ยามนี้สองพ่อลูกตระกูลจ้งได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนพื้นหญ้า
พวกเขาวาดฝันอยู่เสมอว่าหากได้พบท่านผู้าุโของตนอีกครั้งคงต้องก้มลงคารวะเต็มขั้นตอน
ทว่ากลับมิคาดคิดเลยว่า พวกเขาจะได้พบท่านผู้าุโในสถานการณ์เช่นนี้
ท่านผู้าุโถึงขั้นยอมเป็ม้าให้เด็กหญิงคนหนึ่งขี่
จะมีการพบหน้ากันครั้งใดที่น่าอับอายถึงเพียงนี้บ้างเล่า
ย่อมไม่มีทางเป็แน่
จ้งฮวาและจ้งจื๋อจึงได้แต่พากันก้มหน้าตา ไม่กล้าเงยหน้ามองท่านผู้าุโของตน ด้วยกลัวว่าเขาจะรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา
ในใจก็ยังลอบหลั่งน้ำตาเงียบๆ ด้วยความเห็นใจ
หรือว่าท่านผู้าุโจะโดนคนที่นี่จับตัวมากันนะ
เมื่อครู่ที่เดินร่วมทางกับชายปากแหว่งมา พวกเขารู้แล้วว่าที่นี่แม้จะมีชื่อเรียกว่าหมู่บ้านไป๋กู่ ทว่าเมื่อก่อนกลับเคยเป็รังโจร
บุคคลที่มีสถานะสูงสุดในหมู่บ้านเป็เพียงเด็กคนหนึ่ง
และยังเป็คนที่พวกเขาต้องนำจดหมายมาส่งให้
อืม น่าจะเป็เด็กคนเดียวกันกับที่กำลังขี่หลังผู้าุโของพวกเขาอยู่…สถานะของนางสูงส่งจริงๆ เสียด้วย
หากไม่ใช่ว่าพวกเขามาเห็นด้วยตาตนเอง ก็ย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน ว่าจะมีคนกล้าให้ราชครูมาเป็ม้าให้ขี่เล่นเช่นนี้
กระทั่งฝ่าาเองก็ไม่มีทางกล้าทำเช่นนั้น
ยามปกติฝ่าาทรงเคารพท่านราชครูยิ่งนัก
สองพ่อลูกยืนนิ่งอยู่ด้านข้างราวกับนกกระทา
กลับเป็ชายปากแหว่งที่ใ เพราะตลอดทางที่เดินมา ชายส่งสารสองคนนี้ช่างปากมากนัก เอาแต่ซักถามไม่หยุดหย่อน
เขาได้รับคำสั่งจากนายท่านสามให้นำทางสองคนนี้ มีเื่อันใดก็ให้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา
ดังนั้นเขาจึงได้แต่พาสองคนนี้ไปตามคำสั่ง
ทว่ายามนี้เมื่อสองพ่อลูกได้เห็นภาพตรงหน้าก็กลายเป็นิ่งอึ้งไม่กล่าวอันใดราวกับว่ารู้จักกับท่านอาจารย์กัว
เมื่อเห็นสองพ่อลูก ราชครูเองก็นิ่งอึ้งไม่ต่างกัน
ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลจ้งจะไม่นับว่าสนิทสนมกันนัก แต่ยามที่เขายังเป็ราชครูเขาก็คอยดูแลตระกูลจ้งอยู่เสมอ
ตระกูลคือรากฐาน ต่อให้เขาเก่งกาจเพียงใด แต่หากไม่มีตระกูล เขาก็คงมิต่างอันใดกับต้นไม้ไร้ราก ช้าเร็วก็คงต้องล้มลง ทว่าที่ผ่านมาเขาล้วนมีครอบครัวคอยเคียงข้าง เป็ดั่งน้ำหล่อเลี้ยงให้เขาได้มีโอกาสผลิดอกออกผล
เช่นเดียวกับที่เขามีหน้าที่คอยปกป้องดูแลคนรุ่นหลังในตระกูล
แต่เพราะปกป้องจนเกินไป ครั้งนี้เขาจึงถูกใส่ร้ายจนต้องระเห็จออกมาจากเมืองหลวงเช่นนี้ ถึงกระนั้นตระกูลก็มิได้ช่วยเหลือเขาแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเร่งตัดสัมพันธ์กับเขาทันที
แม้เขาจะไม่ได้รั้งอยู่เพื่อดูสถานการณ์ต่อ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเื่ราวคงจะเป็เช่นนี้
ราชครูค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้นหญ้า เฉินโย่วเมื่อเห็นว่ามีคนนอกมาก็ไม่ได้ซุกซนต่อ มือคู่น้อยช่วยท่านอาจารย์ปัดหญ้าบนศีรษะ
เพราะเช่นนั้นจึงได้รับสายตาชมเชยจากท่านอาจารย์ของตนคราหนึ่ง
จากนั้นเฉินโย่วจึงเดินกลับกระท่อมอย่างรู้ความ แล้วจึงยกถ้วยหินออกมาสี่ห้าใบเพื่อรินน้ำชาให้ทุกคน
เด็กหญิงท่าทางเรียบร้อยน่ารักค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งข้างชายชรา ใบหน้าเล็กๆ แผ่รัศมีของคุณหนูในตระกูลใหญ่
แม้นางจะยังเป็เพียงเด็กน้อย แต่ก็ช่างตบตาคนอื่นเก่งนัก
ทว่าก็ยังไม่อาจตบตาจ้งจื๋อและจ้งฮวาได้
ด้วยเพราะภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ช่างตื่นตาตื่นใจเกินไป พวกเขาเพิ่งจะได้เห็นว่าเมื่อครู่เด็กหญิงยังขี่หลังท่านผู้าุโของพวกเขาต่างม้าอยู่เลย ภาพนี้มันช่าง…มันช่าง…
“อะแฮ่มๆ พวกเ้ามาได้อย่างไร” ราชครูกระแอมไอก่อนจะถามขึ้น
จ้งจื๋อโน้มกายคารวะแล้วเอ่ย “เรียนท่านผู้าุโ ผู้น้อยรับราชโองการจากฮ่องเต้ให้มาเป็ข้าหลวงประจำอำเภอิเหอ ยามนี้จึงเดินทางมารับตำแหน่งที่นี่ขอรับ”
ชายปากแหว่งได้ยินเช่นนั้นก็ใ ชายขี้ขลาดที่เดินมากับเขาตลอดทาง แท้จริงแล้วเป็ท่านข้าหลวงที่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งหรอกหรือ ทั้งตำแหน่งนี้ยังน่าจะเป็ตำแหน่งขุนนางที่สูงที่สุดบนทุ่งหญ้าห่างไกลแห่งนี้แล้ว ทว่าก่อนหน้านี้เขากลับยังรู้สึกขบขันชายตรงหน้าไปเสียหลายครา
แต่ถึงกระนั้นขุนนางที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในพื้นที่นี้กลับนั่งอยู่ตรงหน้าท่านอาจารย์กัวอย่างว่าง่าย ทั้งยังเรียกท่านอาจารย์กัวว่าท่านผู้าุโ…
จ้งฮวาเมื่อได้พบท่านผู้าุโของตนก็อดไม่ไหวที่จะถามขึ้น “ไฉนท่านผู้าุโจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่าขอรับ”
พื้นที่ห่างไกลแห่งนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ถูกกองทัพจิงทำลายล้าง อีกทั้งยังพัฒนาจนเจริญรุ่งเรืองเสียยิ่งกว่าเมื่อก่อน ั้แ่แรกเขาเองก็คิดว่าเื่นี้ต้องมีคนอยู่เื้ั ทว่ากลับไม่คิดว่าจะเป็ท่านผู้าุโของตนไปได้ หรือเื่นี้จะเป็เื่ที่ฝ่าาเตรียมไว้ั้แ่แรกกันนะ หรือบางทีอาจจะเป็ท่านผู้าุโที่พยากรณ์เื่นี้ไว้ล่วงหน้า เพราะวิชาการพยากรณ์ของท่านผู้าุโนับว่าเป็เลิศยิ่ง
ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองผู้าุโของตนแล้วเห็นเด็กหญิงผมจุกที่ยืนอยู่ข้างๆ มุมปากของจ้งฮวาก็มิอาจควบคุมมิให้กระตุกได้
“ช่างบังเอิญอย่างแท้จริง มาเถิด ข้าจะแนะนำให้เ้ารู้จักศิษย์ของข้า ลู่เฉินโย่ว”
“เ้าคือลู่เฉินโย่ว! เ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ!” จ้งจื๋อถามขึ้นอย่างใ
ท่านผู้ดูแลบัณฑิตเฉินไหว้วานให้เขานำจดหมายมาส่ง แม้ว่าเขาจะเพียงใช้เื่นี้เป็ข้ออ้างที่จะเข้ามาในหมู่บ้านไป๋กู่ แต่เจตนาของเขาก็ยังอยากส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงมือผู้รับจริงๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เคารพการวางตัวของท่านผู้ดูแลบัณฑิตเฉินนัก หากสามารถทำเื่ที่เขาไหว้วานให้สำเร็จได้ ก็ย่อมสบายใจขึ้นไม่น้อย
จ้งฮวาค่อยๆ ล้วงจดหมายออกมาจากกระเป๋าของตนแล้วยื่นให้เด็กหญิง
“ใต้เท้าเฉินให้ข้านำจดหมายฉบับนี้มามอบให้เ้า”
เฉินโย่วเมื่อได้ยินนามของใต้เท้าเฉินเจี๋ยอวี๋ก็ยังคงรู้สึกซาบซึ้งไม่คลาย
ตอนที่กองทัพจิงจู่โจมเข้ามา ท่านลุงเฉินก็ไม่ได้หนีเอาตัวรอดแต่เพียงลำพัง ทว่าเขากลับร่วมกับเหล่าผู้คนช่วยกันยืนหยัดต้านทานกองทัพจิงเอาไว้
ท่านลุงสามกล่าวว่าท่านลุงเฉินเป็ขุนนางที่ดีคนหนึ่ง
จวบจนไม่อาจต้านทานกองทัพจิงต่อไปได้ ท่านลุงเฉินจึงรีบเดินทางเข้าเมืองหลวงไปขอความช่วยเหลือ ทว่านับแต่นั้นมาท่านลุงเฉินก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
นางยังกังวลว่าท่านลุงเฉินจะเกิดเื่อันใดขึ้น
คาดไม่ถึงว่าในที่สุดเขาก็จะส่งจดหมายกลับมา
นางดีใจยิ่งนัก
หากส่งจดหมายมาเช่นนี้ย่อมหมายความว่าท่านลุงเฉินยังมีชีวิตอยู่
เมื่อนางรับจดหมายมาแล้ว ก็ค่อยๆ เปิดมันออกอย่างระมัดระวัง
นี่เป็จดหมายฉบับแรกในชีวิตที่มีคนส่งมาให้นาง
ราชครูก็ประหลาดใจเช่นกันว่านายอำเภอเฉินจะส่งจดหมายมาหาเฉินโย่วด้วยเื่อะไร หรือว่าเขาจะมองสถานะที่แท้จริงของเฉินโย่วออกแล้ว ทว่านั่นย่อมไม่มีทางเป็ไปได้
ราชครูโดนเ้าเด็กปีศาจคนนี้ทรมานเสียจนชินชาแล้ว ยามนี้จึงสามารถอดทนนั่งตัวตรงรอให้เ้าเด็กปีศาจอ่านจดหมายจบ
เฉินโย่วก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างตั้งใจ
ดวงหน้าน้อยปรากฏแววซับซ้อน ประเดี๋ยวก็ดีใจ ประเดี๋ยวก็เศร้าโศก
ราชครูเห็นดังนั้นก็รู้สึกว่าหัวใจตนคันยุบยิบ แทบจะรอให้นางอ่านจบไม่ไหวแล้วจึงเอ่ยปากขึ้น “จดหมายเขียนว่าอย่างไรกัน”
“ท่านลุงเฉินละอายใจต่อพวกเรานักที่ไม่อาจทำให้ราชสำนักส่งกองทัพมาให้พวกเราได้ ทว่ายามนี้เขาได้เป็ผู้ดูแลบัณฑิต คอยดูแลความเรียบร้อยให้บัณฑิตที่สำนักเชินแล้ว ทั้งยังหวังให้พวกเราไปเข้าเรียนที่นั่น ท่านลุงเฉินสามารถดูแลพวกเราได้ ยามพวกเราอยู่ที่นั่นก็สามารถใช้อำนาจได้เต็มที่”
เฉินโย่วเล่าให้ชายชราฟังอย่างห่อเหี่ยว
จ้งจื๋อเมื่อได้ยินเด็กหญิงกล่าวเช่นนี้ก็พลันตื่นใ “ให้ตายเถิด นี่ใช่วาจาของใต้เท้าเฉินผู้ซื่อตรงจริงๆ หรือ”
จ้งฮวาพยักหน้าหลายครั้ง รู้สึกเห็นด้วยกับบุตรชาย “ขุนนางก็ยังเป็ขุนนางอยู่วันยังค่ำ”
เมื่อฟังเด็กหญิงกล่าวจบ ราชครูก็มองนางคราหนึ่งแล้วพยักหน้า ก่อนจะเก็บจดหมายฉบับนั้นไป
จากนั้นก็หันหน้ามาหาจ้งจื๋อ “เ้ามีแผนการอย่างไร”
เมื่อเห็นท่านผู้าุโหันหน้ามา จ้งจื๋อและจ้งฮวาก็รีบก้มหน้าลงคารวะ ถือเป็การชดเชยให้ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาควรจะให้ความเคารพเช่นนี้
“ขอท่านผู้าุโโปรดตัดสินเถิดขอรับ”
เมื่อเห็นว่าท่านผู้าุโขมวดคิ้ว จ้งจื๋อก็เกรงว่าเขาจะมีโทสะขึ้นมา จึงได้ลนลานกล่าวขึ้น “ผู้น้อยไม่เคยมีประสบการณ์การรับตำแหน่งในต่างถิ่นมาก่อนขอรับ อีกทั้งครั้งนี้ยังต้องต่อสู้กับคลื่นลมในราชสำนัก ตระกูลจ้งมิคิดจะต่อสู้จึงได้พากันลี้ภัยมาจนถึงที่นี่เพื่อหนีหายนะ ยามนี้ท่านพ่อก็ให้ทั้งตระกูลพากันย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วขอรับ”
ราชครูมิคาดคิดว่าตระกูลที่แสนจะไร้ความสามารถของตนนั้นเมื่อถึงเวลาจะเด็ดเดี่ยวได้ถึงเพียงนี้ สายตาที่มองจ้งฮวาจึงเต็มไปด้วยความเหนือคาด
สายตาเช่นนี้ทำให้จ้งฮวาตื่นเต้นจนเนื้อกายพลันสั่นระริก
“ตระกูลจ้งย้ายมาอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ก็ไม่เลว พวกเ้าก็อยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถิด”
จ้งฮวาเมื่อได้รับคำชมเช่นนี้ก็ดีใจเป็ล้นพ้น
เขาจึงขยับเข้าใกล้ราชครูอีกสักหน่อยแล้วถามขึ้น “ที่ท่านผู้าุโมาลงเอยที่นี่ได้ แท้จริงแล้วมีความหมายลึกซึ้งอันใดหรือไม่”
ราชครูจะไปมีสาเหตุลึกซึ้งอันใดได้ เขาแค่จับพลัดจับผลูถูกเ้าเด็กปีศาจเก็บกลับมาบนเขาลูกนี้ก็เท่านั้น ชีวิตของเขาก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีความลึกซึ้งอันใดอยู่ดี
ทว่าเขาก็ยังพยักหน้าราวกับว่ามีอยู่ดี
“ความลับ์มิอาจแพร่งพราย เ้าอยู่ที่นี่อย่างวางใจแล้วค่อยๆ พัฒนาตระกูลไปเถิด ต่อไปตระกูลจ้งมิมีทางอ่อนแอเฉกเช่นในวันวานแน่นอน”
ราชครูเมื่อกล่าวจบก็ให้ชายปากแหว่งพาสองพ่อลูกไปพบนายท่านสามเสีย
เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่เฉินโย่วก็ถามขึ้นอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์ สิ่งใดคือความลับ์มิอาจแพร่งพรายได้เ้าคะ”
ราชครูพลันถอนหายใจคราหนึ่ง “ก็คือข้าเองก็มิรู้คำตอบเช่นกัน จึงได้แต่กล่าวเช่นนั้นออกไป”
