ทรงว่าพี่สะใภ้รองเช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ผู้อื่นเป็สตรี จะมีลักษณะหยาบกร้านได้อย่างไร”
ฮองเฮาหัวเราะแห้งๆ สองเสียง แต่การหัวเราะนี้กลับทำให้นางไอออกมาอีกครั้ง
เยว่เฟิงเกอไม่สนใจวาจาของฮองเฮาแม้แต่น้อย กลับกันนางยังรู้สึกว่าฮองเฮาท่านนี้พูดจาตรงไปตรงมาดี
ทว่า เมื่อต้องเห็นคนมีสีหน้าทรมาน เยว่เฟิงเกอก็อดรีบยื่นมือไปจับชีพจรให้อีกฝ่ายไม่ได้ นางตรวจอาการโดยละเอียดไปรอบหนึ่ง
หลังจากจับชีพจรแล้ว เยว่เฟิงเกอก็เป็ต้องขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง
ฮองเฮาไม่ได้ป่วย แต่ถูกพิษต่างหาก
อีกทั้งพิษร้ายแรงนี้ได้สูญหายไปนานแล้ว ซึ่งนางเพียงเคยเห็นโดยบังเอิญว่าพิษนี้ถูกบันทึกไว้ในตำราโบราณเล่มหนึ่ง
มิคาดฮองเฮาจะต้องพิษร้ายนี้ ดูท่าคนที่วางยาพิษนี้คงจะไม่ธรรมดา
ม่อเสวียนเช่อสังเกตเห็นสีหน้าเยว่เฟิงเกอที่ยิ่งเคร่งขรึม คิ้วขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม ฉับพลันนั้นหัวใจเขาก็คล้ายถูกบีบรัด
“เสด็จแม่ข้าป่วยเป็อันใดกันแน่ รักษาได้หรือไม่? ” เมื่อเห็นว่าในที่สุดเยว่เฟิงเกอก็ตรวจชีพจรให้ฮองเฮาเสร็จเสียที เขาก็รีบเอ่ยถาม
เยว่เฟิงเกอถอนใจเบาๆ “ฮองเฮาไม่ได้ป่วยด้วยโรคธรรมดา แต่ทรงถูกพิษไฟหนาว เป็พิษที่ออกฤทธิ์ช้า”
“พิษไฟหนาว? ” ม่อเสวียนเช่อฟังแล้วสีหน้าสับสนยิ่ง เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
เยว่เฟิงเกอพูดต่อ “ทุกครั้งที่อาการกำเริบ ฮองเฮาจะรู้สึกว่าทั้งร่างราวกับอยู่ในโพรงน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ หนาวจนคล้ายเืในกายแข็งตัว แต่อีกสักครู่ก็ราวกับอยู่ในขุนเขาแห่งไฟ ร้อนจนเหมือนไฟไหม้ทั่วตัว? เพียงแต่อาการนี้ไม่ได้กำเริบทุกวัน จะกำเริบแค่ทุกๆ คืนวันที่สิบห้าที่จันทร์เต็มดวง ใช่หรือไม่เพคะ? ”
ฮองเฮาได้ยินเยว่เฟิงเกอพูดเช่นนี้ ก็จดจ้องนางด้วยสีหน้าตกตะลึง
ฮองเฮาตื่นเต้นจนมุมปากสั่นระริก นางจับมือเยว่เฟิงเกอไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พระชายาพูดถูกต้องแล้ว ข้ามีอาการเช่นนี้จริงๆ ขอถามพระชายา พิษนี้ของข้าสามารถถอนได้หรือไม่”
ม่อเสวียนเช่อคิดไม่ถึงว่าเยว่เฟิงเกอจะรักษาโรคเป็จริงๆ ดูท่าการที่เขาพานางมาดูอาการให้เสด็จแม่จะเป็เื่ที่ถูกต้องแล้ว
เพียงแต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ เสด็จแม่ไม่ได้ป่วยด้วยโรคทั่วไป แต่ถูกพิษ
เป็ใครกันนะที่กล้าลงมือกับเสด็จแม่?
หากเขาล่วงรู้ว่าเป็ผู้ใด เขาจะจับคนผู้นั้นมาสับเป็หมื่นๆ ชิ้นเพื่อคลายความแค้นในหัวใจ
ถึงแม้เยว่เฟิงเกอจะรู้วิธีแก้พิษชนิดนี้ แต่ตอนนี้ในมือนางไม่มีอุปกรณ์ทำยา และหากนางให้คนไปเรียกหมอหลวงมา ให้เขาช่วยนำอุปกรณ์กลั่นยามาให้ ก็เกรงว่าเื่นี้คงจะถูกลือออกไปอย่างรวดเร็ว
ถึงตอนนั้นคนที่วางยาฮองเฮาก็คงจะไหวตัวทัน
รอจนนางแก้พิษไฟหนาวนี้ได้แล้ว ถึงตอนนั้นคนคนนั้นก็คงจะหาวิธีวางยาฮองเฮาอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ เยว่เฟิงเกอจึงไม่คิดตามหมอหลวงให้นำอุปกรณ์มาให้ นางคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือรอให้กลับไปถึงจวนอ๋องก่อน แล้วนางค่อยหาซื้อในเถาเป่า
คิดถึงตรงนี้ เยว่เฟิงเกอก็ตบหลังมือฮองเฮาเบาๆ กล่าวว่า “ฮองเฮาโปรดวางพระทัย ถึงแม้พิษที่ออกฤทธิ์ช้านี้จะอยู่ในร่างท่านมานานแล้ว แต่ก็ไม่ใช่จะถอนไม่ได้ ฮองเฮาทรงรออีกสักหน่อยเถิดเพคะ หลังจากหม่อมฉันกลับไปแล้ว จะหลอมยาถอนพิษให้ ถึงตอนนั้นหม่อมฉันจะนำยาถอนพิษมาให้ด้วยตนเอง เพื่อถอนพิษให้ฮองเฮา”
เมื่อฮองเฮาได้ยินว่าพิษในร่างตนสามารถถอนได้ ก็แย้มยิ้มงดงามทันที “เช่นนั้นลำบากพระชายาแล้ว”
เยว่เฟิงเกอส่งยิ้มให้ฮองเฮา จากนั้นกล่าวต่อ “เพียงแต่เื่นี้ ขอให้ฮองเฮาและองค์ชายสามปิดเป็ความลับด้วย อย่าได้แพร่งพรายเื่ที่ฮองเฮาถูกพิษนี้ออกไปเด็ดขาด มิฉะนั้น หากคนที่วางยาพิษรู้เข้า เขาอาจจะวางยาพิษบนร่างฮองเฮาอีกครั้ง ซึ่งครั้งหน้าอาจจะเป็พิษชนิดอื่นก็ได้”
ม่อเสวียนเช่อและฮองเฮามีสีหน้าไม่น่ามองทันที
แต่เพียงเพื่อความปลอดภัยของฮองเฮา พวกเขาก็ได้แต่เลือกกลืนเื่นี้ลงท้องไป ไม่มีใครพูดออกมา
ก่อนเยว่เฟิงเกอจะจากไป ยังได้บอกฮองเฮาว่า กำยานในห้องของพระนางควรจะเปลี่ยนเสียใหม่ เปลี่ยนเป็กลิ่นดอกไป่เหอ [1]
ที่จริงแล้วมีอีกเื่ที่เยว่เฟิงเกอไม่ได้บอกก็คือ กลิ่นกำยานที่ฮองเฮาจุดอยู่ในตำหนักนี้คือพิษที่ออกฤทธิ์ช้าอีกชนิดหนึ่ง
พิษที่ออกฤทธิ์ช้านี้เป็ตัวเร่งให้พิษไฟหนาวออกฤทธิ์เร็วขึ้น ทำให้เพียงฮองเฮาสูดดมเข้าไปเล็กน้อยก็ง่ายที่จะล้มป่วย
ขอแค่เปลี่ยนกำยานชนิดนี้ออกไป ร่างกายของฮองเฮาก็จะไม่อ่อนแอเช่นนี้อีก
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ดอกไป่เหอ(百合花)ดอกลิลลี่