บทที่ 52 ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเอง
ในเวลานี้หนังยังไม่เริ่มฉาย ชาวบ้านแทบทั้งหมู่บ้านต่างมามุงดูอยู่ตรงนี้ หูที่คอยสอดส่องเื่ราวต่างๆ ต่างตั้งชันกันหมดแล้ว
สวี่จือจือยิ่งคาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเื่ของเธอกับลู่จิ่งซานจะถูกพูดถึงต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้
ทันใดนั้นความรู้สึกของเธอก็ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะสายตาที่โจ่งแจ้งของเหล่าผู้หญิงที่มองมายังเธอ ราวกับจะถอดเสื้อผ้าของเธอออกไป
หลังจากที่คุณนายลู่พูดจบแล้วใช้ไม้เท้าในมือฟาดไปที่หม่าซานเซียน “ยายแก่ไม่รู้จักตาย อายุปูนนี้แล้วยังปากพล่อยไม่เลิก”
“ทำไม?” คุณนายลู่ไม่เปิดโอกาสให้หม่าซานเซียนได้พูดอะไรเลย แม้จะนั่งอยู่บนรถเข็น ไม้เท้าก็ยังฟาดลงบนตัวหม่าซานเซียนไม่ยั้ง “เธอมาอยู่ที่บ้านฉันเหรอ? หรือแอบฟังกำแพงบ้านฉันทุกคืนกันแน่?”
“อย่าตีฉันเลย เจ็บจะตายแล้ว” หม่าซานเซียนะโหลบแล้วพูด “ยังต้องแอบฟังอีกเหรอ? หลานสะใภ้ของพี่เป็ยังไงฉันจะดูไม่ออกหรือไง?”
เมื่อก่อนเธอเคยเป็คนทำคลอดให้คนอื่น แต่ตอนทำคลอดเคยทำเื่สกปรกหลายอย่าง เด็กผู้หญิงที่เพิ่งคลอดออกมาที่ถูกเธอจัดการมีมากมาย ผลกรรมจึงตกมาที่บ้านของตัวเอง เด็กผู้ชายที่เกิดมากลับรอดไม่กี่คน ตอนนี้กว่าจะรอดมาได้แค่ทายาทคนเดียว แต่กลับเป็คนขี้โรค แม้เธอจะไม่ได้ทำคลอดแล้ว แต่ก็ยังดูออกว่าผู้หญิงคนไหนยังบริสุทธิ์หรือไม่
“ถุ้ย” คุณนายลู่ด่า “นังคนใจดำ ฉันว่าเธอคงเป็บ้าไปแล้ว หรงฟา หรงฟา”
คุณนายลู่เรียกหัวหน้ากองงาน
“คุณป้า เรียกผมเหรอครับ” ลู่หรงฟาเดิมทีกำลังคุยกับช่างฉายหนัง พอได้ยินคุณนายลู่เรียกก็รีบเบียดเสียดเข้ามา
“หม่าซานเซียนคนนี้ปากพล่อย ฉันว่าเธอคงเป็บ้าไปแล้ว” คุณนายลู่พูด
“ฉันเปล่านะ” หม่าซานเซียนกลัวแล้ว
บ้า? ก็คือจิตเภทไม่ใช่หรือไง?
ในประชาคมชีหลี่ของพวกเขามีโรงพยาบาลบ้าแห่งหนึ่ง ว่ากันว่ามีคนในหมู่บ้านที่ป่วยถูกขังอยู่ข้างในหลายคน
หม่าซานเซียนไม่อยากถูกขังเข้าไป รีบพูดว่า “พี่ ฉันผิดไปแล้ว” เธอพูดจบก็ตบหน้าตัวเองไปสองฉาด “เป็เพราะฉันเลอะเลือนไปชั่วขณะ มองไม่ชัดเจน หลานสะใภ้ของพี่ดูยังไงก็เป็คนนำโชค นำความเจริญมาสู่ครอบครัว”
“เหอะๆ” คุณนายลู่หัวเราะเ็า “ที่แท้เธอก็ดูโหงวเฮงเป็ด้วยเหรอ?”
ไม่กล้าหรอก นั่นมันเป็เื่งมงาย
ตอนนี้แม้จะไม่ได้กำจัดสี่สิ่งเก่า[1]อย่างรุนแรงเหมือนเมื่อหลายปีก่อน แต่สำหรับคนที่เคยผ่านมาแล้ว พอได้ยินเื่พวกนี้ ขาก็สั่นแล้ว
“ไม่ใช่ๆ” หม่าซานเซียนยิ้มเจื่อนๆ “สะใภ้ของบ้านพี่ ล้วนแล้วแต่มีวาสนาดี”
“ต่อไปถ้าฉันได้ยินใครนินทาหลานชายกับหลานสะใภ้ของฉันอีก อย่าโทษว่าไม้เท้าของยายแก่อย่างฉันไม่รู้จักใคร” คุณนายลู่หลังจากสั่งสอนหม่าซานเซียนเสร็จก็พูดด้วยสีหน้าถมึงทึง
“ฉันจะไปฟ้องร้องเธอที่ประชาคมข้อหาทำลายชีวิตสมรสทหาร” คุณนายลู่พูดอย่างจริงจัง
เกือบจะทำให้หม่าซานเซียนปัสสาวะราดออกมา
“เด็กดี” คุณนายลู่จับมือสวี่จือจือ “อย่าไปฟังพวกเต่าแก่ปากพล่อยเลย เธอเป็เด็กดี ย่ารู้”
สวี่จือจือ “...”
คุณย่าคงจะเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว คุณย่ารู้อะไร?
เธอมองลู่จิ่งซานอย่างงุนงง เห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก แต่ตอนที่เธอมองไป สวี่จือจือรู้สึกว่าดวงตาของเขาดูเหมือนจะไม่เ็าขนาดนั้นแล้ว
พูดถึงทางฝั่งอันฉินบ้าง ไม่เห็นฟางย่วนย่วนกลับมานานแล้ว จึงกลอกตา พูดกับเพื่อนยุวชนแดงคนอื่นๆ ว่าช่วยดูที่นั่งให้หน่อยแล้วออกไป
คำพูดของหม่าซานเซียน เธอก็ได้ยินเช่นกัน ยังไม่ได้เข้าหอ!
ในใจอันฉินก็เริ่มมีความคิดบางอย่างขึ้นมา
ได้ยินมาว่าตำแหน่งของลู่จิ่งซานในกองทัพ สูงพอที่จะให้ครอบครัวติดตามไปอยู่ด้วยได้ ถ้าเธอได้แต่งงานกับลู่จิ่งซาน การที่ได้ติดตามเขาไปอยู่ที่กองทัพ ย่อมดีกว่าการอยู่ที่ชนบทแห่งนี้
แต่...จะทำยังไงถึงจะทำให้ลู่จิ่งซานกับสวี่จือจือหย่ากันได้นะ?
อันฉินอดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเธอมาลงมาทำงานที่ชนบทเร็วกว่านี้ก็จะดี ได้เจอลู่จิ่งซานเร็วกว่านี้ แต่งงานกับเขาก่อนสวี่จือจือ
น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มียาแก้เสียใจ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
ในขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่านก็ได้ยินเสียงของคุณนายลู่ “ฟ้องร้องเธอที่ประชาคมข้อหาทำลายชีวิตสมรสทหาร”
ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่งผุดขึ้นมาของอันฉินก็ดับลงไป
ถ้าลู่จิ่งซานไม่ได้แล้วคนอื่นล่ะ?
สายตาของอันฉินก็จับจ้องลู่จิ่งเหนียนที่คอยเอาอกเอาใจสวี่จือจือกับลู่จิ่งซานอยู่ข้างๆ
แม้ลู่จิ่งเหนียนคนนี้จะไม่รุ่งโรจน์เท่าลู่จิ่งซาน แต่ก็เป็คนของตระกูลลู่ อย่างน้อยก็ยังได้ยินว่าเขายังไม่มีคู่ ถ้าได้แต่งงานกับเขา ตำแหน่งโควต้าในโรงเรียนประถมของประชาคมคงจะตกมาถึงเธอแน่นอนกระมัง
ลู่จิ่งเหนียนในตอนนี้ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกใครบางคนจับจ้องอยู่ เห็นสวี่จือจือลุกขึ้นยืนก็รีบถาม “พี่สะใภ้สาม เป็อะไรเหรอครับ?”
“ฉันจะไปเดินเล่นหน่อย” สวี่จือจือพูด
ลู่ซืออวี่อยากจะตามไปด้วย แต่ถูกเธอกดตัวเอาไว้ แล้วกระซิบกระซาบ “ฉันปวดท้องกะทันหัน เดี๋ยวกลับมาเล่าให้ฟังนะ”
หนังรอบกลางคืน สวี่จือจือไม่รู้ว่าลู่จิ่งซานรู้สึกยังไง แต่เธอรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก
ในหัวคิดแต่เื่ที่หม่าซานเซียนพูด ตอนนี้คงจะทั้งหมู่บ้านรู้แล้วว่าเธอยังบริสุทธิ์อยู่ อดไม่ได้ที่จะปวดหัว ยิ่งนั่งก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด เหมือนถูกคนเ่าั้แอบมองอยู่ตลอดเวลา
ลู่จิ่งซานอยากจะลุกขึ้นยืน ได้ยินเธอพูดกับลู่ซืออวี่เบาๆ ก็คิดแล้วนั่งลงด้วยสีหน้าดำคล้ำ
คำพูดของคุณนายลู่สามารถยับยั้งคำพูดของคนได้ แต่กลับห้ามปากของพวกเขาไม่ได้ โดยเฉพาะในชนบทที่ผู้คนไม่มีความบันเทิงอะไร การให้ความสนใจกับข่าวซุบซิบนินทาจึงเป็เื่ธรรมดา
อย่าว่าแต่สวี่จือจือเลย แม้แต่ตัวเขาเอง ในเวลานี้ก็โมโหมากเช่นกัน แต่คงไม่สามารถไปอธิบายทีละคนได้ว่าทำไมพวกเขาถึงยังไม่ได้เข้าหอกัน
สวี่จือจือไม่คิดเลยว่าแค่เดินเล่นก็ยังเจอเื่ แถมคนสองคนนั้นเธอก็รู้จัก
คนหนึ่งคือฟางย่วนย่วนที่วันนั้นอยากจะซื้อชุดกระโปรงของลู่จิ่งซาน ส่วนอีกคนกลับเป็โจวเป่าเฉิง
“ปัญญาชนฟาง” โจวเป่าเฉิงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อผ้าดีเลิศ ท่อนล่างยังเป็กางเกงยีนส์ หวีผมแสกกลาง มือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์พูดกับฟางย่วนย่วนว่า “ฉันชอบเธอมาก เราสองคนสามารถ...”
“ไม่ได้” ฟางย่วนย่วนพูดอย่างเ็า
“เธอยังไม่ได้ฟังฉันพูดให้จบเลย ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ?” โจวเป่าเฉิงร้อนใจ “แค่เธอลงคบกับฉัน ฉันจะให้แม่ของฉันพาเธอไปสอนที่โรงเรียนประถม”
“โรงเรียนประถมปีนี้้าครูเพิ่มอีกสองคน เธอรู้ใช่ไหม?” เขาพูดอย่างภาคภูมิใจ “แค่เธอยอมตกลงคบกับฉัน...”
“ไปให้พ้น” ฟางย่วนย่วนพูดอย่างเบื่อหน่าย “นายไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างเลย”
โมโหแทบตายแล้ว คนจำพวกนี้กล้าดียังไงมายโสโอหังต่อหน้าเธอ!
“ผู้หญิงคนนี้ อย่ามาไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี” โจวเป่าเฉิงโมโหแล้ว ไม่นึกว่าฟางย่วนย่วนจะไม่ไว้หน้าเขาขนาดนี้ “วันนี้ฉันจะจัดการเธอซะ ดูซิว่าเธอจะยังหยิ่งผยองได้อีกแค่ไหน!”
หนึ่งคนหรือสองคน ล้วนแล้วแต่ดูถูกเขาแบบนี้! วันนี้เขาจะทำให้พวกเธอได้เห็นถึงความเก่งกาจของเขา
“นายจะทำอะไร?”
.............................
[1] สี่สิ่งเก่า หมายถึง ความคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ประเพณีเก่า และความเคยชินเก่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้